สืบเนื่องจากคุณลูกชาย สามารถปฏิบัติภารกิจสำเร็จตามที่ parent ตั้ง KPI ไว้ (สอบเข้า ม.1) จึงพากันไปเฉลิมฉลองที่ Samui Island เกาะใหญ่อันดับสองของไทยแลนด์
ไม่แน่ใจ คุณภรรยาไปเที่ยวทิพย์กับ page ไหน ถึงได้มี idea ว่าอยากไปสมุยทางเรือ
ซึ่งปกติ ไปสมุย ไม่ทางเครื่องบิน ก็ต้องทางเรือ เพราะเป็นเกาะ แต่เรือที่ว่า ไม่ใช่นั่งเรือ 1 ชั่วโมงครึ่งนะ
แต่เป็นการนั่งเรือ 22 ชั่วโมง อันนี้ ไม่ปกติละ
ได้ยินตอนแรก เออ น่าสนุกแฮ๊ะ (คงเพราะใจเรายังเด็กอยู่) จึงเปิดไฟเขียวให้
พากันเลือกดูที่พัก ที่เที่ยว จะไปเกาะไหนบ้างแถวนั้น
”หมู่เกาะอ่างทอง“ ก็สวย “เกาะเต่า” ก็เข้าท่า “เกาะพะงัน” ก็ขึ้นชื่อ โดยเฉพาะ “งานสังสรรค์วันพระจันทร์เต็มดวง” น่าไป join สักครั้ง
สรุปสุดท้าย เที่ยวเกาะสมุยที่เดียวนี่แหล่ะ กลัวเมียเหนื่อย...
07.49 น. ของวันที่ 3 เม.ย. 25 ได้ฤกษ์เดินทางจากระยอง direct drive ไปจอดรถที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ซึ่งมีที่จอดรถเหลือเฟือ
จอดรถเสร็จ 10 โมงนิดๆ ลากกระเป๋าเดินทาง 3 ใบ (ประหนึ่งกำลังจะเดินทางข้ามประเทศ) พร้อมกระเป๋าหิ้วใบใหญ่อีกหนึ่งใบ ที่ใส่สัมภาระสำคัญของคุณภรรยา ซึ่งก็คือ “หมอน” ประจำตัว...
กรุณาอย่าสังสัย จะแบกหมอนไปทำไม มันเป็นเรื่องทางใจล้วนๆ เอาที่เธอสบายใจเลยครับ
พวกเราเดินลากกระเป๋า เพื่อไปต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ในสถานีรถไฟนี้
ลืมจับระยะทาง เลยไม่รู้ว่าเดินไกลแค่ไหน เล่นเอาซะหอบ
จะสร้างให้ใหญ่ไปไหนเนี่ยท่าน รมต. แต่เข้าใจได้ มันต้องสร้างให้ยิ่งใหญ่ไว้ก่อน เผื่ออนาคต...อันไกลโพ้น
เดินทางต่อด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน ไปสู่จุดหมายปลายทางที่สถานี ”เพชรเกษม 48“ ซึ่งต้องผ่านอีก 25 สถานี พร้อมกระเป๋าสัมภาระหลายใบ โดยเฉพาะใบใหญ่ใส่หมอน (เกะกะมาก)
ผู้โดยสารคนอื่นคงสงสัย พวก

ขึ้นรถไฟผิดสายหรือเปล่าวะ
เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ เพิ่งเคยนั่งรถไฟฟ้าไกลที่สุดก็วันนี้แหล่ะ
ที่สำคัญ ยืนเกือบตลาดสาย น่าชื่นใจแทนผู้ลงทุนจริงๆ
ถึงสถานีเป้าหมาย นาฬิกาบอกเวลา 11 โมงกว่า พาลูกเมียเดินหิ้วกระเป๋าเดินทางลงบันไดสถานีรถไฟฟ้า ทุลักทุเลมาก
ลืมไปว่ามี elevator สำหรับคนพิการและผู้ชรา แต่พวกเราไม่เข้าข่าย เลยไม่ได้ใช้
จุดหมายปลายทางของพวกเราคือ “ร้านข้าวขาหมูบางหว้า” ที่อยู่ใต้สถานีรถไฟฟ้านั่นแหล่ะ ผมเดินนำลิ่ว เข้าไปนั่งในร้านคนแรกเลย (กลัวไม่ได้กิน)
จริงๆ ต้องไม่ใช้คำว่า “ของพวกเรา” แต่เป็น “ของผม” มากกว่า เพราะพ่อมันอยากกิน แต่แม่คัดค้าน เพราะเป็นห่วง กลัวสามีอายุสั้น ไขมันในเลือดเยอะ
แต่ผมใช้เหตุและผล คือ ไม่ได้มากินบ่อย ไม่กินเยอะ มันต้องผ่านร้านนี้อยู่แล้ว ฯลฯ
จัดเต็มมากมื้อนั้น กินเหมือนคนตายอดตายอยาก
สั่งเพิ่มจนเด็กเสริฟถามย้ำ
“พี่จะสั่งกลับบ้านเหรอครับ”
“เปล่าน้อง กินต่อที่นี่แหล่ะ“ เมียผมเป็นคนตอบ
ทานเสร็จเกือบเที่ยง ลากกระเป๋ามายืนหน้าร้าน ริมถนน เพื่อเรียก taxi
โบกแล้วโบกอีก ทำไม taxi ไม่จอด คน 4 คน กระเป๋าเดินทาง 3 ใบ กระเป๋าใบโตแต่ไม่หนักอีกหนึ่งใบ งงมาก...
