1. ถ้าผลการเลือกตั้งปี 2544 เปลี่ยนแปลง…
เป็นไปได้สูงที่ประเทศไทยจะมีโอกาสเข้าใกล้ “ประเทศพัฒนาแล้ว” ในปี 2020 ตามเป้าหมายของ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) เพราะ:
ยึดมั่นในแนวทาง “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” (People-Centered Development) ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาแบบยั่งยืน ไม่เน้นเติบโตแค่ตัวเลขเศรษฐกิจ
ผลักดันการปฏิรูป การศึกษา, สาธารณสุข, ราชการ, และ เศรษฐกิจฐานราก อย่างบูรณาการ โดยมีแผนระยะยาวและวัดผลได้
มีฐานนโยบายที่ได้รับการยอมรับจากสากล เช่น UNESCO, ADB, UNDP (ไม่ใช่แค่แนวคิดไทยๆ) และ จัดทำรัฐธรรมนูญประชาชน 2540 สำเร็จแล้ว
มิติด้านการพัฒนา: ประเทศไทยมีโอกาสก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วในปี 2020
เพราะมี 3 ปัจจัยสำคัญครบถ้วน:
ก. ยุทธศาสตร์ระยะยาวที่เป็นระบบ
เป้าหมายชัดเจน: ประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2020
ขับเคลื่อนผ่าน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (People-Centered Development)
ใช้แผนระดับชาติเป็นเครื่องมือจัดสรรทรัพยากร-ติดตามผลอย่างแท้จริง (ไม่ใช่แค่เอกสาร)
ข. ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ (2538–2540)
ปฏิรูปการศึกษาอย่างแท้จริง: เด็ก 16.68 ล้านคนได้เรียนฟรีจริง พร้อมอาหาร ค่ารถ อุปกรณ์ครบ เดิมมี12.33 ล้าน รับเพิ่มจากครอบครัวยากจน4.35ล้าน
ปฏิรูประบบราชการ-งบประมาณ: ตรงถึงโรงเรียน-โรงพยาบาล ไม่ผ่านระบบเบี้ยหัวแตก
ร่างรัฐธรรมนูญ 2540 สำเร็จ (ประชาชนเป็นศูนย์กลาง)
ค. ความเป็นผู้นำที่มีความรู้ วิสัยทัศน์ และ คุณธรรมจึงสามารถ คิดระบบอภิวัฒน์การศึกษา 2538 และ ผลักดัน จนเป็นรูปธรรมในระดับ จัดทำรัฐธรรมนูญ 2540 ได้สำเร็จ หลังจากเหตุการณ์ปี 2553 ไมีได้รัฐธรรมนูญ สามารถพิสูจน์ได้เเล้วว่า รัฐธรรมนูญปี 2540 ไม่ได้มาจากการเรียกร้องปี 2535
สามารถออกแบบ ( แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับ ที่ 8 และ ผลักดันระบบรองรับ รัฐธรรมนูญ2540 ไม่ใช่การเมืองที่พูดนโยบายสวยหรู
2. มิติด้านการเมือง: ประเทศไทยอาจหลีกเลี่ยงวิกฤตการเมืองหลายครั้ง
ถ้าผลการเลือกตั้งเปลี่ยนในปี 2544:
อาจไม่เกิดรัฐประหารปี 2549 (เพราะการบริหารไม่สร้างแรงปะทะแบบรัฐบาลทักษิณ คนรุ่นใหม่ไม่เข้าใจบริบท ดูได้จากเหตุการณ์ปะทะพรรคส้มในปัจจุบัน)
ความขัดแย้งสีเสื้ออาจไม่เกิด หรือเบาบางลง (เพราะไม่ใช้ประชานิยมแบบขั้วตรงข้าม)
สถาบันประชาธิปไตยอาจเข้มแข็งขึ้น เพราะรัฐธรรมนูญ 2540 ได้รับการเคารพและใช้ต่อเนื่อง
พรรคการเมืองจะถูกบังคับให้มีนโยบายเชิงระบบ ไม่ใช่แค่แจกเงินหรือหาเสียงรายวัน เพราะ นักปฏิรูปการศึกษาสามารถชนะเลือกตั้ง
3. มิติด้านโครงสร้างสังคม: ความเหลื่อมล้ำอาจลดลงอย่างยั่งยืน
เด็กยากจน 4.35 ล้านคนในปี 2538 ที่ได้เข้าเรียน ในปี 2540 เติบโตมาเป็น “ชนชั้นกลางใหม่” ในปี 2560–2570 ปัจจุบันใช่ไหม? แต่กลุ่มไม่ได้อานิสงส์รอรับแจกเงิน ในปัจจุบัน จึงยังมีคนจน 25 ลหลุดควความยากจนประมาณ 35 ล้าน และ 10 ล้านคนซึ่งไม่เคยมีปัญหาใดๆ
ระบบ สวัสดิการแบบมีคุณภาพ จะกลายเป็นมาตรฐาน ไม่ใช่แค่เงินเยียวยา
การพัฒนาท้องถิ่นจะใช้พลังจากประชาชนจริง ไม่ใช่แค่โครงการจากส่วนกลาง อย่างปัจจุบัน
ประเทศจะมี “ทุนมนุษย์” ที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง ไม่กระจุกแค่ในเมือง
บทสรุปวิเคราะห์:
ถ้าการเลือกตั้งปี 2544 เปลี่ยนแปลง
ประเทศไทยมี โอกาสสูงมาก ที่จะกลายเป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” ในปี 2020
และอาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง-รัฐประหารที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ได้ด้วย
ประเทศไทยในปี 2020 อาจมีหน้าตาแบบสแกนดิเนเวีย มากกว่าเกาหลีเหนือผสมบราซิลอย่างในปัจจุบัน
