JJNY : ไอซ์งง งบอาคารจอดรถสภาแพงกว่าสตง.│“อ.เจษฎา”ถาม ทำไมคนซดน้ำมันต้องจ่าย?│ดวงฤทธิ์อัดรมว.คลัง│Meta ชนะคดีฟ้อง NSO

ไอซ์ รักชนก งง งบสร้างอาคารจอดรถสภา 4 พันล้าน แพงกว่าสตง.ทั้งตึก หรือผนังฉาบทอง?
.
.
ไอซ์ รักชนก งง งบก่อสร้างอาคารจอดรถรัฐสภา 4 พันล้าน หรือผนังจะฉาบด้วยทอง แพงกว่า สตง.ทั้งตึก
.
จากกรณี นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.พรรคประชาชน โฆษกพรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ สภาผู้แทนราษฎร ได้ออกมาเปิดเผยถึงประกาศสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง ประกาศผู้ชนะการเสนอราคา จ้างออกแบบก่อสร้างอาคารจอดรถของอาคารรัฐสภา ตามแนวถนนสามเสน โดยวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไป ในวงเงิน 104.5 ล้านบาท ที่ลงนามโดย ว่าที่ร้อยตรี อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ประกาศในวันที่ 25 มี.ค. ซึ่ง 15 โครงการของรัฐสภาที่ได้เปิดเผยก่อนหน้านี้ ปล่อยโครงการที่มีมูลค่าสูงสุด คือโครงการก่อสร้างอาคารจอดรถและรัฐสภา (เพิ่มเติม) โดยใช้งบประมาณ 4,588 ล้านบาท ตามที่เป็นข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด น.ส.รักชนก ศรีนอก ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าวว่า 
.
“ตึก สตง. 30 ชั้น ของหรูๆ ราคาแพงฉ่ำๆ ยัง 2,300ล้านบาท
.
ตึก กสทช. ยังไม่เห็นไส้ในแต่น่าจะหรูหราหมาเห่าไม่แพ้กัน รวมทุกอาคาร แถมมีที่จอดรถแบ่ง 2 ตึกด้วยนะ 2,600 ล้านบาท
ตึกจอดรถของสภา 4,600 ล้านบาท ก้อนอิฐทำด้วยทองผนังฉาบด้วยไวเบรเนียนหรือป่าว
.
โครงการที่ของบประมาณแผ่นดิน หากผูกพันเกิน 1,000 ล้าน ขึ้นไป ต้องผ่านมาติ ครม. เพราะกระทบงบประมาณเยอะ ดิฉันรอดูหน้า ครม. แพทองธาร จะอนุมัติให้สภาทำที่จอดรถ 4,600 ล้านบาทไหม ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้
.
คนไทยลองคิดตามข้อมูลนี้ดูนะคะ โครงการทำที่จอดรถรัฐสภา 4,600 ล้านบาท นี่ท่านคิดว่าเขาต้องการ
.
https://www.facebook.com/nanaicez112/posts/pfbid02bXpEgS7tniPHW41rZLYsRgs9YMJBfU5dXPfKmY5DWZkfNQbmES6kQSVhNTbt4H68l
.

.
“น้ำมันโลกดิ่งเหว ภาษีไทยพุ่ง!” “อ.เจษฎา”ถาม “EV พลาดเป้า ทำไมคนซดน้ำมันต้องจ่าย?”
https://www.dailynews.co.th/news/4685834/
.
เดือด! “อาจารย์เจษฎา” จวก กรมสรรพสามิต ขึ้นภาษีน้ำมัน อ้างชดเชย EV ไม่เข้าเป้า ซ้ำเติมคนใช้น้ำมัน
.
เมื่อวันที่ 8 พ.ค. กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในโลกออนไลน์  เมื่อ รศ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความไม่พอใจต่อกรณีที่กรมสรรพสามิตประกาศปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันทุกชนิด โดยระบุข้อความว่า
.