เจ้าลูกชายเริ่มใจคอไม่ดี ชวนขึ้นรถไฟฟ้า เพื่อไปที่ท่าเรือเลย ถ้ามี direct line พ่อคงไม่ได้กินข้าวขาหมูอะครับลูก
ในที่สุด ก็มี taxi นิสัยดี จอดรับ 1 คัน เป็นรถไฟฟ้าซะด้วย
ระหว่างทาง update สภาวะเศรษฐกิจและการทำมาหากินในกรุงเทพกับ taxi driver ได้ความว่า สภาพเศรษฐกิจไม่ค่อยดี แฟนคนขับทำร้านอาหาร ส่วนตัวเองต้องขับ taxi ช่วยกันอีกทางหนึ่ง และต้องปรับตัวใช้ technology ช่วย โดยเฉพาะ app เรียกรถต่างๆ แกสังกัดทุกค่ายเลย ซึ่งช่วยได้เยอะเพราะปัจจุบัน ผู้โดยสารในกรุงเทพจะเรียก taxi ผ่าน app กันทั้งนั้น
มีไม่เยอะหรอก ที่จะมายืนโบกรถเหมือนบ้านผม
เอ๊ะ นี่พี่แกหาว่าเราบ้านนอกหรือเปล่าวะ (คิดดังๆในใจ)
App แต่ละค่าย หักค่าหัวคิวต่างกัน วันนั้นรู้หมด ค่ายไหนหักเท่าไหร่
ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ถึงที่หมายอีกแห่งคือ ท่าเรือโกดังแสงทองค้าข้าว ถ.ราษฎร์บูรณะ ซึ่งเป็นจุดขึ้นเรือ เพื่อเดินทางไปสมุย
ค่า taxi 130 บาท คนขับรถลดให้ 1 บาท จากตัวเลขที่โชว์บนมิเตอร์ ผมให้เงินไป 200 บาท บอกไม่ต้องทอน โทษฐานที่สุภาพและคุยถูกคอ
ช่วงรอภรรยาเข้าไปเคลียร์เรื่องตั๋วเรือ ผมนั่ง load app เรียกรถมาหนึ่งค่าย ชื่ออักษรแรกคือตัว “B" ที่คนขับแท๊กซี่รับประกันว่าดีต่อทั้งผู้โดยสารและคนขับ จัดไปครับพี่น้อง
Lesson learn อย่างหนึ่งที่ได้จากพี่ taxi driver คือ ต่อให้สภาพเศษฐกิจไม่ดี แต่ถ้าขยันทำมาหากิน ไม่มัวแต่นั่งงอมือ งอเท้า รอโชคชะตา ฟ้าหล่นทับ ยังไงก็อยู่รอด
เกือบบ่ายโมง ลากกระเป๋าขึ้นเรือ "Seahorse" เรือ ferry ขนาดใหญ่ ที่พวกเราจะใช้เป็นยานพาหนะเดินทางในครั้งนี้
เห็นครั้งแรก ยังตกใจ ใหญ่กว่าที่คิดเยอะ จุรถได้สองร้อยกว่าคันสบายๆ
พอเข้ามาในตัวเรือ จะเจอโถงขนาดใหญ่ ที่เอาไว้จอดรถ จากนั้นเดินขึ้นบันไดเลื่อน ไปชั้น 3 เพื่อ check-in ที่ reception รับ key card และกุญแจ ประหนึ่งเข้าพักที่ รร. สามดาวครึ่ง
คุณภรรยาจองห้องนอนแบบ capsule เป็นช่องใครช่องมัน ตกคนละ 3,500 บาท
ตอนแรกที่จอง ผมถามว่า “ไม่มีแบบ family room รึ”
เธอบอก “มี แต่มันแพง”
ผมถาม “เท่าไหร่”
”สองหมื่นกว่า“ เธอตอบ
“Okay แบบ capsule ดีแล้ว” ผมสวนทันที
พวกเราได้รับ key card มา 4 ใบ เอาไว้เปิดประตู เข้า zone นี้ โดยมี 2 ใบที่พ่วงมาด้วยกุญแจ เราสี่คน ได้สองช่อง(ไม่ใช่ห้อง)ติดกัน ผมอยู่ช่องเดียวกับภรรยา ส่วนลูกสาวกับลูกชายอยู่ช่องเดียวกัน
