ไอซ์ รักชนก งง งบสร้างอาคารจอดรถสภา 4 พันล้าน แพงกว่าสตง.ทั้งตึก หรือผนังฉาบทอง?
.
.
ไอซ์ รักชนก งง งบก่อสร้างอาคารจอดรถรัฐสภา 4 พันล้าน หรือผนังจะฉาบด้วยทอง แพงกว่า สตง.ทั้งตึก
.
จากกรณี นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.พรรคประชาชน โฆษกพรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ สภาผู้แทนราษฎร ได้ออกมาเปิดเผยถึงประกาศสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง ประกาศผู้ชนะการเสนอราคา จ้างออกแบบก่อสร้างอาคารจอดรถของอาคารรัฐสภา ตามแนวถนนสามเสน โดยวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไป ในวงเงิน 104.5 ล้านบาท ที่ลงนามโดย ว่าที่ร้อยตรี อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ประกาศในวันที่ 25 มี.ค. ซึ่ง 15 โครงการของรัฐสภาที่ได้เปิดเผยก่อนหน้านี้ ปล่อยโครงการที่มีมูลค่าสูงสุด คือโครงการก่อสร้างอาคารจอดรถและรัฐสภา (เพิ่มเติม) โดยใช้งบประมาณ 4,588 ล้านบาท ตามที่เป็นข่าวไปแล้วนั้น
.
“ตึก สตง. 30 ชั้น ของหรูๆ ราคาแพงฉ่ำๆ ยัง 2,300ล้านบาท
.
ตึก กสทช. ยังไม่เห็นไส้ในแต่น่าจะหรูหราหมาเห่าไม่แพ้กัน รวมทุกอาคาร แถมมีที่จอดรถแบ่ง 2 ตึกด้วยนะ 2,600 ล้านบาท
ตึกจอดรถของสภา 4,600 ล้านบาท ก้อนอิฐทำด้วยทองผนังฉาบด้วยไวเบรเนียนหรือป่าว
.
โครงการที่ของบประมาณแผ่นดิน หากผูกพันเกิน 1,000 ล้าน ขึ้นไป ต้องผ่านมาติ ครม. เพราะกระทบงบประมาณเยอะ ดิฉันรอดูหน้า ครม. แพทองธาร จะอนุมัติให้สภาทำที่จอดรถ 4,600 ล้านบาทไหม ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้
.
คนไทยลองคิดตามข้อมูลนี้ดูนะคะ โครงการทำที่จอดรถรัฐสภา 4,600 ล้านบาท นี่ท่านคิดว่าเขาต้องการ
.
https://www.facebook.com/nanaicez112/posts/pfbid02bXpEgS7tniPHW41rZLYsRgs9YMJBfU5dXPfKmY5DWZkfNQbmES6kQSVhNTbt4H68l
.
.
“น้ำมันโลกดิ่งเหว ภาษีไทยพุ่ง!” “อ.เจษฎา”ถาม “EV พลาดเป้า ทำไมคนซดน้ำมันต้องจ่าย?”
https://www.dailynews.co.th/news/4685834/
.
เดือด! “อาจารย์เจษฎา” จวก กรมสรรพสามิต ขึ้นภาษีน้ำมัน อ้างชดเชย EV ไม่เข้าเป้า ซ้ำเติมคนใช้น้ำมัน
.
เมื่อวันที่ 8 พ.ค. กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในโลกออนไลน์ เมื่อ รศ.
เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความไม่พอใจต่อกรณีที่กรมสรรพสามิตประกาศปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันทุกชนิด โดยระบุข้อความว่า
.
“ห่ะ ! กรมสรรพสามิตบอก ต้องขึ้นภาษีน้ำมัน เพราะเก็บภาษีสรรพสามิตรถ EV ไม่ได้ตามเป้า ? แล้วทำไมมาลงเอากับคนใช้รถสันดาปล่ะ ?
.
วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์ค่าครองชีพที่ตึงตัวอยู่แล้วของประชาชนชาวไทย กลับต้องเผชิญกับข่าวร้ายอีกครั้ง เมื่อกรมสรรพสามิตประกาศปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันทุกชนิด โดยมีผลบังคับใช้ทันทีตามประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา การตัดสินใจดังกล่าวสร้างความไม่พอใจและเกิดคำถามในวงกว้าง เนื่องจากเกิดขึ้นในขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
.
น.ส.กุลยา ตันติเตมิต อธิบดีกรมสรรพสามิต ได้ออกมาเปิดเผยถึงเหตุผลของการปรับขึ้นภาษีในวันนี้ โดยชี้แจงว่า มาตรการนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อช่วยให้การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตเป็นไปตามเป้าหมายมากขึ้น หลังจากที่การจัดเก็บภาษีรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ การปรับขึ้นภาษีน้ำมันสูงสุดลิตรละ 1 บาท จะช่วยให้กรมสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 2,900 ล้านบาทต่อเดือน
.
การเคลื่อนไหวของอาจารย์เจษฎาเกิดขึ้นหลังจากที่มีรายงานข่าวเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ว่า กรมสรรพสามิตได้ประกาศปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันทุกชนิด โดยมีผลบังคับใช้ทันทีตามประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา การตัดสินใจดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนในวงกว้าง เนื่องจากเกิดขึ้นในขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และทำสถิติต่ำสุดในรอบ 4 ปี
.
อย่างไรก็ตาม เหตุผลดังกล่าวไม่เป็นที่ยอมรับของหลายฝ่าย โดยเฉพาะผู้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มองว่าเป็นการผลักภาระให้กับประชาชนโดยไม่สมเหตุสมผล ในขณะที่ราคาน้ำมันโลกกำลังปรับตัวลดลง การตัดสินใจขึ้นภาษีน้ำมันจึงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการซ้ำเติมภาวะค่าครองชีพที่ตึงตัวอยู่แล้วของประชาชน
.
https://www.facebook.com/JessadaDenduangboripant/posts/3409750742488869?ref=embed_post
.
.
ดวงฤทธิ์ อัดรมว.คลัง ผุดไอเดียรีดภาษี ร้านค้ารายได้ 1.8 ล้าน ฉะรัฐไม่ฟังคนตัวเล็ก ลั่นทีนี้ตายเรียบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5172968
.
ดวงฤทธิ์ อัดรมว.คลัง ผุดไอเดียรีดภาษี ร้านค้ารายได้ 1.8 ล้าน ฉะรัฐไม่ฟังคนตัวเล็ก ลั่นทีนี้ตายเรียบ
.
จากกรณี นาย
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยแนวทางเพิ่มการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่จำนวนมากหันมาทำธุรกิจ แต่มักจะยื่นแบบรายได้ของธุรกิจให้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี เพื่อไม่ต้องเข้าเกณฑ์จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม จะเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล และกรมสรรพากรอนุญาตให้หักรายจ่ายแบบเหมาจ่าย ฉะนั้นจึงอาจจะเพิ่มเป็น Vat ประเภทที่ 2 เหมือนกรณีประเทศในยุโรปทำ อาจขอเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 1% ของรายได้ 1.5 ล้านบาท ประเมินว่าจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 2 แสนล้านบาท
.
ต่อมามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างต่อประเด็นแนวคิดดังกล่าว ดังเช่น เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม นาย
ดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกและคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ในฐานะที่ปรึกษาของอนุกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมการออกแบบ ก็ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กถึงเรื่องนี้ ระบุว่า
.
ผมคิดว่าท่านรัฐมนตรีกระทรวงการคลังอาจจะฟังอธิบดีกรมสรรพากรเพลินจนลืมไปว่า ธุรกิจขนาดเล็ก SME ทั้งหลายในไทย ตอนที่ผ่านโควิดกันมานั้น ไม่รอดกันเป็นล้านราย ที่รอดก็บอบช้ำสาหัสจนถึงทุกวันนี้T
.