“ห่ะ ! กรมสรรพสามิตบอก ต้องขึ้นภาษีน้ำมัน เพราะเก็บภาษีสรรพสามิตรถ EV ไม่ได้ตามเป้า ? แล้วทำไมมาลงเอากับคนใช้รถสันดาปล่ะ ?
.
วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์ค่าครองชีพที่ตึงตัวอยู่แล้วของประชาชนชาวไทย กลับต้องเผชิญกับข่าวร้ายอีกครั้ง เมื่อกรมสรรพสามิตประกาศปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันทุกชนิด โดยมีผลบังคับใช้ทันทีตามประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา การตัดสินใจดังกล่าวสร้างความไม่พอใจและเกิดคำถามในวงกว้าง เนื่องจากเกิดขึ้นในขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
.
น.ส.กุลยา ตันติเตมิต อธิบดีกรมสรรพสามิต ได้ออกมาเปิดเผยถึงเหตุผลของการปรับขึ้นภาษีในวันนี้ โดยชี้แจงว่า มาตรการนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อช่วยให้การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตเป็นไปตามเป้าหมายมากขึ้น หลังจากที่การจัดเก็บภาษีรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ การปรับขึ้นภาษีน้ำมันสูงสุดลิตรละ 1 บาท จะช่วยให้กรมสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 2,900 ล้านบาทต่อเดือน
.
การเคลื่อนไหวของอาจารย์เจษฎาเกิดขึ้นหลังจากที่มีรายงานข่าวเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 ว่า กรมสรรพสามิตได้ประกาศปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันทุกชนิด โดยมีผลบังคับใช้ทันทีตามประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา การตัดสินใจดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนในวงกว้าง เนื่องจากเกิดขึ้นในขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และทำสถิติต่ำสุดในรอบ 4 ปี
.
อย่างไรก็ตาม เหตุผลดังกล่าวไม่เป็นที่ยอมรับของหลายฝ่าย โดยเฉพาะผู้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มองว่าเป็นการผลักภาระให้กับประชาชนโดยไม่สมเหตุสมผล ในขณะที่ราคาน้ำมันโลกกำลังปรับตัวลดลง การตัดสินใจขึ้นภาษีน้ำมันจึงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการซ้ำเติมภาวะค่าครองชีพที่ตึงตัวอยู่แล้วของประชาชน
.
https://www.facebook.com/JessadaDenduangboripant/posts/3409750742488869?ref=embed_post
.

.
ดวงฤทธิ์ อัดรมว.คลัง ผุดไอเดียรีดภาษี ร้านค้ารายได้ 1.8 ล้าน ฉะรัฐไม่ฟังคนตัวเล็ก ลั่นทีนี้ตายเรียบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5172968
.
ดวงฤทธิ์ อัดรมว.คลัง ผุดไอเดียรีดภาษี ร้านค้ารายได้ 1.8 ล้าน ฉะรัฐไม่ฟังคนตัวเล็ก ลั่นทีนี้ตายเรียบ
.
จากกรณี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยแนวทางเพิ่มการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่จำนวนมากหันมาทำธุรกิจ แต่มักจะยื่นแบบรายได้ของธุรกิจให้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี เพื่อไม่ต้องเข้าเกณฑ์จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม จะเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล และกรมสรรพากรอนุญาตให้หักรายจ่ายแบบเหมาจ่าย ฉะนั้นจึงอาจจะเพิ่มเป็น Vat ประเภทที่ 2 เหมือนกรณีประเทศในยุโรปทำ อาจขอเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 1% ของรายได้ 1.5 ล้านบาท ประเมินว่าจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 2 แสนล้านบาท
.
ต่อมามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างต่อประเด็นแนวคิดดังกล่าว ดังเช่น เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม นายดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกและคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ในฐานะที่ปรึกษาของอนุกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมการออกแบบ ก็ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กถึงเรื่องนี้ ระบุว่า
.
