สวัสดีครับ
ขอแนะนำตัวก่อน ปัจจุบันนี้ พี่กำลังจะเรียนจบมหาลัย จะเรียกว่าจบช้ากว่าเพื่อนม.6 ไปประมาณ 2 ปีก็ได้ ซิ่ว 1 ปี เรียนจบช้าไปอีกประมาณ 1 ปี รวมแล้วประมาณ 2 ปี
เอาล่ะมาเข้าเรื่องกันเลย รุ่นน้อง หรือ คนทั่วไป ที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ อาจจะคิดว่าพี่จะพิมพ์ว่า พี่ติดเกม ติดเล่น ติดเพื่อน แล้วการเรียนแหลกเหลว ไปไม่รอด
พี่คิดว่า เรื่องแบบนั้นคงจะเห็นผลเสียได้ไม่ยาก ว่าถ้าติดเกม ติดซี่รี่ส์ ติดเที่ยว ผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร พี่จะขอนำเสนอเรื่องอื่น ที่อาจจะหาประสบการณ์อ่านในอินเทอร์เน็ตได้ไม่ง่ายนัก เพราะกว่าที่พี่จะได้คำตอบในเรื่องเหล่านี้ พี่เองก็ช้าไป 2 ปี และต้องแลกกับความบอบช้ำทางอารมณ์มานับไม่ถ้วน
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา พี่มีคำถามในใจหนึ่งมาตลอด “เราจะเอาชนะผู้อื่นได้อย่างไร” จนคำถามนี้มันพัฒนาไปเป็น “ถ้าต้องเจอเรื่องราวต่างๆในชีวิต จะทำอย่างไร”
พี่ยังจำได้ดี ในตอนเด็ก น่าจะประมาณ 7-8 ขวบ พี่เป็นคนที่เรียนเก่งคนหนึ่ง พี่ยังจำได้ดี พี่เรียนภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ได้คะแนนอันดับต้นๆมาตลอด พี่เรียนมากกว่าคนอื่น ทั้งความรู้ในห้องเรียนและนอกห้องเรียน แต่แล้วมันก็มีคำถามและข้อค้างคาในใจของพี่ที่พี่กังวลมากว่า ถ้าพี่ตอบไม่ได้ตอนพี่โตขึ้นพี่จะใช้ชีวิตอย่างไร
ถ้าเอาชนะระดับจังหวัดได้ ก็ต้องมีระดับประเทศ ยังไม่นับคนต่างชาติ คนจีน ยุโรป ฝรั่ง ผิวดำ แล้วก็การแข่งขันไม่ได้มีแค่วิชาเดียว หรือด้านการเรียนเท่านั้น ในอนาคตเมื่อโตขึ้น แม้จะเอาชนะทางด้านวิชาการได้ ก็ยังต้องเจอคนที่หล่อกว่า สูงกว่า บ้านรวยกว่า หน้าที่การงานดีกว่า ทำธุรกิจได้ร่ำรวยกว่า ฯลฯ และยังมีปัญหาส่วนตัว เช่น ป่วย ทะเลาะกับสามีภรรยา ลูก หน้าที่การงานสะดุดอีก ปัญหาสังคม เช่น ภาวะเศรษฐกิจ สงคราม ภัยธรรมชาติ
พี่ยังจำได้ดี วันที่พี่สอบแข่งขันในระดับจังหวัดได้ แต่พี่กลับรู้สึกไม่ค่อยภูมิใจเท่าไหร่ เพราะภาพที่พี่จินตนาการในตอนนั้นคือ ยังมีคนจากจังหวัดอื่นๆ จากประเทศอื่นๆ ที่เก่งกว่าพี่ในด้านนี้ นอกจากเก่งยังไม่พอ บางคนอาจจะหน้าตาดีกว่าพี่ บ้านรวยกว่าพี่อีกก็ได้ แล้วคำถามคือ “มันจะไปจบที่ตรงไหน?”