พอไขประตู(ลอย)สวิงบานเล็กเข้าไป จะเจอ step บันได 4 ขั้น แคบๆ กว้างประมาณ 60 cm ภายในช่องแคบนั้น มี 2 capsules
ผมนอน capsule ล่างซ้ายมือ (คนที่นอนเหนือผมคือใครก็ไม่รู้) ส่วนภรรยานอน capsule บนขวามือ ต้องเดินขึ้น step บันได 4 ขั้น ซึ่งอยู่เหนือเตียงลูกสาวในช่องถัดไป ส่วนลูกชายก็นอนเตียงบน (ซึ่งอยู่เหนือใครก็ไม่รู้เหมือนกัน)
หลังจากสำรวจที่ซุกหัวนอนและวางกระเป๋าเรียบร้อยภายในระยะเวลา 5 นาที จึงได้เวลาสำรวจเรือ ซึ่งช่วงนี้ คุณลูกสาวกับลูกชายจะกระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษ เพราะนี่คือประสบการณ์ขึ้นเรือใหญ่ครั้งแรกของพวกเขา (ไม่นับเรือรบที่จอดอยู่แถวสัตหีบนะ) รวมพ่อแม่ด้วยแหล่ะ
Zone capsule ที่เรานอน จะอยู่ประมาณชั้น 3 ด้านท้ายเรือ เดินออกมา จะผ่านห้องน้ำและห้องอาบน้ำ ที่คุณภรรยาชื่นชมว่า สะอาดมาก
จากนั้นจะเจอพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นเหมือน lobby มี sofa รับแขก ทีวี 3 จอ (เปิดโฆษณาเรือกับผู้สนับสนุนหลักวนไปวนมา) Kid zone ห้องเล่นเกมส์ เก้าอี้นวดแบบเติมเงิน 2 ตัว ถัดจากส่วนนี้ไปด้านหน้าเรือ จะเป็นห้องพักส่วนตัวแบบ sea view ราคาน่าจะแพง
ถัดขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง มีบันไดโค้งขึ้นได้สองทาง ซ้ายขวา ไปบรรจบกันที่ด้านบน ซึ่งชั้นนี้ ผมขอตั้งชื่อให้ว่า ”ชั้นดูดเงิน“
เพราะด้านหนึ่งจะเป็นมุมที่วางเครื่องคีบตุ๊กตา 4-5 ตู้ และตู้เล่นเกมส์อีก 1 ตู้ ที่ส่งเสียงเรียกแขกตลอดเวลา คุณภรรยาน่าจะหมดไปหลายร้อย กว่าจะได้ตุ๊กตา 2 ตัว (ราคาคงไม่กี่สิบบาท) มาฝากลูกๆ
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เป็นทางเดินไปสู่ห้องอาหาร indoor ที่มีบรรยากาศน่านั่ง ออกแนว ocean classic แต่ราคาสินค้า ไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่
ที่ชั้นนี้ ยังมี zone ห้องพักส่วนตัวด้านท้ายเรือ แต่ราคาน่าจะไม่แรงมาก (มั๊ง)
พอเปิดประตูด้านข้างออกไปด้านนอก ซึ่งสามารถออกได้ทั้งฝั่งซ้ายและขวา จะเป็นทางเดินข้างเรือ ที่เดินไปชมวิวด้านท้ายเรือได้แบบ panorama 180 องศา และถ้าเดินไปด้านหน้าที่กาบขวาของเรือ จะมีบันไดขึ้นไปสู่ roof top bar ของเรือลำนี้ ที่มีเวทีดนตรี และโต๊ะอาหารวางเรียงรายอยู่หลายโต๊ะ เหมาะสำหรับนั่ง dinner ชมพระอาทิตย์ตกทะเลเป็นอย่างยิ่ง