ผมคิดว่าท่านรัฐมนตรีกระทรวงการคลังอาจจะฟังอธิบดีกรมสรรพากรเพลินจนลืมไปว่า ธุรกิจขนาดเล็ก SME ทั้งหลายในไทย ตอนที่ผ่านโควิดกันมานั้น ไม่รอดกันเป็นล้านราย ที่รอดก็บอบช้ำสาหัสจนถึงทุกวันนี้T
.
รัฐบาลตั้งแต่ตอนนั้นกู้เงินไปหลายล้านล้านบาท บอกว่าจะเอามาช่วยธุรกิจ แต่ธุรกิจไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่รัฐไม่เคยช่วยโดยการให้เงินช่วยเหลือโดยตรงเลย ช่วยกันทางอ้อมผ่านมาตรการภาษีนิดหน่อยไม่กี่เดือน ลดดอกเบี้ยเงินกู้ในจินตนาการ พวกเรารอดมาได้คือปาฏิหาริย์ หลายรายก็เริ่มรับผลกระทบจากหนี้ที่ต้องเริ่มใช้คืน ผลกระทบจากโควิดยังไม่เคยหมดไปสำหรับ SME แค่ลำพังเอาให้รอดยังยาก นี่กลับมีแนวคิดจะมารีดภาษีกับ SME อีก ร้านอาหารเล็กๆ คนทำเสื้อผ้าขาย แม่ค้าในตลาด ตายเรียบกันล่ะครับคราวนี้
.
ปัญหาของ SME เหล่านี้เป็นสิ่งที่กระทรวงการคลังและกรมสรรพากรไม่เคยเข้าใจ มองจากมุมมองว่าจะเก็บภาษียังไงแต่ไม่เคยคิดว่าเขาจะรอดกันมั้ย ข้าราชการในกระทรวงก็ยังคิดเหมือนรัฐบาลทหาร “เงินคลังไม่พอก็ต้องรีดภาษี” เป็นวิธีคิดที่ไม่มี empathy เลย และไม่ช่วยให้สถาการณ์ทางเศรษฐกิจในภาพรวมดีขึ้น ทุกอย่างก็จะแย่หนักไปอย่างทวีคูณ
.
ประเทศไทยนั้นโชคดีที่มี SME ที่แข็งแรงและมีความหลากหลาย รัฐบาลไทยรักไทยในยุคก่อตั้งมองเรื่องนี้ขาด การพัฒนา SME จึงเป็นนโยบายหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไทยผ่านช่วงยากลำบากมาได้หลายครั้งในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา เป็นที่น่าเสียดายที่รัฐมนตรีหลายคนในสมัยนี้มองข้ามปรัชญาและวิธีคิดแบบไทยรักไทยไปแบบไม่มีเยื่อใย ไปมัวแต่ฟังคำแนะนำของข้าราชการประจำที่ทำงานกับรัฐบาลทหารมาจนเคยชิน คิดก็คิดแบบข้าราชการเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่
.
เป็นผู้บริหารต้องคิดให้เป็น ลงมาคุยกับชาวบ้านบ้าง ฟังปัญหาของคนตัวเล็กๆบ้าง คุยแต่กับบริษัทใหญ่โต สภา หอการค้า มันจะไปได้เรื่องอะไร ถ้าคุยกับแม้ค้าขายข้าวยังไม่เคยคุย ชาตินี้ก็ไม่เข้าใจปัญหาของประชาชนที่แท้จริงหรอกครับ คำตอบทางเศรษฐกิจมันอยู่กับประชาชน ไม่ได้อยู่กับข้าราชการในกระทรวง เป็นรัฐมนตรีต้องมาหาคำตอบจากประชาชนแล้วไปสั่งให้ข้าราชการปฏิบัติตาม ไม่ใช่ทำงานกลับทิศทางกัน
.