รัฐประหารที่อาจเลี่ยงได้
เป็นไปได้สูงที่ประเทศไทยจะมีโอกาสเข้าใกล้ “ประเทศพัฒนาแล้ว” ในปี 2020 ตามเป้าหมายของ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) เพราะ:
ยึดมั่นในแนวทาง “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” (People-Centered Development) ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาแบบยั่งยืน ไม่เน้นเติบโตแค่ตัวเลขเศรษฐกิจ
ผลักดันการปฏิรูป การศึกษา, สาธารณสุข, ราชการ, และ เศรษฐกิจฐานราก อย่างบูรณาการ โดยมีแผนระยะยาวและวัดผลได้
มีฐานนโยบายที่ได้รับการยอมรับจากสากล เช่น UNESCO, ADB, UNDP (ไม่ใช่แค่แนวคิดไทยๆ) และ จัดทำรัฐธรรมนูญประชาชน 2540 สำเร็จแล้ว
มิติด้านการพัฒนา: ประเทศไทยมีโอกาสก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วในปี 2020
เพราะมี 3 ปัจจัยสำคัญครบถ้วน:
ก. ยุทธศาสตร์ระยะยาวที่เป็นระบบ
เป้าหมายชัดเจน: ประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2020
ขับเคลื่อนผ่าน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (People-Centered Development)
ใช้แผนระดับชาติเป็นเครื่องมือจัดสรรทรัพยากร-ติดตามผลอย่างแท้จริง (ไม่ใช่แค่เอกสาร)
ข. ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ (2538–2540)
ปฏิรูปการศึกษาอย่างแท้จริง: เด็ก 16.68 ล้านคนได้เรียนฟรีจริง พร้อมอาหาร ค่ารถ อุปกรณ์ครบ เดิมมี12.33 ล้าน รับเพิ่มจากครอบครัวยากจน4.35ล้าน
ปฏิรูประบบราชการ-งบประมาณ: ตรงถึงโรงเรียน-โรงพยาบาล ไม่ผ่านระบบเบี้ยหัวแตก
ร่างรัฐธรรมนูญ 2540 สำเร็จ (ประชาชนเป็นศูนย์กลาง)
ค. ความเป็นผู้นำที่มีความรู้ วิสัยทัศน์ และ คุณธรรมจึงสามารถ คิดระบบอภิวัฒน์การศึกษา 2538 และ ผลักดัน จนเป็นรูปธรรมในระดับ จัดทำรัฐธรรมนูญ 2540 ได้สำเร็จ หลังจากเหตุการณ์ปี 2553 ไมีได้รัฐธรรมนูญ สามารถพิสูจน์ได้เเล้วว่า รัฐธรรมนูญปี 2540 ไม่ได้มาจากการเรียกร้องปี 2535
สามารถออกแบบ ( แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับ ที่ 8 และ ผลักดันระบบรองรับ รัฐธรรมนูญ2540 ไม่ใช่การเมืองที่พูดนโยบายสวยหรู
2. มิติด้านการเมือง: ประเทศไทยอาจหลีกเลี่ยงวิกฤตการเมืองหลายครั้ง
ถ้าผลการเลือกตั้งเปลี่ยนในปี 2544:
อาจไม่เกิดรัฐประหารปี 2549 (เพราะการบริหารไม่สร้างแรงปะทะแบบรัฐบาลทักษิณ คนรุ่นใหม่ไม่เข้าใจบริบท ดูได้จากเหตุการณ์ปะทะพรรคส้มในปัจจุบัน)
ความขัดแย้งสีเสื้ออาจไม่เกิด หรือเบาบางลง (เพราะไม่ใช้ประชานิยมแบบขั้วตรงข้าม)
สถาบันประชาธิปไตยอาจเข้มแข็งขึ้น เพราะรัฐธรรมนูญ 2540 ได้รับการเคารพและใช้ต่อเนื่อง
พรรคการเมืองจะถูกบังคับให้มีนโยบายเชิงระบบ ไม่ใช่แค่แจกเงินหรือหาเสียงรายวัน เพราะ นักปฏิรูปการศึกษาสามารถชนะเลือกตั้ง
3. มิติด้านโครงสร้างสังคม: ความเหลื่อมล้ำอาจลดลงอย่างยั่งยืน
เด็กยากจน 4.35 ล้านคนในปี 2538 ที่ได้เข้าเรียน ในปี 2540 เติบโตมาเป็น “ชนชั้นกลางใหม่” ในปี 2560–2570 ปัจจุบันใช่ไหม? แต่กลุ่มไม่ได้อานิสงส์รอรับแจกเงิน ในปัจจุบัน จึงยังมีคนจน 25 ลหลุดควความยากจนประมาณ 35 ล้าน และ 10 ล้านคนซึ่งไม่เคยมีปัญหาใดๆ
ระบบ สวัสดิการแบบมีคุณภาพ จะกลายเป็นมาตรฐาน ไม่ใช่แค่เงินเยียวยา
การพัฒนาท้องถิ่นจะใช้พลังจากประชาชนจริง ไม่ใช่แค่โครงการจากส่วนกลาง อย่างปัจจุบัน
ประเทศจะมี “ทุนมนุษย์” ที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง ไม่กระจุกแค่ในเมือง
บทสรุปวิเคราะห์:
ถ้าการเลือกตั้งปี 2544 เปลี่ยนแปลง
ประเทศไทยมี โอกาสสูงมาก ที่จะกลายเป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” ในปี 2020
และอาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง-รัฐประหารที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ได้ด้วย
ประเทศไทยในปี 2020 อาจมีหน้าตาแบบสแกนดิเนเวีย มากกว่าเกาหลีเหนือผสมบราซิลอย่างในปัจจุบัน