รัฐบาลตั้งแต่ตอนนั้นกู้เงินไปหลายล้านล้านบาท บอกว่าจะเอามาช่วยธุรกิจ แต่ธุรกิจไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่รัฐไม่เคยช่วยโดยการให้เงินช่วยเหลือโดยตรงเลย ช่วยกันทางอ้อมผ่านมาตรการภาษีนิดหน่อยไม่กี่เดือน ลดดอกเบี้ยเงินกู้ในจินตนาการ พวกเรารอดมาได้คือปาฏิหาริย์ หลายรายก็เริ่มรับผลกระทบจากหนี้ที่ต้องเริ่มใช้คืน ผลกระทบจากโควิดยังไม่เคยหมดไปสำหรับ SME แค่ลำพังเอาให้รอดยังยาก นี่กลับมีแนวคิดจะมารีดภาษีกับ SME อีก ร้านอาหารเล็กๆ คนทำเสื้อผ้าขาย แม่ค้าในตลาด ตายเรียบกันล่ะครับคราวนี้
.
ปัญหาของ SME เหล่านี้เป็นสิ่งที่กระทรวงการคลังและกรมสรรพากรไม่เคยเข้าใจ มองจากมุมมองว่าจะเก็บภาษียังไงแต่ไม่เคยคิดว่าเขาจะรอดกันมั้ย ข้าราชการในกระทรวงก็ยังคิดเหมือนรัฐบาลทหาร “เงินคลังไม่พอก็ต้องรีดภาษี” เป็นวิธีคิดที่ไม่มี empathy เลย และไม่ช่วยให้สถาการณ์ทางเศรษฐกิจในภาพรวมดีขึ้น ทุกอย่างก็จะแย่หนักไปอย่างทวีคูณ
.
ประเทศไทยนั้นโชคดีที่มี SME ที่แข็งแรงและมีความหลากหลาย รัฐบาลไทยรักไทยในยุคก่อตั้งมองเรื่องนี้ขาด การพัฒนา SME จึงเป็นนโยบายหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไทยผ่านช่วงยากลำบากมาได้หลายครั้งในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา เป็นที่น่าเสียดายที่รัฐมนตรีหลายคนในสมัยนี้มองข้ามปรัชญาและวิธีคิดแบบไทยรักไทยไปแบบไม่มีเยื่อใย ไปมัวแต่ฟังคำแนะนำของข้าราชการประจำที่ทำงานกับรัฐบาลทหารมาจนเคยชิน คิดก็คิดแบบข้าราชการเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่
.
เป็นผู้บริหารต้องคิดให้เป็น ลงมาคุยกับชาวบ้านบ้าง ฟังปัญหาของคนตัวเล็กๆบ้าง คุยแต่กับบริษัทใหญ่โต สภา หอการค้า มันจะไปได้เรื่องอะไร ถ้าคุยกับแม้ค้าขายข้าวยังไม่เคยคุย ชาตินี้ก็ไม่เข้าใจปัญหาของประชาชนที่แท้จริงหรอกครับ คำตอบทางเศรษฐกิจมันอยู่กับประชาชน ไม่ได้อยู่กับข้าราชการในกระทรวง เป็นรัฐมนตรีต้องมาหาคำตอบจากประชาชนแล้วไปสั่งให้ข้าราชการปฏิบัติตาม ไม่ใช่ทำงานกลับทิศทางกัน
.
ถึงจะเชียร์รัฐบาล แต่เรื่องไม่เข้าท่า ก็ต้องด่าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะกลับตัวกัน จะด่าไปทุกวันจนกว่าจะสำนึกครับ เพราะถ้าไม่ด่า เลือกตั้งครั้งหน้านี่หมดหวังแน่ๆ”
.
นอกจากนี้ นาย
ดวงฤทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า
.
ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา นั่งคุยกับพี่ๆ เพื่อนในวงอื่นที่ไม่ใช่สถาปนิก เกษียณแล้วบ้าง เป็นเจ้าของธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์บ้าง ทุกคนเจ็บหนักเรื่องธุรกิจครับ
.