แต่ตอนนี้ ไม่เหมาะอย่างยิ่ง เพราะแดดร้อนเปรี้ยง
บ่ายสองนิดๆ เรือขยับออกจากท่า ได้เวลาเดินทาง ซึ่งเป็น direct float ไปที่สมุย แบบไม่ต้องแวะ transit เรือที่ท่าไหน และด้วยเรือลำใหญ่ จึงนิ่งเกือบสนิท ไม่มีโคลงเคลงให้ชวนเมาเรือเลย
หลังจากสำรวจเรือเสร็จ พวกเราพากันไปนั่งตากแอร์ในห้องอาหาร รับ welcome snack คือ ข้าวโพดคั่ว คนละแก้ว (พลาสติก) พร้อมสั่งน้ำหวานเย็น และไอศกรีมเพื่อดับกระหาย
นั่งไปชั่วโมงกว่า เริ่มเกรงใจเด็กเสิร์ฟ จึงพากันย้ายไปตากแอร์ที่อื่นต่อ
พอแดดร่มลมตก เรือออกอ่าวไทยไปไกล สัญญาณโทรศัพท์หายไปด้วย นี่คือข้อดีอย่างหนึ่งของการนั่งเรือ trip นี้ คือพวกเราถูกตัดขาดจากโลก (social) ภายนอกโดยสิ้นเชิง
จึงพากันออกไปรับลมชมวิวด้านนอก ซึ่งวิวที่เห็นคือ ท้องฟ้า ก้อนเมฆ ทะเลและเกลียวคลื่น แค่นี้ แต่ดีต่อใจมากมาย
พอเรือออกอ่าวไทย คลื่นเริ่มใหญ่ขึ้น คุณภรรยาเริ่มรู้สึก “มึนและเมา” นิดๆ จึงชวนกันลงไปนั่งที่ห้องอาหาร ไม่ไป roof top เพราะน่าจะโคลงกว่าข้างล่าง
ถามน้องที่ counter ห้องอาหารว่า “มีเมนูแก้เมาเรือไหม”
น้องเลยแนะนำมาว่า “ต้องดื่มให้เมา จะได้ไม่เมาเรือ”
”นี่แก้ได้จริง หรือน้องหลอกขายของ“ ผมถามกลับด้วยความสุภาพ
“พี่เชื่อหนู“ น้องยืนยัน
”หนูเมาบนเรือลำนี้มาหลายปีแล้ว“ ประสบการณ์เยอะนะเรา
คิดในใจ ทำไมน้องมันยังเมาอยู่วะ พอมองหน้าดีๆ ก็ถึงบางอ้อ สงสัยจะเมาเหล้า
จึงสั่ง local beer ของ Mexico มาหนึ่งขวด wine แดง หนึ่งกระป๋องเล็ก (ไม่มีแบบขวดขายนะจ๊ะ งงเหมือนกัน) เบียร์รสชาติดี ส่วน wine กระป๋อง อยากขอเงินคืนมาก
สั่งอาหารเย็นให้เด็กกิน และเห็น promotion ใน menu คือ ปีกไก่ทอดพ่วงสาเก จึงลองสั่ง เพราะลูกสาวชอบกินไก่ทอด
ปรากฎว่า สาเก รสชาติดีมาก ดื่มง่าย กะจะสั่งเพิ่ม แต่คุณภรรยาบอก ”พอเถอะ“ หลายขนานแล้ว
เกือบสองทุ่ม จึงพากันออกไปรับลมที่ท้ายเรือ ซึ่งมีเก้าอี้ผ้าใบตัวเล็ก สำหรับ customer นั่งเล่น พวกเรานั่งคุยกัน ดูหมู่ดาวบนท้องฟ้า มองฟ้าแลบฟ้าร้องอยู่ไกลๆ บนฝั่ง
เป็นอีกหนึ่ง moment ที่น่าประทับใจของ family เรา แต่เข้าใจว่าคงมีคนคิดถึงสัญญาณ 5G ใจจะขาด
สองทุ่มกว่า ได้เวลาอาบน้ำเข้านอน ห้องอาบน้ำมีผ้าม่านกั้นแทนประตู ยังดีที่ไม่มีใครเปิดผ้าม่านผิดห้องขณะอาบน้ำ
พอทุกคนหัวถึงหมอน เข้าใจว่าคงหลับเร็วและหลับสบาย เพราะประหนึ่งนอนเปล แล้วมีคนโยกไกวเปลให้เบาๆ ทั้งคืน
Sweet Dreams Everybody...