ถึงจะเชียร์รัฐบาล แต่เรื่องไม่เข้าท่า ก็ต้องด่าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะกลับตัวกัน จะด่าไปทุกวันจนกว่าจะสำนึกครับ เพราะถ้าไม่ด่า เลือกตั้งครั้งหน้านี่หมดหวังแน่ๆ”
.
นอกจากนี้ นายดวงฤทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า
.
ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา นั่งคุยกับพี่ๆ เพื่อนในวงอื่นที่ไม่ใช่สถาปนิก เกษียณแล้วบ้าง เป็นเจ้าของธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์บ้าง ทุกคนเจ็บหนักเรื่องธุรกิจครับ
.
รุ่นพี่คนหนึ่งทำ ธุรกิจส่งออกบริษัท valuation ระดับ 10,000 ล้าน ค่าเงินบาทที่แข็งขนาดนี้ ทำส่งออกลำบากมาก การท่องเที่ยวการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด ลดน้อยถอยลงแบบกราฟดิ่งเหวในช่วงเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะพยายามโปรโมทเรื่องการท่องเที่ยวให้หนักขนาดไหน นักท่องเที่ยวก็ยังหายไป เพราะเทียบมูลค่ากันแล้ว ไปเที่ยวญี่ปุ่นถูกกว่าไทย นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่จากจีนและเอเซียอื่นๆ ก็คิดว่าไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงนี้คุ้มกว่า ยิ่งเราหมดหน้าร้อนกำลังเข้าหน้าฝน ไม่มีอะไรดึงดูดอีกต่อไป รายได้จากการท่องเที่ยวก็จะหดหายไปตามลำดับ ประเมินรายได้จากการท่องเที่ยวจะลดลงไปจากเดิมอย่างน้อย 5-10 เท่ากันทีเดียว กลุ่มร้านอาหารและโรงแรมจะเริ่มได้รับผลกระทบก่อนในช่วงนี้
.
ตลาดหุ้น เราดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากมีข่าวเรื่องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ซื้อขายยังต่ำกว่าช่วงปลายปีที่ผ่านมา แนวโน้มดีขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่ภาพรวมใน 1 ปี กราฟยังมีแนวโน้มที่ดิ่งลง ส่วนหนึ่งเขาก็ว่ามาจากค่าเงินบาทที่แข็งเป็นหลัก
.
ที่น่าแปลกใจคือ ตัวเลขส่งออกของเราได้ดุลการค้ากับประเทศใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา แต่สินค้า 5 อันดับแรกที่ส่งออกกลับไม่ใช่สินค้าเกษตรแบบที่หลายคนอาจคิด แต่เป็นสินค้าชิ้นส่วนอิเลคโทรนิค ซึ่งประเทศเราไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง บริษัทที่ส่งออกเหล่านั้นล้วนเป็นบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาเองที่มาเปิดโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเลคโทรนิคในไทย แล้วส่งกลับไปขายสหรัฐ ปริมาณการส่งออกนี้มากจนทำให้ตัวเลขส่งออกของไทยได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐจนทรัมป์ประกาศขึ้นกำแพงภาษีกับไทย
.
ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์คงมองว่าตัวเลขส่งออกดูดี เลยไม่ได้จัดการ declare เรื่องแหล่งกำเนิดให้ชัดเจน และผลจากการส่งออกที่สูงนี้เองเป็นผลเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เงินบาทแข็งมาก การลงทุนจากต่างประเทศที่มากเกินไปใน sector การผลิตและส่งออก จึงก่อให้เกิดผลเสียไม่น้อยกว่าผลดี ดูเหมือนตัวเลขทางเศรษฐกิจจะดีและมีผลดีกับธุรกิจในท้องถิ่น แต่ก็ทำให้เกิดปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เรื่องค่าเงิน หลายรัฐบาลที่ผ่านมาละเลยเรื่องการพัฒนาธุรกิจในท้องถิ่นมานานมาก และรัฐบาลปัจจุบันต้องเริ่มต้นกันใหม่หมด ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่