รุ่นพี่คนหนึ่งทำ ธุรกิจส่งออกบริษัท valuation ระดับ 10,000 ล้าน ค่าเงินบาทที่แข็งขนาดนี้ ทำส่งออกลำบากมาก การท่องเที่ยวการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด ลดน้อยถอยลงแบบกราฟดิ่งเหวในช่วงเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะพยายามโปรโมทเรื่องการท่องเที่ยวให้หนักขนาดไหน นักท่องเที่ยวก็ยังหายไป เพราะเทียบมูลค่ากันแล้ว ไปเที่ยวญี่ปุ่นถูกกว่าไทย นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่จากจีนและเอเซียอื่นๆ ก็คิดว่าไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงนี้คุ้มกว่า ยิ่งเราหมดหน้าร้อนกำลังเข้าหน้าฝน ไม่มีอะไรดึงดูดอีกต่อไป รายได้จากการท่องเที่ยวก็จะหดหายไปตามลำดับ ประเมินรายได้จากการท่องเที่ยวจะลดลงไปจากเดิมอย่างน้อย 5-10 เท่ากันทีเดียว กลุ่มร้านอาหารและโรงแรมจะเริ่มได้รับผลกระทบก่อนในช่วงนี้
.
ตลาดหุ้น เราดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากมีข่าวเรื่องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ซื้อขายยังต่ำกว่าช่วงปลายปีที่ผ่านมา แนวโน้มดีขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่ภาพรวมใน 1 ปี กราฟยังมีแนวโน้มที่ดิ่งลง ส่วนหนึ่งเขาก็ว่ามาจากค่าเงินบาทที่แข็งเป็นหลัก
.
ที่น่าแปลกใจคือ ตัวเลขส่งออกของเราได้ดุลการค้ากับประเทศใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา แต่สินค้า 5 อันดับแรกที่ส่งออกกลับไม่ใช่สินค้าเกษตรแบบที่หลายคนอาจคิด แต่เป็นสินค้าชิ้นส่วนอิเลคโทรนิค ซึ่งประเทศเราไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง บริษัทที่ส่งออกเหล่านั้นล้วนเป็นบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาเองที่มาเปิดโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเลคโทรนิคในไทย แล้วส่งกลับไปขายสหรัฐ ปริมาณการส่งออกนี้มากจนทำให้ตัวเลขส่งออกของไทยได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐจนทรัมป์ประกาศขึ้นกำแพงภาษีกับไทย
.
ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์คงมองว่าตัวเลขส่งออกดูดี เลยไม่ได้จัดการ declare เรื่องแหล่งกำเนิดให้ชัดเจน และผลจากการส่งออกที่สูงนี้เองเป็นผลเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เงินบาทแข็งมาก การลงทุนจากต่างประเทศที่มากเกินไปใน sector การผลิตและส่งออก จึงก่อให้เกิดผลเสียไม่น้อยกว่าผลดี ดูเหมือนตัวเลขทางเศรษฐกิจจะดีและมีผลดีกับธุรกิจในท้องถิ่น แต่ก็ทำให้เกิดปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เรื่องค่าเงิน หลายรัฐบาลที่ผ่านมาละเลยเรื่องการพัฒนาธุรกิจในท้องถิ่นมานานมาก และรัฐบาลปัจจุบันต้องเริ่มต้นกันใหม่หมด ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี
JJNY : ไอซ์งง งบอาคารจอดรถสภาแพงกว่าสตง.│“อ.เจษฎา”ถาม ทำไมคนซดน้ำมันต้องจ่าย?│ดวงฤทธิ์อัดรมว.คลัง│Meta ชนะคดีฟ้อง NSO
.
“น้ำมันโลกดิ่งเหว ภาษีไทยพุ่ง!” “อ.เจษฎา”ถาม “EV พลาดเป้า ทำไมคนซดน้ำมันต้องจ่าย?”
https://www.dailynews.co.th/news/4685834/
.
เดือด! “อาจารย์เจษฎา” จวก กรมสรรพสามิต ขึ้นภาษีน้ำมัน อ้างชดเชย EV ไม่เข้าเป้า ซ้ำเติมคนใช้น้ำมัน
.