(To be continued)
จากระยองไปสมุย เดินทางอีท่าไหน ใช้เวลาเกือบ 2 วัน (ไม่รวมเที่ยว)
ไม่แน่ใจ คุณภรรยาไปเที่ยวทิพย์กับ page ไหน ถึงได้มี idea ว่าอยากไปสมุยทางเรือ
ซึ่งปกติ ไปสมุย ไม่ทางเครื่องบิน ก็ต้องทางเรือ เพราะเป็นเกาะ แต่เรือที่ว่า ไม่ใช่นั่งเรือ 1 ชั่วโมงครึ่งนะ
แต่เป็นการนั่งเรือ 22 ชั่วโมง อันนี้ ไม่ปกติละ
ได้ยินตอนแรก เออ น่าสนุกแฮ๊ะ (คงเพราะใจเรายังเด็กอยู่) จึงเปิดไฟเขียวให้
พากันเลือกดูที่พัก ที่เที่ยว จะไปเกาะไหนบ้างแถวนั้น
”หมู่เกาะอ่างทอง“ ก็สวย “เกาะเต่า” ก็เข้าท่า “เกาะพะงัน” ก็ขึ้นชื่อ โดยเฉพาะ “งานสังสรรค์วันพระจันทร์เต็มดวง” น่าไป join สักครั้ง
สรุปสุดท้าย เที่ยวเกาะสมุยที่เดียวนี่แหล่ะ กลัวเมียเหนื่อย...
07.49 น. ของวันที่ 3 เม.ย. 25 ได้ฤกษ์เดินทางจากระยอง direct drive ไปจอดรถที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ซึ่งมีที่จอดรถเหลือเฟือ
จอดรถเสร็จ 10 โมงนิดๆ ลากกระเป๋าเดินทาง 3 ใบ (ประหนึ่งกำลังจะเดินทางข้ามประเทศ) พร้อมกระเป๋าหิ้วใบใหญ่อีกหนึ่งใบ ที่ใส่สัมภาระสำคัญของคุณภรรยา ซึ่งก็คือ “หมอน” ประจำตัว...
กรุณาอย่าสังสัย จะแบกหมอนไปทำไม มันเป็นเรื่องทางใจล้วนๆ เอาที่เธอสบายใจเลยครับ
พวกเราเดินลากกระเป๋า เพื่อไปต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ในสถานีรถไฟนี้
ลืมจับระยะทาง เลยไม่รู้ว่าเดินไกลแค่ไหน เล่นเอาซะหอบ
จะสร้างให้ใหญ่ไปไหนเนี่ยท่าน รมต. แต่เข้าใจได้ มันต้องสร้างให้ยิ่งใหญ่ไว้ก่อน เผื่ออนาคต...อันไกลโพ้น
เดินทางต่อด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน ไปสู่จุดหมายปลายทางที่สถานี ”เพชรเกษม 48“ ซึ่งต้องผ่านอีก 25 สถานี พร้อมกระเป๋าสัมภาระหลายใบ โดยเฉพาะใบใหญ่ใส่หมอน (เกะกะมาก)
ผู้โดยสารคนอื่นคงสงสัย พวก
เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ เพิ่งเคยนั่งรถไฟฟ้าไกลที่สุดก็วันนี้แหล่ะ
ที่สำคัญ ยืนเกือบตลาดสาย น่าชื่นใจแทนผู้ลงทุนจริงๆ
ถึงสถานีเป้าหมาย นาฬิกาบอกเวลา 11 โมงกว่า พาลูกเมียเดินหิ้วกระเป๋าเดินทางลงบันไดสถานีรถไฟฟ้า ทุลักทุเลมาก
ลืมไปว่ามี elevator สำหรับคนพิการและผู้ชรา แต่พวกเราไม่เข้าข่าย เลยไม่ได้ใช้
จุดหมายปลายทางของพวกเราคือ “ร้านข้าวขาหมูบางหว้า” ที่อยู่ใต้สถานีรถไฟฟ้านั่นแหล่ะ ผมเดินนำลิ่ว เข้าไปนั่งในร้านคนแรกเลย (กลัวไม่ได้กิน)
จริงๆ ต้องไม่ใช้คำว่า “ของพวกเรา” แต่เป็น “ของผม” มากกว่า เพราะพ่อมันอยากกิน แต่แม่คัดค้าน เพราะเป็นห่วง กลัวสามีอายุสั้น ไขมันในเลือดเยอะ
แต่ผมใช้เหตุและผล คือ ไม่ได้มากินบ่อย ไม่กินเยอะ มันต้องผ่านร้านนี้อยู่แล้ว ฯลฯ
จัดเต็มมากมื้อนั้น กินเหมือนคนตายอดตายอยาก
สั่งเพิ่มจนเด็กเสริฟถามย้ำ
“พี่จะสั่งกลับบ้านเหรอครับ”
“เปล่าน้อง กินต่อที่นี่แหล่ะ“ เมียผมเป็นคนตอบ
ทานเสร็จเกือบเที่ยง ลากกระเป๋ามายืนหน้าร้าน ริมถนน เพื่อเรียก taxi
โบกแล้วโบกอีก ทำไม taxi ไม่จอด คน 4 คน กระเป๋าเดินทาง 3 ใบ กระเป๋าใบโตแต่ไม่หนักอีกหนึ่งใบ งงมาก...