ตอนที่พี่ขึ้นม.1 พี่ยังจำได้ดีว่า พี่ได้รู้จักโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และเตรียมอุดมศึกษา เป็นครั้งแรก และพี่ก็ได้รู้จักทุนเล่าเรียนหลวง พี่นั้นคิดไปเอง ด้วยความที่ไม่มีใครที่ชี้แนวทางให้พี่ในตอนนั้น พี่คิดไปเองว่า นักเรียนพวกนั้นที่สอบเข้าเตรียมอุดม สอบทุนเล่าเรียนหลวงได้ จะต้องเป็นคนเก่งเหนือมนุษย์และพี่เองก็กังวลว่า คนแบบพี่ที่เรียนในต่างจังหวัด จะสู้พวกเขาได้ไหม นอกจากนี้พี่ยังกังวลอีกว่า ถึงแม้พี่จะสอบได้ทุกอย่างที่พี่ต้องการ ก็จะยังคงมีคนที่เหนือกว่าพี่ อาจจะเป็นฝรั่ง คนจีน หรือแม้แต่คนแอฟริกัน ไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน เขาก็อาจจะเหนือกว่าเราก็ได้(เหนือกว่าในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงแค่การเรียน แต่หมายถึงในทุกด้านอย่างที่กล่าวไปข้างต้น) รวมถึงพี่ยังสงสัยอีกว่า ทำไมนักเรียนที่สอบได้ทุนเล่าเรียนหลวง หรือคณะแพทย์ศิริราช จุฬาฯ(ที่สอบเข้ายาก) มักจะต้องมาจากเตรียมอุดมหรือมหิดลวิทยานุสรณ์ แล้วพี่จะเอาชนะพวกเขาได้ไหม มันเหมือนเป็นสงครามในใจของพี่ สงครามของการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ต้องคอยกังวลตลอดเวลาว่าคนนั้นจะเก่งกว่าไหม คนนี้จะเก่งกว่าไหม ต้องคอยถามตัวเองตลอดว่า ถ้าเราเข้าใจบทเรียนนี้ในระยะเวลาสั้นๆไม่ได้ เราจะสู้คนนั้นคนนี้ได้ไหม แล้วท้ายที่สุด ถึงแม้จะสอบติดทุกอย่างที่ต้องการ จะเอาชนะพวกคนที่บ้านรวยกว่า หล่อกว่า ได้อย่างไร
ตอนที่พี่ขึ้นม.ปลาย ทุกอย่างดูน่ากังวลไปทั้งหมด สิ่งหนึ่งที่แย่มากๆที่พี่คิดไปเอง คือ พี่คิดว่า พวกนักเรียนจากโรงเรียนดัง(มหิดลวิทยานุสรณ์ กำเนิดวิทย์ เตรียมอุดม) รวมถึงนักเรียนที่สอบได้โอลิมปิก เป็นตัวแทนแข่งระดับนานาชาติ (ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากโรงเรียนพวกนี้นี่แหละ) จะต้องเก่งเหนือมนุษย์ทุกคน ชนิดที่ว่าคนอื่นสู้ไม่ได้
พี่ได้แต่เปรียบเทียบตัวเองกับคนพวกนั้น
ทุกครั้งที่พี่ไม่เข้าใจเนื้อหาในบางเรื่อง(ทั้งที่มันเป็นเรื่องธรรมดาบ้างที่เราจะต้องทำความเข้าใจในเนื้อหาในตอนแรก) พี่กังวลจนเครียด มีแต่คำถามในใจที่ว่า “เราจะเอาชนะคนพวกนั้นได้อย่างไร” แต่ประเด็นสำคัญจริงๆไม่ได้อยู่ที่พี่จะสอบทุนเล่าเรียนหลวง หรือ จะเอาชนะนักเรียนจากโรงเรียนพวกนั้นได้อย่างไร ประเด็นสำคัญคือ “ถึงแม้จะเอาชนะได้ มันก็ต้องมีคนที่หล่อกว่า สูงกว่า บ้านรวยกว่า อยู่ดี” พี่ได้เปรียบเทียบตัวเองกับเวอร์ชันอุดมคติที่ไม่มีจริงด้วยซ้ำ*
คำถามพวกนี้ยังตามติดพี่หลังจากที่พี่หลังจากที่พี่เรียนจบม.6 กว่าที่พี่จะได้คำตอบในเรื่องเหล่านี้ ก็ผ่านไปแล้ว 3 ปี หลังจากที่พี่จบม.6