เมื่อวันที่ 8 พ.ค. กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในโลกออนไลน์ เมื่อ รศ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความไม่พอใจต่อกรณีที่กรมสรรพสามิตประกาศปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันทุกชนิด โดยระบุข้อความว่า
.
“ห่ะ ! กรมสรรพสามิตบอก ต้องขึ้นภาษีน้ำมัน เพราะเก็บภาษีสรรพสามิตรถ EV ไม่ได้ตามเป้า ? แล้วทำไมมาลงเอากับคนใช้รถสันดาปล่ะ ?
.
วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์ค่าครองชีพที่ตึงตัวอยู่แล้วของประชาชนชาวไทย กลับต้องเผชิญกับข่าวร้ายอีกครั้ง เมื่อกรมสรรพสามิตประกาศปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันทุกชนิด โดยมีผลบังคับใช้ทันทีตามประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา การตัดสินใจดังกล่าวสร้างความไม่พอใจและเกิดคำถามในวงกว้าง เนื่องจากเกิดขึ้นในขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
.
น.ส.กุลยา ตันติเตมิต อธิบดีกรมสรรพสามิต ได้ออกมาเปิดเผยถึงเหตุผลของการปรับขึ้นภาษีในวันนี้ โดยชี้แจงว่า มาตรการนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อช่วยให้การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตเป็นไปตามเป้าหมายมากขึ้น หลังจากที่การจัดเก็บภาษีรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ การปรับขึ้นภาษีน้ำมันสูงสุดลิตรละ 1 บาท จะช่วยให้กรมสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 2,900 ล้านบาทต่อเดือน
.
การเคลื่อนไหวของอาจารย์เจษฎาเกิดขึ้นหลังจากที่มีรายงานข่าวเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ว่า กรมสรรพสามิตได้ประกาศปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันทุกชนิด โดยมีผลบังคับใช้ทันทีตามประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา การตัดสินใจดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนในวงกว้าง เนื่องจากเกิดขึ้นในขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และทำสถิติต่ำสุดในรอบ 4 ปี
.
อย่างไรก็ตาม เหตุผลดังกล่าวไม่เป็นที่ยอมรับของหลายฝ่าย โดยเฉพาะผู้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มองว่าเป็นการผลักภาระให้กับประชาชนโดยไม่สมเหตุสมผล ในขณะที่ราคาน้ำมันโลกกำลังปรับตัวลดลง การตัดสินใจขึ้นภาษีน้ำมันจึงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการซ้ำเติมภาวะค่าครองชีพที่ตึงตัวอยู่แล้วของประชาชน
.
https://www.facebook.com/JessadaDenduangboripant/posts/3409750742488869?ref=embed_post
.
.
ดวงฤทธิ์ อัดรมว.คลัง ผุดไอเดียรีดภาษี ร้านค้ารายได้ 1.8 ล้าน ฉะรัฐไม่ฟังคนตัวเล็ก ลั่นทีนี้ตายเรียบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5172968
.
ดวงฤทธิ์ อัดรมว.คลัง ผุดไอเดียรีดภาษี ร้านค้ารายได้ 1.8 ล้าน ฉะรัฐไม่ฟังคนตัวเล็ก ลั่นทีนี้ตายเรียบ
.
จากกรณี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยแนวทางเพิ่มการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่จำนวนมากหันมาทำธุรกิจ แต่มักจะยื่นแบบรายได้ของธุรกิจให้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี เพื่อไม่ต้องเข้าเกณฑ์จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม จะเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล และกรมสรรพากรอนุญาตให้หักรายจ่ายแบบเหมาจ่าย ฉะนั้นจึงอาจจะเพิ่มเป็น Vat ประเภทที่ 2 เหมือนกรณีประเทศในยุโรปทำ อาจขอเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 1% ของรายได้ 1.5 ล้านบาท ประเมินว่าจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 2 แสนล้านบาท
.