เจ้าลูกชายเริ่มใจคอไม่ดี ชวนขึ้นรถไฟฟ้า เพื่อไปที่ท่าเรือเลย ถ้ามี direct line พ่อคงไม่ได้กินข้าวขาหมูอะครับลูก
ในที่สุด ก็มี taxi นิสัยดี จอดรับ 1 คัน เป็นรถไฟฟ้าซะด้วย
ระหว่างทาง update สภาวะเศรษฐกิจและการทำมาหากินในกรุงเทพกับ taxi driver ได้ความว่า สภาพเศรษฐกิจไม่ค่อยดี แฟนคนขับทำร้านอาหาร ส่วนตัวเองต้องขับ taxi ช่วยกันอีกทางหนึ่ง และต้องปรับตัวใช้ technology ช่วย โดยเฉพาะ app เรียกรถต่างๆ แกสังกัดทุกค่ายเลย ซึ่งช่วยได้เยอะเพราะปัจจุบัน ผู้โดยสารในกรุงเทพจะเรียก taxi ผ่าน app กันทั้งนั้น
มีไม่เยอะหรอก ที่จะมายืนโบกรถเหมือนบ้านผม
เอ๊ะ นี่พี่แกหาว่าเราบ้านนอกหรือเปล่าวะ (คิดดังๆในใจ)
App แต่ละค่าย หักค่าหัวคิวต่างกัน วันนั้นรู้หมด ค่ายไหนหักเท่าไหร่
ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ถึงที่หมายอีกแห่งคือ ท่าเรือโกดังแสงทองค้าข้าว ถ.ราษฎร์บูรณะ ซึ่งเป็นจุดขึ้นเรือ เพื่อเดินทางไปสมุย
ค่า taxi 130 บาท คนขับรถลดให้ 1 บาท จากตัวเลขที่โชว์บนมิเตอร์ ผมให้เงินไป 200 บาท บอกไม่ต้องทอน โทษฐานที่สุภาพและคุยถูกคอ
ช่วงรอภรรยาเข้าไปเคลียร์เรื่องตั๋วเรือ ผมนั่ง load app เรียกรถมาหนึ่งค่าย ชื่ออักษรแรกคือตัว “B" ที่คนขับแท๊กซี่รับประกันว่าดีต่อทั้งผู้โดยสารและคนขับ จัดไปครับพี่น้อง
Lesson learn อย่างหนึ่งที่ได้จากพี่ taxi driver คือ ต่อให้สภาพเศษฐกิจไม่ดี แต่ถ้าขยันทำมาหากิน ไม่มัวแต่นั่งงอมือ งอเท้า รอโชคชะตา ฟ้าหล่นทับ ยังไงก็อยู่รอด
เกือบบ่ายโมง ลากกระเป๋าขึ้นเรือ "Seahorse" เรือ ferry ขนาดใหญ่ ที่พวกเราจะใช้เป็นยานพาหนะเดินทางในครั้งนี้
เห็นครั้งแรก ยังตกใจ ใหญ่กว่าที่คิดเยอะ จุรถได้สองร้อยกว่าคันสบายๆ
พอเข้ามาในตัวเรือ จะเจอโถงขนาดใหญ่ ที่เอาไว้จอดรถ จากนั้นเดินขึ้นบันไดเลื่อน ไปชั้น 3 เพื่อ check-in ที่ reception รับ key card และกุญแจ ประหนึ่งเข้าพักที่ รร. สามดาวครึ่ง
คุณภรรยาจองห้องนอนแบบ capsule เป็นช่องใครช่องมัน ตกคนละ 3,500 บาท
ตอนแรกที่จอง ผมถามว่า “ไม่มีแบบ family room รึ”
เธอบอก “มี แต่มันแพง”
ผมถาม “เท่าไหร่”
”สองหมื่นกว่า“ เธอตอบ
“Okay แบบ capsule ดีแล้ว” ผมสวนทันที
พวกเราได้รับ key card มา 4 ใบ เอาไว้เปิดประตู เข้า zone นี้ โดยมี 2 ใบที่พ่วงมาด้วยกุญแจ เราสี่คน ได้สองช่อง(ไม่ใช่ห้อง)ติดกัน ผมอยู่ช่องเดียวกับภรรยา ส่วนลูกสาวกับลูกชายอยู่ช่องเดียวกัน
พอไขประตู(ลอย)สวิงบานเล็กเข้าไป จะเจอ step บันได 4 ขั้น แคบๆ กว้างประมาณ 60 cm ภายในช่องแคบนั้น มี 2 capsules
ผมนอน capsule ล่างซ้ายมือ (คนที่นอนเหนือผมคือใครก็ไม่รู้) ส่วนภรรยานอน capsule บนขวามือ ต้องเดินขึ้น step บันได 4 ขั้น ซึ่งอยู่เหนือเตียงลูกสาวในช่องถัดไป ส่วนลูกชายก็นอนเตียงบน (ซึ่งอยู่เหนือใครก็ไม่รู้เหมือนกัน)
หลังจากสำรวจที่ซุกหัวนอนและวางกระเป๋าเรียบร้อยภายในระยะเวลา 5 นาที จึงได้เวลาสำรวจเรือ ซึ่งช่วงนี้ คุณลูกสาวกับลูกชายจะกระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษ เพราะนี่คือประสบการณ์ขึ้นเรือใหญ่ครั้งแรกของพวกเขา (ไม่นับเรือรบที่จอดอยู่แถวสัตหีบนะ) รวมพ่อแม่ด้วยแหล่ะ
Zone capsule ที่เรานอน จะอยู่ประมาณชั้น 3 ด้านท้ายเรือ เดินออกมา จะผ่านห้องน้ำและห้องอาบน้ำ ที่คุณภรรยาชื่นชมว่า สะอาดมาก
จากนั้นจะเจอพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นเหมือน lobby มี sofa รับแขก ทีวี 3 จอ (เปิดโฆษณาเรือกับผู้สนับสนุนหลักวนไปวนมา) Kid zone ห้องเล่นเกมส์ เก้าอี้นวดแบบเติมเงิน 2 ตัว ถัดจากส่วนนี้ไปด้านหน้าเรือ จะเป็นห้องพักส่วนตัวแบบ sea view ราคาน่าจะแพง
ถัดขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง มีบันไดโค้งขึ้นได้สองทาง ซ้ายขวา ไปบรรจบกันที่ด้านบน ซึ่งชั้นนี้ ผมขอตั้งชื่อให้ว่า ”ชั้นดูดเงิน“
เพราะด้านหนึ่งจะเป็นมุมที่วางเครื่องคีบตุ๊กตา 4-5 ตู้ และตู้เล่นเกมส์อีก 1 ตู้ ที่ส่งเสียงเรียกแขกตลอดเวลา คุณภรรยาน่าจะหมดไปหลายร้อย กว่าจะได้ตุ๊กตา 2 ตัว (ราคาคงไม่กี่สิบบาท) มาฝากลูกๆ
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เป็นทางเดินไปสู่ห้องอาหาร indoor ที่มีบรรยากาศน่านั่ง ออกแนว ocean classic แต่ราคาสินค้า ไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่
ที่ชั้นนี้ ยังมี zone ห้องพักส่วนตัวด้านท้ายเรือ แต่ราคาน่าจะไม่แรงมาก (มั๊ง)
พอเปิดประตูด้านข้างออกไปด้านนอก ซึ่งสามารถออกได้ทั้งฝั่งซ้ายและขวา จะเป็นทางเดินข้างเรือ ที่เดินไปชมวิวด้านท้ายเรือได้แบบ panorama 180 องศา และถ้าเดินไปด้านหน้าที่กาบขวาของเรือ จะมีบันไดขึ้นไปสู่ roof top bar ของเรือลำนี้ ที่มีเวทีดนตรี และโต๊ะอาหารวางเรียงรายอยู่หลายโต๊ะ เหมาะสำหรับนั่ง dinner ชมพระอาทิตย์ตกทะเลเป็นอย่างยิ่ง
แต่ตอนนี้ ไม่เหมาะอย่างยิ่ง เพราะแดดร้อนเปรี้ยง
บ่ายสองนิดๆ เรือขยับออกจากท่า ได้เวลาเดินทาง ซึ่งเป็น direct float ไปที่สมุย แบบไม่ต้องแวะ transit เรือที่ท่าไหน และด้วยเรือลำใหญ่ จึงนิ่งเกือบสนิท ไม่มีโคลงเคลงให้ชวนเมาเรือเลย
หลังจากสำรวจเรือเสร็จ พวกเราพากันไปนั่งตากแอร์ในห้องอาหาร รับ welcome snack คือ ข้าวโพดคั่ว คนละแก้ว (พลาสติก) พร้อมสั่งน้ำหวานเย็น และไอศกรีมเพื่อดับกระหาย
นั่งไปชั่วโมงกว่า เริ่มเกรงใจเด็กเสิร์ฟ จึงพากันย้ายไปตากแอร์ที่อื่นต่อ
พอแดดร่มลมตก เรือออกอ่าวไทยไปไกล สัญญาณโทรศัพท์หายไปด้วย นี่คือข้อดีอย่างหนึ่งของการนั่งเรือ trip นี้ คือพวกเราถูกตัดขาดจากโลก (social) ภายนอกโดยสิ้นเชิง
จึงพากันออกไปรับลมชมวิวด้านนอก ซึ่งวิวที่เห็นคือ ท้องฟ้า ก้อนเมฆ ทะเลและเกลียวคลื่น แค่นี้ แต่ดีต่อใจมากมาย
พอเรือออกอ่าวไทย คลื่นเริ่มใหญ่ขึ้น คุณภรรยาเริ่มรู้สึก “มึนและเมา” นิดๆ จึงชวนกันลงไปนั่งที่ห้องอาหาร ไม่ไป roof top เพราะน่าจะโคลงกว่าข้างล่าง
ถามน้องที่ counter ห้องอาหารว่า “มีเมนูแก้เมาเรือไหม”
น้องเลยแนะนำมาว่า “ต้องดื่มให้เมา จะได้ไม่เมาเรือ”
”นี่แก้ได้จริง หรือน้องหลอกขายของ“ ผมถามกลับด้วยความสุภาพ
“พี่เชื่อหนู“ น้องยืนยัน
”หนูเมาบนเรือลำนี้มาหลายปีแล้ว“ ประสบการณ์เยอะนะเรา
คิดในใจ ทำไมน้องมันยังเมาอยู่วะ พอมองหน้าดีๆ ก็ถึงบางอ้อ สงสัยจะเมาเหล้า
จึงสั่ง local beer ของ Mexico มาหนึ่งขวด wine แดง หนึ่งกระป๋องเล็ก (ไม่มีแบบขวดขายนะจ๊ะ งงเหมือนกัน) เบียร์รสชาติดี ส่วน wine กระป๋อง อยากขอเงินคืนมาก
สั่งอาหารเย็นให้เด็กกิน และเห็น promotion ใน menu คือ ปีกไก่ทอดพ่วงสาเก จึงลองสั่ง เพราะลูกสาวชอบกินไก่ทอด
ปรากฎว่า สาเก รสชาติดีมาก ดื่มง่าย กะจะสั่งเพิ่ม แต่คุณภรรยาบอก ”พอเถอะ“ หลายขนานแล้ว
เกือบสองทุ่ม จึงพากันออกไปรับลมที่ท้ายเรือ ซึ่งมีเก้าอี้ผ้าใบตัวเล็ก สำหรับ customer นั่งเล่น พวกเรานั่งคุยกัน ดูหมู่ดาวบนท้องฟ้า มองฟ้าแลบฟ้าร้องอยู่ไกลๆ บนฝั่ง
เป็นอีกหนึ่ง moment ที่น่าประทับใจของ family เรา แต่เข้าใจว่าคงมีคนคิดถึงสัญญาณ 5G ใจจะขาด
สองทุ่มกว่า ได้เวลาอาบน้ำเข้านอน ห้องอาบน้ำมีผ้าม่านกั้นแทนประตู ยังดีที่ไม่มีใครเปิดผ้าม่านผิดห้องขณะอาบน้ำ
พอทุกคนหัวถึงหมอน เข้าใจว่าคงหลับเร็วและหลับสบาย เพราะประหนึ่งนอนเปล แล้วมีคนโยกไกวเปลให้เบาๆ ทั้งคืน
Sweet Dreams Everybody...
(To be continued)