โดยสรุปที่พี่อยากจะฝาก เท่าที่คิดได้ มีดังนี้
1) ไม่ต้องไปกลัวหรอกว่า ใครจะเก่งกว่าน้อง หรือ ถ้าน้องสอบเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงไม่ได้ (เช่นกำเนิดวิทย์ มหิดลวิทยานุสรณ์ เตรียมอุดม) แล้วมันจะตราหน้าน้องไปว่าน้องเป็นคนโง่ คนกระจอก คนอ่อนแอ แค่นี้ก็ทำไม่ได้ แล้วจะไปสอบแข่งชิงทุน แข่งเข้ามหาวิทยาลัยกับพวกนักเรียนจากโรงเรียน กำเนิดวิทย์ มหิดลวิทยานุสรณ์ เตรียมอุดม ได้อย่างไร? (ตอนสมัยที่พี่อยู่ม.ปลาย พี่คิดแบบนี้กับตัวเองจริงๆ ไม่แน่ใจว่าพี่อาจจะคิดมากไปเองก็ได้ แต่พี่ไม่อยากให้ใครคิดแบบนี้เลย คิดแบบนี้มันคือการจำกัดตัวเองด้วยตรรกะของตัวเอง แล้วมันจะไม่สามารถทำอะไรต่อได้เลย) มันมีปัจจัยมากมายที่ทำให้สอบได้ หรือสอบไม่ได้ เช่น วันสอบปวดหัว ตื่นเต้น นอนไม่หลับ หรืออาจจะอ่านเนื้อหามาไม่ตรงกับที่ออกสอบก็ได้ แต่มันไม่ได้หมายความว่า เราโง่ อ่อนแอ ด้อยกว่าเขาในทุกด้าน และก็คนเราสามารถอ่านเพิ่มเติมได้เสมอ โดยเฉพาะยุคนี้ มี Internet และ AI (เช่น ChatGPT) กำเนิดวิทย์ มหิดลวิทยานุสรณ์ เตรียมอุดม ไม่ได้ผูกขาดความรู้ที่ใช้สอบเข้ามหาวิทยาลัยหรอก
2) ไม่ต้องไปกลัวหรอกว่า นักเรียนเตรียมอุดม มหิดลวิทยานุสรณ์ กำเนิดวิทย์ จะเก่งกว่าน้องชนิดที่น้องสู้ไม่ได้ และจะมาแย่งที่นั่งในมหาวิทยาลัย มาแย่งทุนการศึกษาต่างๆ รวมถึงคนที่จะสอบทุนเล่าเรียนหลวงแล้วไม่ได้เรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง (เช่นเตรียมอุดมที่มักจะได้ทุกปี) ก็อย่าได้กังวลไปเลย ปัจจุบันนี้คณะที่พี่เรียนอยู่ มีศิษย์เก่าจากมหิดลวิทยานุสรณ์ กำเนิดวิทย์ เตรียมอุดม และพวกเขาเหล่านั้นแม้จะเรียนเก่งกว่าคนอื่นบ้างในบางครั้ง แต่ก็ต้องอ่านหนังสือ ทบทวนบทเรียน ไม่ต่างไปจากคนอื่นที่เคยเรียนจบจากโรงเรียนประจำจังหวัด และก็น้องบางคนอาจจะเสียใจที่โรงเรียนในจังหวัดของน้องอาจจะไม่ได้มีห้องแลป ไม่ได้มีโอกาสกับครูอาจารย์ที่เก่งๆ ไม่ได้มีโอกาสทำกิจกรรมหลายๆอย่างแบบที่โรงเรียนกำเนิดวิทย์ มหิดลวิทยานุสรณ์ให้ทำ อย่างที่พี่บอกไป โรงเรียนพวกนั้นไม่ได้ผูกขาดความรู้ สิ่งที่โรงเรียนพวกนั้นสอนใช้แลป ก็มีให้ทำในมหาลัย เครื่องมือต่างๆ มีให้ใช้ตอนเรียนมหาลัย ถ้าป.ตรีไม่มีให้ใช้ ก็ยังมีป.โท ถ้าสนใจจริงๆ เราแค่เตรียมตัวอ่านทฤษฎีในช่วงม.ปลายให้ดีก็พอ
3) น้องไม่ต้องไปเสียใจหรอก ถ้าสอบเข้ามหาลัยดังๆ หรือ ทุน(เช่น ทุนเล่าเรียนหลวง) ไม่ได้ อย่างที่บอกไปในข้อแรก มันไม่ได้ตัดสินหรือตีตราน้องหรอกว่า โง่ อ่อนแอ กว่าคนอื่น และถ้าน้องยังอยากเรียนรู้อยู่ จำไว้ว่า ถ้าชีวิตนี้ยังไม่ตาย ก็ยังเรียนได้เสมอ ยังมีโอกาสใช้เครื่องมือต่างๆได้เสมอ