ต่อมามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างต่อประเด็นแนวคิดดังกล่าว ดังเช่น เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม นายดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกและคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ในฐานะที่ปรึกษาของอนุกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมการออกแบบ ก็ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กถึงเรื่องนี้ ระบุว่า
.
ผมคิดว่าท่านรัฐมนตรีกระทรวงการคลังอาจจะฟังอธิบดีกรมสรรพากรเพลินจนลืมไปว่า ธุรกิจขนาดเล็ก SME ทั้งหลายในไทย ตอนที่ผ่านโควิดกันมานั้น ไม่รอดกันเป็นล้านราย ที่รอดก็บอบช้ำสาหัสจนถึงทุกวันนี้T
.
รัฐบาลตั้งแต่ตอนนั้นกู้เงินไปหลายล้านล้านบาท บอกว่าจะเอามาช่วยธุรกิจ แต่ธุรกิจไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่รัฐไม่เคยช่วยโดยการให้เงินช่วยเหลือโดยตรงเลย ช่วยกันทางอ้อมผ่านมาตรการภาษีนิดหน่อยไม่กี่เดือน ลดดอกเบี้ยเงินกู้ในจินตนาการ พวกเรารอดมาได้คือปาฏิหาริย์ หลายรายก็เริ่มรับผลกระทบจากหนี้ที่ต้องเริ่มใช้คืน ผลกระทบจากโควิดยังไม่เคยหมดไปสำหรับ SME แค่ลำพังเอาให้รอดยังยาก นี่กลับมีแนวคิดจะมารีดภาษีกับ SME อีก ร้านอาหารเล็กๆ คนทำเสื้อผ้าขาย แม่ค้าในตลาด ตายเรียบกันล่ะครับคราวนี้
.
ปัญหาของ SME เหล่านี้เป็นสิ่งที่กระทรวงการคลังและกรมสรรพากรไม่เคยเข้าใจ มองจากมุมมองว่าจะเก็บภาษียังไงแต่ไม่เคยคิดว่าเขาจะรอดกันมั้ย ข้าราชการในกระทรวงก็ยังคิดเหมือนรัฐบาลทหาร “เงินคลังไม่พอก็ต้องรีดภาษี” เป็นวิธีคิดที่ไม่มี empathy เลย และไม่ช่วยให้สถาการณ์ทางเศรษฐกิจในภาพรวมดีขึ้น ทุกอย่างก็จะแย่หนักไปอย่างทวีคูณ
.
ประเทศไทยนั้นโชคดีที่มี SME ที่แข็งแรงและมีความหลากหลาย รัฐบาลไทยรักไทยในยุคก่อตั้งมองเรื่องนี้ขาด การพัฒนา SME จึงเป็นนโยบายหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไทยผ่านช่วงยากลำบากมาได้หลายครั้งในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา เป็นที่น่าเสียดายที่รัฐมนตรีหลายคนในสมัยนี้มองข้ามปรัชญาและวิธีคิดแบบไทยรักไทยไปแบบไม่มีเยื่อใย ไปมัวแต่ฟังคำแนะนำของข้าราชการประจำที่ทำงานกับรัฐบาลทหารมาจนเคยชิน คิดก็คิดแบบข้าราชการเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่
.
เป็นผู้บริหารต้องคิดให้เป็น ลงมาคุยกับชาวบ้านบ้าง ฟังปัญหาของคนตัวเล็กๆบ้าง คุยแต่กับบริษัทใหญ่โต สภา หอการค้า มันจะไปได้เรื่องอะไร ถ้าคุยกับแม้ค้าขายข้าวยังไม่เคยคุย ชาตินี้ก็ไม่เข้าใจปัญหาของประชาชนที่แท้จริงหรอกครับ คำตอบทางเศรษฐกิจมันอยู่กับประชาชน ไม่ได้อยู่กับข้าราชการในกระทรวง เป็นรัฐมนตรีต้องมาหาคำตอบจากประชาชนแล้วไปสั่งให้ข้าราชการปฏิบัติตาม ไม่ใช่ทำงานกลับทิศทางกัน
.
