นอกจากประชากร ‘อินเดีย’ แซงหน้าประเทศจีนแล้ว อัตราเด็กเกิดใหม่ก็มากที่สุดในโลกด้วย ด้วยจำนวน 2,561 คนในทุกๆ 1 ชั่วโมง

‘ตลาดแรงงาน’ ที่มีทั้งจำนวน และทักษะความสามารถ กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการเข้ามาลงทุนของนักธุรกิจมานานแล้ว เพราะไม่ใช่แค่จำนวนประชากรที่มากเพื่อจะได้พัฒนามาเป็นกลุ่มผู้บริโภคจำนวนมหาศาล แต่อายุเฉลี่ยของ ‘แรงงาน’ ก็มีผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนเช่นกัน
.
ก่อนหน้านี้ประเทศจีนกลายเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก จนกระทั่งกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ได้เผยว่า จำนวนประชากรของอินเดียน่าจะแซงหน้าจีนตั้งแต่ช่วงกลางปี 2023 แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
.
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างเกี่ยวกับ ‘อินเดีย’ ก็คือ อัตราการเกิดทารกในอินเดีย เพราะเป็นสิ่งที่ย้ำได้ว่า ทำไมตลาดแรงงานโลกหันมามองอินเดียเพิ่มขึ้น นอกจากปัจจัยอื่นๆ ก่อนหน้านี้ที่รู้กันอยู่แล้ว เช่น
.
- จำนวนประชากร
- กลุ่มแรงงานที่มีทักษะ
- การเปิดกว้างด้าน FDI หรือการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
- การเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกที่ 7% ต่อปี
.
[ อินเดีย มีเด็กทารกเกิดใหม่มากที่สุดในโลก ]
.
ข้อมูลจาก UN Population Prospects เผยสถิติของปี 2023 เกี่ยวกับประเทศที่มีอัตราการเกิดสูงสุดในโลก โดยคิดเป็นจำนวนเด็กทารกต่อ 1 ชั่วโมงแบบรายประเทศ
.
พบว่ามี 9 ประเทศในโลกที่มีเด็กทารกเกิดพร้อมกันในทุกๆ ชั่วโมงเมื่อรวมกันแล้วเท่ากับ ‘ครึ่งหนึ่ง’ ของจำนวนเด็กทารกเกิดใหม่ทั่วโลก ซึ่ง 9 ประเทศที่พูดถึง ได้แก่ อินเดีย, จีน, ไนจีเรีย, ปากีสถาน, อินโดนีเซีย, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, เอธิโอเปีย, สหรัฐอเมริกา และบังกลาเทศ
.
‘อินเดีย’ เป็นประเทศที่มีอัตราเด็กการเกิดใหม่มากที่สุดในโลก ประมาณ 2,561 คนในทุกๆ 1 ชั่วโมง เทียบกับ ‘จีน’ อันดับ 2 ซึ่งมีจำนวนประมาณ 1,016 คน (ต่างกันเกินเท่าตัว)
.
ส่วนประเทศอื่นที่เหลือใน 9 ประเทศ ก็คือ ไนจีเรีย (857), ปากีสถาน (786), อินโดนีเซีย (512), คองโก (499), เอธิโอเปีย (468), สหรัฐอเมริกา (418), บังกลาเทศ (398) ส่วนที่อื่นบนโลกนี้เมื่อรวมกันจำนวนเด็กทารกที่เกิดใหม่จะอยู่ที่ 7,476 คน น้อยกว่า 9 ประเทศรวมกันซึ่งอยู่ที่ 15,000 คน
.
[ อินเดีย ตลาดแรงงานนักลงทุนจับตา ]
.
ที่ผ่านมาจะเห็นว่าหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก โดยเฉพาะเทคคอพเพนีทั้งหลายได้เข้ามาลงทุนในอินเดียแล้ว ส่วนใหญ่จะเปิดเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) เช่น Amazon และ Apple
.
เหตุผลหลักๆ ที่เลือกอินเดีย ก็เพราะว่าบุคลากรมีทักษะค่อนข้างเยอะ ซึ่งใครน่าจะรู้อยู่แล้วว่าอินเดียมีกลุ่มคนที่เชี่ยวชาญเรื่อง ‘เทคโนโลยี’ จำนวนมากแห่งหนึ่งของโลก และก็มีแหล่งที่หลายคนเรียกว่าเป็น ‘ซิลิคอนแวลลีย์แห่งอินเดีย’ ตั้งอยู่ที่เมืองบังคาลอร์
.
Santos Mehrotra นักเศรษฐศาสตร์ประจำนิวเดลีและศาสตราจารย์จาก University of Bath ในสหราชอาณาจักร ได้กล่าวว่า "อัตราการเกิดวที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ ในอินเดียทำให้มีความน่ากังวลเรื่องตำแหน่งงานที่อาจจะเติบโตเร็วไม่พอ พูดง่ายๆ ก็คือ อินเดียจำเป็นต้องมีตำแหน่งงานรองรับกลุ่มวัยแรงงานเพิ่มขึ้น เพื่อบรรลุศักยภาพของกำลังแรงงานกว่า 1,000 ล้านคน”
.
[ อินเดียมีกลุ่มแรงงานอายุน้อย ]
.
จริงอยู่ที่จีนและสหรัฐฯ ก็เป็นกลุ่มประเทศที่มีจำนวนประชากรมากเป็น top 3 ในโลก แต่อายุเฉลี่ยของประชากรในประเทศมีอายุมากกว่า อยู่ที่ 38 ปี และก็เริ่มประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานอายุน้อยในหลายอุตสาหกรรม
.
เปรียบเทียบกับอินเดีย กลับเป็นประเทศที่มีอายุของแรงงานน้อยกว่า เฉลี่ยอยู่ที่ 29 ปีเท่านั้น ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนประชากรอายุน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับหลายประเทศ อย่าง จีน ที่ องค์การสหประชาชาติ (UN) บอกว่าประชากรวัยแรงงานของจีนอายุเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น และจำนวนพลเมืองก็จะลดลงในอนาคตด้วย
.
บริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Company ได้ประเมินว่าอินเดียต้องสร้างงานที่นอกเหนือจาก ‘ภาคเกษตร’ มากขึ้น รวมทั้งตำแหน่งงาน ‘ด้านไอที’ ที่เกิดจากบริษัทในอินเดีย มากกว่าพึ่งพาบริษัทต่างชาติที่เข้ามาขยายฐานในอินเดีย ซึ่งอาจจะไม่ยั่งยืนในอนาคต เพราะจำนวนแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
.
ในภาพรวมอินเดีย ถือว่ายังเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน โดยข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า มูลค่าตลาดหุ้นของอินเดียในฐานะที่เป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าสูงถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ เดือนมิภุนายน 2567 ทั้งยังเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
.
ซึ่งเป็นผลพวงมาจากความมั่นคงของเศรษฐกิจภายในอินเดีย รวมทั้งภาคธุรกิจ และการบริโภคที่เพิ่มขึ้นภายใน ทำให้เกิดปัจจัยบวกต่อนักลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น และยังมองว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพหลายด้านที่เหมาะต่อการลงทุน

เครดิต
#TODAYBizview
#MakeTomorrowTODAY
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่