4) พี่รู้และกังวลมาตลอดว่า ในโลกนี้มันไม่ได้แข่งแค่การเรียนอย่างเดียว ถ้าในอนาคตน้องไปเจอคนที่หล่อสูงหน้าตาดีกว่า บ้านรวยกว่า เงินเดือนเยอะกว่า มีแฟนหล่อสวยอบอุ่นกว่า ฯลฯ น้องก็อย่าได้กังวลไปเลย สำหรับตัวพี่เองมีคำตอบให้กับเรื่องนี้แล้ว จนปัจจุบันนี้ถ้าพี่ต้องไปเจอใครที่หล่อสูงหน้าตาดี มีแฟนดี มีเงินเยอะกว่า มีทุกด้านดีกว่า พี่ก็พร้อมที่จะยืนเชิดอกประจันหน้ากับพวกเขาเหล่านั้น แต่คำตอบนี้ พี่เชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า แต่ละคนมีคำตอบที่ตรงใจและถูกต้องสำหรับบริบทของตัวเองไม่เหมือนกัน พี่ไม่สามารถยัดเยียดคำตอบของพี่ให้น้องได้ ในขณะเดียวกันพี่เองก็เคยสงสัยและหาคำตอบจากคนอื่น แต่คำตอบเหล่านั้นก็ยังดูจะขาดอะไรไปสักอย่างถ้าจะมาใช้ในบริบทของพี่ เอาเป็นว่า อย่ากังวล และมีคำตอบสำหรับคำถามนี้ในเวอร์ชันของตัวเอง ตอบตัวเองให้ได้ว่า “ถ้าวันหนึ่งฉันจะต้องไปเจอคนที่หล่อกว่า สูงกว่า รวยกว่า เรียนเก่งกว่า มีทุกด้าน ฉันจะต้องทำอย่างไร”
5) พ่อแม่ไม่ได้เข้าใจเราทุกอย่างหรอก อาจจะเจ็บปวดที่ต้องกล่าวแบบนี้ เรื่องพวกนี้พี่เคยอธิบายให้พวกท่านฟังและหวังให้ท่านเข้าใจ แต่สุดท้ายก็ผิดใจกัน อย่าคาดหวังว่าพ่อแม่จะต้องเข้าใจทุกเรื่อง บุญคุณก็ส่วนบุญคุณ แต่ถ้าเราเอาใจไปผูกพันกับความคาดหวังของพ่อแม่ก็มีโอกาสที่จะทำให้เจ็บปวดได้
6) คำตอบของคำถามที่ว่า “ถ้าเราเจอคนที่ดีกว่าเราในทุกด้าน เราจะทำอย่างไร” ที่พี่ได้กล่าวไปในตอนแรก พี่ขอไม่ตอบนะ แต่พี่เชื่อว่าทุกคนมีคำตอบในเวอร์ชันของตัวเอง ขอให้หาคำตอบนั้นให้เจอ และอย่ากลัวว่าใครจะเก่งกว่า หล่อกว่า บ้านรวยกว่า พี่ไม่อยากบอกว่าให้เชื่อพี่เลย แต่เอาเป็นว่าน้องลองคิดดูว่า จิตใจที่คอยหมกมุ่น จับผิดว่าคนนั้นจะเก่งกว่า จะดีกว่า นั้นเป็นอย่างไร จิตใจที่มีแต่ความไม่สบาย มีแต่ความโลเล พละกำลังของจิตไม่เต็มที่แน่นอน ทำอะไรก็ยาก พี่เคยเป็นมาหลายปีแล้ว อย่าได้เป็นแบบพี่เลย
ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่พี่ได้พิมพ์ลงไปในกระทู้นี้ อาจจะเป็นสิ่งที่พี่คิดมากไปเอง และอาจจะไม่ค่อยมีคนคิดแบบพี่ก็ได้ แต่พี่ก็ได้แต่หวังว่า อย่าให้ใครต้องมาจมในอารมณ์แบบพี่เลย พี่ไม่ได้มาเตือนให้กลัว หรือให้เครียดนะ พี่แค่อยากให้รุ่นน้องได้คิด ก่อนจะหลุดไปในวังวนแบบที่พี่เคยเจอ
หมายเหตุ:
* เวอร์ชันในอุดมคติ (สรุปโดย ChatGPT)
แนวคิดของ
'เวอร์ชันในอุดมคติ' หมายถึง นักศึกษาซึ่งเก่งรอบด้านในสาขาของตนเอง—เช่น นักศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่แก้โจทย์ทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย, นักศึกษาคณิตศาสตร์ที่สามารถสร้างสูตรขึ้นมาได้ทันที, นักศึกษาภาษาที่พูดได้มากกว่า 10 ภาษา พวกเขายังมีความทะเยอทะยาน ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกและเตรียมพร้อมสำหรับยุคใหม่
นอกจากนี้ พวกเขายังสามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ทุกอย่าง (เช่น หาเงินได้อย่างรวดเร็ว) และอาจมีข้อได้เปรียบอื่นๆ เช่น ส่วนสูง, ความสวยหล่อ, ความสามารถด้านกีฬา, หรือพ่อแม่ที่ร่ำรวย
'เวอร์ชันในอุดมคติ' นี้ไม่ใช่ความเป็นจริง แต่ส่งผลต่อการเปรียบเทียบตัวเองของผู้ใช้
จากใจรุ่นพี่ที่จบมหาวิทยาลัยช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน 2 ปี อยากฝากถึงรุ่นน้องมัธยม อย่าได้ทำพลาดแบบพี่
ขอแนะนำตัวก่อน ปัจจุบันนี้ พี่กำลังจะเรียนจบมหาลัย จะเรียกว่าจบช้ากว่าเพื่อนม.6 ไปประมาณ 2 ปีก็ได้ ซิ่ว 1 ปี เรียนจบช้าไปอีกประมาณ 1 ปี รวมแล้วประมาณ 2 ปี
เอาล่ะมาเข้าเรื่องกันเลย รุ่นน้อง หรือ คนทั่วไป ที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ อาจจะคิดว่าพี่จะพิมพ์ว่า พี่ติดเกม ติดเล่น ติดเพื่อน แล้วการเรียนแหลกเหลว ไปไม่รอด
พี่คิดว่า เรื่องแบบนั้นคงจะเห็นผลเสียได้ไม่ยาก ว่าถ้าติดเกม ติดซี่รี่ส์ ติดเที่ยว ผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร พี่จะขอนำเสนอเรื่องอื่น ที่อาจจะหาประสบการณ์อ่านในอินเทอร์เน็ตได้ไม่ง่ายนัก เพราะกว่าที่พี่จะได้คำตอบในเรื่องเหล่านี้ พี่เองก็ช้าไป 2 ปี และต้องแลกกับความบอบช้ำทางอารมณ์มานับไม่ถ้วน
พี่ยังจำได้ดี ในตอนเด็ก น่าจะประมาณ 7-8 ขวบ พี่เป็นคนที่เรียนเก่งคนหนึ่ง พี่ยังจำได้ดี พี่เรียนภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ได้คะแนนอันดับต้นๆมาตลอด พี่เรียนมากกว่าคนอื่น ทั้งความรู้ในห้องเรียนและนอกห้องเรียน แต่แล้วมันก็มีคำถามและข้อค้างคาในใจของพี่ที่พี่กังวลมากว่า ถ้าพี่ตอบไม่ได้ตอนพี่โตขึ้นพี่จะใช้ชีวิตอย่างไร
ถ้าเอาชนะระดับจังหวัดได้ ก็ต้องมีระดับประเทศ ยังไม่นับคนต่างชาติ คนจีน ยุโรป ฝรั่ง ผิวดำ แล้วก็การแข่งขันไม่ได้มีแค่วิชาเดียว หรือด้านการเรียนเท่านั้น ในอนาคตเมื่อโตขึ้น แม้จะเอาชนะทางด้านวิชาการได้ ก็ยังต้องเจอคนที่หล่อกว่า สูงกว่า บ้านรวยกว่า หน้าที่การงานดีกว่า ทำธุรกิจได้ร่ำรวยกว่า ฯลฯ และยังมีปัญหาส่วนตัว เช่น ป่วย ทะเลาะกับสามีภรรยา ลูก หน้าที่การงานสะดุดอีก ปัญหาสังคม เช่น ภาวะเศรษฐกิจ สงคราม ภัยธรรมชาติ
พี่ยังจำได้ดี วันที่พี่สอบแข่งขันในระดับจังหวัดได้ แต่พี่กลับรู้สึกไม่ค่อยภูมิใจเท่าไหร่ เพราะภาพที่พี่จินตนาการในตอนนั้นคือ ยังมีคนจากจังหวัดอื่นๆ จากประเทศอื่นๆ ที่เก่งกว่าพี่ในด้านนี้ นอกจากเก่งยังไม่พอ บางคนอาจจะหน้าตาดีกว่าพี่ บ้านรวยกว่าพี่อีกก็ได้ แล้วคำถามคือ “มันจะไปจบที่ตรงไหน?”
ตอนที่พี่ขึ้นม.1 พี่ยังจำได้ดีว่า พี่ได้รู้จักโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และเตรียมอุดมศึกษา เป็นครั้งแรก และพี่ก็ได้รู้จักทุนเล่าเรียนหลวง พี่นั้นคิดไปเอง ด้วยความที่ไม่มีใครที่ชี้แนวทางให้พี่ในตอนนั้น พี่คิดไปเองว่า นักเรียนพวกนั้นที่สอบเข้าเตรียมอุดม สอบทุนเล่าเรียนหลวงได้ จะต้องเป็นคนเก่งเหนือมนุษย์และพี่เองก็กังวลว่า คนแบบพี่ที่เรียนในต่างจังหวัด จะสู้พวกเขาได้ไหม นอกจากนี้พี่ยังกังวลอีกว่า ถึงแม้พี่จะสอบได้ทุกอย่างที่พี่ต้องการ ก็จะยังคงมีคนที่เหนือกว่าพี่ อาจจะเป็นฝรั่ง คนจีน หรือแม้แต่คนแอฟริกัน ไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน เขาก็อาจจะเหนือกว่าเราก็ได้(เหนือกว่าในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงแค่การเรียน แต่หมายถึงในทุกด้านอย่างที่กล่าวไปข้างต้น) รวมถึงพี่ยังสงสัยอีกว่า ทำไมนักเรียนที่สอบได้ทุนเล่าเรียนหลวง หรือคณะแพทย์ศิริราช จุฬาฯ(ที่สอบเข้ายาก) มักจะต้องมาจากเตรียมอุดมหรือมหิดลวิทยานุสรณ์ แล้วพี่จะเอาชนะพวกเขาได้ไหม มันเหมือนเป็นสงครามในใจของพี่ สงครามของการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ต้องคอยกังวลตลอดเวลาว่าคนนั้นจะเก่งกว่าไหม คนนี้จะเก่งกว่าไหม ต้องคอยถามตัวเองตลอดว่า ถ้าเราเข้าใจบทเรียนนี้ในระยะเวลาสั้นๆไม่ได้ เราจะสู้คนนั้นคนนี้ได้ไหม แล้วท้ายที่สุด ถึงแม้จะสอบติดทุกอย่างที่ต้องการ จะเอาชนะพวกคนที่บ้านรวยกว่า หล่อกว่า ได้อย่างไร
ตอนที่พี่ขึ้นม.ปลาย ทุกอย่างดูน่ากังวลไปทั้งหมด สิ่งหนึ่งที่แย่มากๆที่พี่คิดไปเอง คือ พี่คิดว่า พวกนักเรียนจากโรงเรียนดัง(มหิดลวิทยานุสรณ์ กำเนิดวิทย์ เตรียมอุดม) รวมถึงนักเรียนที่สอบได้โอลิมปิก เป็นตัวแทนแข่งระดับนานาชาติ (ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากโรงเรียนพวกนี้นี่แหละ) จะต้องเก่งเหนือมนุษย์ทุกคน ชนิดที่ว่าคนอื่นสู้ไม่ได้
พี่ได้แต่เปรียบเทียบตัวเองกับคนพวกนั้น
ทุกครั้งที่พี่ไม่เข้าใจเนื้อหาในบางเรื่อง(ทั้งที่มันเป็นเรื่องธรรมดาบ้างที่เราจะต้องทำความเข้าใจในเนื้อหาในตอนแรก) พี่กังวลจนเครียด มีแต่คำถามในใจที่ว่า “เราจะเอาชนะคนพวกนั้นได้อย่างไร” แต่ประเด็นสำคัญจริงๆไม่ได้อยู่ที่พี่จะสอบทุนเล่าเรียนหลวง หรือ จะเอาชนะนักเรียนจากโรงเรียนพวกนั้นได้อย่างไร ประเด็นสำคัญคือ “ถึงแม้จะเอาชนะได้ มันก็ต้องมีคนที่หล่อกว่า สูงกว่า บ้านรวยกว่า อยู่ดี” พี่ได้เปรียบเทียบตัวเองกับเวอร์ชันอุดมคติที่ไม่มีจริงด้วยซ้ำ*
คำถามพวกนี้ยังตามติดพี่หลังจากที่พี่หลังจากที่พี่เรียนจบม.6 กว่าที่พี่จะได้คำตอบในเรื่องเหล่านี้ ก็ผ่านไปแล้ว 3 ปี หลังจากที่พี่จบม.6
โดยสรุปที่พี่อยากจะฝาก เท่าที่คิดได้ มีดังนี้
1) ไม่ต้องไปกลัวหรอกว่า ใครจะเก่งกว่าน้อง หรือ ถ้าน้องสอบเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงไม่ได้ (เช่นกำเนิดวิทย์ มหิดลวิทยานุสรณ์ เตรียมอุดม) แล้วมันจะตราหน้าน้องไปว่าน้องเป็นคนโง่ คนกระจอก คนอ่อนแอ แค่นี้ก็ทำไม่ได้ แล้วจะไปสอบแข่งชิงทุน แข่งเข้ามหาวิทยาลัยกับพวกนักเรียนจากโรงเรียน กำเนิดวิทย์ มหิดลวิทยานุสรณ์ เตรียมอุดม ได้อย่างไร? (ตอนสมัยที่พี่อยู่ม.ปลาย พี่คิดแบบนี้กับตัวเองจริงๆ ไม่แน่ใจว่าพี่อาจจะคิดมากไปเองก็ได้ แต่พี่ไม่อยากให้ใครคิดแบบนี้เลย คิดแบบนี้มันคือการจำกัดตัวเองด้วยตรรกะของตัวเอง แล้วมันจะไม่สามารถทำอะไรต่อได้เลย) มันมีปัจจัยมากมายที่ทำให้สอบได้ หรือสอบไม่ได้ เช่น วันสอบปวดหัว ตื่นเต้น นอนไม่หลับ หรืออาจจะอ่านเนื้อหามาไม่ตรงกับที่ออกสอบก็ได้ แต่มันไม่ได้หมายความว่า เราโง่ อ่อนแอ ด้อยกว่าเขาในทุกด้าน และก็คนเราสามารถอ่านเพิ่มเติมได้เสมอ โดยเฉพาะยุคนี้ มี Internet และ AI (เช่น ChatGPT) กำเนิดวิทย์ มหิดลวิทยานุสรณ์ เตรียมอุดม ไม่ได้ผูกขาดความรู้ที่ใช้สอบเข้ามหาวิทยาลัยหรอก
2) ไม่ต้องไปกลัวหรอกว่า นักเรียนเตรียมอุดม มหิดลวิทยานุสรณ์ กำเนิดวิทย์ จะเก่งกว่าน้องชนิดที่น้องสู้ไม่ได้ และจะมาแย่งที่นั่งในมหาวิทยาลัย มาแย่งทุนการศึกษาต่างๆ รวมถึงคนที่จะสอบทุนเล่าเรียนหลวงแล้วไม่ได้เรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง (เช่นเตรียมอุดมที่มักจะได้ทุกปี) ก็อย่าได้กังวลไปเลย ปัจจุบันนี้คณะที่พี่เรียนอยู่ มีศิษย์เก่าจากมหิดลวิทยานุสรณ์ กำเนิดวิทย์ เตรียมอุดม และพวกเขาเหล่านั้นแม้จะเรียนเก่งกว่าคนอื่นบ้างในบางครั้ง แต่ก็ต้องอ่านหนังสือ ทบทวนบทเรียน ไม่ต่างไปจากคนอื่นที่เคยเรียนจบจากโรงเรียนประจำจังหวัด และก็น้องบางคนอาจจะเสียใจที่โรงเรียนในจังหวัดของน้องอาจจะไม่ได้มีห้องแลป ไม่ได้มีโอกาสกับครูอาจารย์ที่เก่งๆ ไม่ได้มีโอกาสทำกิจกรรมหลายๆอย่างแบบที่โรงเรียนกำเนิดวิทย์ มหิดลวิทยานุสรณ์ให้ทำ อย่างที่พี่บอกไป โรงเรียนพวกนั้นไม่ได้ผูกขาดความรู้ สิ่งที่โรงเรียนพวกนั้นสอนใช้แลป ก็มีให้ทำในมหาลัย เครื่องมือต่างๆ มีให้ใช้ตอนเรียนมหาลัย ถ้าป.ตรีไม่มีให้ใช้ ก็ยังมีป.โท ถ้าสนใจจริงๆ เราแค่เตรียมตัวอ่านทฤษฎีในช่วงม.ปลายให้ดีก็พอ
3) น้องไม่ต้องไปเสียใจหรอก ถ้าสอบเข้ามหาลัยดังๆ หรือ ทุน(เช่น ทุนเล่าเรียนหลวง) ไม่ได้ อย่างที่บอกไปในข้อแรก มันไม่ได้ตัดสินหรือตีตราน้องหรอกว่า โง่ อ่อนแอ กว่าคนอื่น และถ้าน้องยังอยากเรียนรู้อยู่ จำไว้ว่า ถ้าชีวิตนี้ยังไม่ตาย ก็ยังเรียนได้เสมอ ยังมีโอกาสใช้เครื่องมือต่างๆได้เสมอ
4) พี่รู้และกังวลมาตลอดว่า ในโลกนี้มันไม่ได้แข่งแค่การเรียนอย่างเดียว ถ้าในอนาคตน้องไปเจอคนที่หล่อสูงหน้าตาดีกว่า บ้านรวยกว่า เงินเดือนเยอะกว่า มีแฟนหล่อสวยอบอุ่นกว่า ฯลฯ น้องก็อย่าได้กังวลไปเลย สำหรับตัวพี่เองมีคำตอบให้กับเรื่องนี้แล้ว จนปัจจุบันนี้ถ้าพี่ต้องไปเจอใครที่หล่อสูงหน้าตาดี มีแฟนดี มีเงินเยอะกว่า มีทุกด้านดีกว่า พี่ก็พร้อมที่จะยืนเชิดอกประจันหน้ากับพวกเขาเหล่านั้น แต่คำตอบนี้ พี่เชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า แต่ละคนมีคำตอบที่ตรงใจและถูกต้องสำหรับบริบทของตัวเองไม่เหมือนกัน พี่ไม่สามารถยัดเยียดคำตอบของพี่ให้น้องได้ ในขณะเดียวกันพี่เองก็เคยสงสัยและหาคำตอบจากคนอื่น แต่คำตอบเหล่านั้นก็ยังดูจะขาดอะไรไปสักอย่างถ้าจะมาใช้ในบริบทของพี่ เอาเป็นว่า อย่ากังวล และมีคำตอบสำหรับคำถามนี้ในเวอร์ชันของตัวเอง ตอบตัวเองให้ได้ว่า “ถ้าวันหนึ่งฉันจะต้องไปเจอคนที่หล่อกว่า สูงกว่า รวยกว่า เรียนเก่งกว่า มีทุกด้าน ฉันจะต้องทำอย่างไร”
5) พ่อแม่ไม่ได้เข้าใจเราทุกอย่างหรอก อาจจะเจ็บปวดที่ต้องกล่าวแบบนี้ เรื่องพวกนี้พี่เคยอธิบายให้พวกท่านฟังและหวังให้ท่านเข้าใจ แต่สุดท้ายก็ผิดใจกัน อย่าคาดหวังว่าพ่อแม่จะต้องเข้าใจทุกเรื่อง บุญคุณก็ส่วนบุญคุณ แต่ถ้าเราเอาใจไปผูกพันกับความคาดหวังของพ่อแม่ก็มีโอกาสที่จะทำให้เจ็บปวดได้
6) คำตอบของคำถามที่ว่า “ถ้าเราเจอคนที่ดีกว่าเราในทุกด้าน เราจะทำอย่างไร” ที่พี่ได้กล่าวไปในตอนแรก พี่ขอไม่ตอบนะ แต่พี่เชื่อว่าทุกคนมีคำตอบในเวอร์ชันของตัวเอง ขอให้หาคำตอบนั้นให้เจอ และอย่ากลัวว่าใครจะเก่งกว่า หล่อกว่า บ้านรวยกว่า พี่ไม่อยากบอกว่าให้เชื่อพี่เลย แต่เอาเป็นว่าน้องลองคิดดูว่า จิตใจที่คอยหมกมุ่น จับผิดว่าคนนั้นจะเก่งกว่า จะดีกว่า นั้นเป็นอย่างไร จิตใจที่มีแต่ความไม่สบาย มีแต่ความโลเล พละกำลังของจิตไม่เต็มที่แน่นอน ทำอะไรก็ยาก พี่เคยเป็นมาหลายปีแล้ว อย่าได้เป็นแบบพี่เลย
ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่พี่ได้พิมพ์ลงไปในกระทู้นี้ อาจจะเป็นสิ่งที่พี่คิดมากไปเอง และอาจจะไม่ค่อยมีคนคิดแบบพี่ก็ได้ แต่พี่ก็ได้แต่หวังว่า อย่าให้ใครต้องมาจมในอารมณ์แบบพี่เลย พี่ไม่ได้มาเตือนให้กลัว หรือให้เครียดนะ พี่แค่อยากให้รุ่นน้องได้คิด ก่อนจะหลุดไปในวังวนแบบที่พี่เคยเจอ
หมายเหตุ:
* เวอร์ชันในอุดมคติ (สรุปโดย ChatGPT)
แนวคิดของ 'เวอร์ชันในอุดมคติ' หมายถึง นักศึกษาซึ่งเก่งรอบด้านในสาขาของตนเอง—เช่น นักศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่แก้โจทย์ทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย, นักศึกษาคณิตศาสตร์ที่สามารถสร้างสูตรขึ้นมาได้ทันที, นักศึกษาภาษาที่พูดได้มากกว่า 10 ภาษา พวกเขายังมีความทะเยอทะยาน ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกและเตรียมพร้อมสำหรับยุคใหม่
นอกจากนี้ พวกเขายังสามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ทุกอย่าง (เช่น หาเงินได้อย่างรวดเร็ว) และอาจมีข้อได้เปรียบอื่นๆ เช่น ส่วนสูง, ความสวยหล่อ, ความสามารถด้านกีฬา, หรือพ่อแม่ที่ร่ำรวย
'เวอร์ชันในอุดมคติ' นี้ไม่ใช่ความเป็นจริง แต่ส่งผลต่อการเปรียบเทียบตัวเองของผู้ใช้