ถึงจะเชียร์รัฐบาล แต่เรื่องไม่เข้าท่า ก็ต้องด่าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะกลับตัวกัน จะด่าไปทุกวันจนกว่าจะสำนึกครับ เพราะถ้าไม่ด่า เลือกตั้งครั้งหน้านี่หมดหวังแน่ๆ”
.
นอกจากนี้ นายดวงฤทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า
.
ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา นั่งคุยกับพี่ๆ เพื่อนในวงอื่นที่ไม่ใช่สถาปนิก เกษียณแล้วบ้าง เป็นเจ้าของธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์บ้าง ทุกคนเจ็บหนักเรื่องธุรกิจครับ
.
รุ่นพี่คนหนึ่งทำ ธุรกิจส่งออกบริษัท valuation ระดับ 10,000 ล้าน ค่าเงินบาทที่แข็งขนาดนี้ ทำส่งออกลำบากมาก การท่องเที่ยวการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด ลดน้อยถอยลงแบบกราฟดิ่งเหวในช่วงเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะพยายามโปรโมทเรื่องการท่องเที่ยวให้หนักขนาดไหน นักท่องเที่ยวก็ยังหายไป เพราะเทียบมูลค่ากันแล้ว ไปเที่ยวญี่ปุ่นถูกกว่าไทย นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่จากจีนและเอเซียอื่นๆ ก็คิดว่าไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงนี้คุ้มกว่า ยิ่งเราหมดหน้าร้อนกำลังเข้าหน้าฝน ไม่มีอะไรดึงดูดอีกต่อไป รายได้จากการท่องเที่ยวก็จะหดหายไปตามลำดับ ประเมินรายได้จากการท่องเที่ยวจะลดลงไปจากเดิมอย่างน้อย 5-10 เท่ากันทีเดียว กลุ่มร้านอาหารและโรงแรมจะเริ่มได้รับผลกระทบก่อนในช่วงนี้
.
ตลาดหุ้น เราดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากมีข่าวเรื่องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ซื้อขายยังต่ำกว่าช่วงปลายปีที่ผ่านมา แนวโน้มดีขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่ภาพรวมใน 1 ปี กราฟยังมีแนวโน้มที่ดิ่งลง ส่วนหนึ่งเขาก็ว่ามาจากค่าเงินบาทที่แข็งเป็นหลัก
.
ที่น่าแปลกใจคือ ตัวเลขส่งออกของเราได้ดุลการค้ากับประเทศใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา แต่สินค้า 5 อันดับแรกที่ส่งออกกลับไม่ใช่สินค้าเกษตรแบบที่หลายคนอาจคิด แต่เป็นสินค้าชิ้นส่วนอิเลคโทรนิค ซึ่งประเทศเราไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง บริษัทที่ส่งออกเหล่านั้นล้วนเป็นบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาเองที่มาเปิดโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเลคโทรนิคในไทย แล้วส่งกลับไปขายสหรัฐ ปริมาณการส่งออกนี้มากจนทำให้ตัวเลขส่งออกของไทยได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐจนทรัมป์ประกาศขึ้นกำแพงภาษีกับไทย
.
ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์คงมองว่าตัวเลขส่งออกดูดี เลยไม่ได้จัดการ declare เรื่องแหล่งกำเนิดให้ชัดเจน และผลจากการส่งออกที่สูงนี้เองเป็นผลเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เงินบาทแข็งมาก การลงทุนจากต่างประเทศที่มากเกินไปใน sector การผลิตและส่งออก จึงก่อให้เกิดผลเสียไม่น้อยกว่าผลดี ดูเหมือนตัวเลขทางเศรษฐกิจจะดีและมีผลดีกับธุรกิจในท้องถิ่น แต่ก็ทำให้เกิดปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เรื่องค่าเงิน หลายรัฐบาลที่ผ่านมาละเลยเรื่องการพัฒนาธุรกิจในท้องถิ่นมานานมาก และรัฐบาลปัจจุบันต้องเริ่มต้นกันใหม่หมด ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี