พิษสวาท อำพราง บทที่ 34 เมื่อความจริงยังไม่ได้นั่งร่วมโต๊ะ

ห้องอาหารของบ้านวรภักดิ์ในยามค่ำคืน โต๊ะยาวไม้สักถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อย อาหารวางเรียงอยู่กลางโต๊ะ คนในบ้านนั่งกันเงียบ ๆ มีเพียงเสียงช้อนกระทบจานเบา ๆ

ประทีป
“พ่อเคยบอกว่า… บ้านที่ดีต้องมีคนกินข้าวพร้อมหน้ากันทุกวัน”
เสียงแหบต่ำ ไม่ได้มองใครเป็นพิเศษ
“แต่ดูเอาเถอะ… พอพ่อไม่อยู่ ทุกอย่างก็เงียบเป็นป่าช้า”

พิเชษฐ์
“อย่าพูดประชดให้มากนักพี่ประทีป มันทำให้เสียบรรยากาศหมด”

อรสา
นั่งอยู่ปลายโต๊ะอีกฝั่ง มองพิเชษฐ์ยิ้มบาง ๆ อย่างไม่มีอารมณ์ร่วม
“บางครั้ง… ความเงียบก็ปลอดภัยกว่าการพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดนะคะ”

วรรณภพ
นั่งข้างอรสา ขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาเหลือบมองเธอ ก่อนจะหันไปมองอาหารในจาน
“คืนนี้อากาศอบอ้าวกว่าทุกคืน… หรือว่าที่นี่ไม่เปิดหน้าต่างเลย?”

อรสา
“คุณพ่อไม่ชอบให้เปิดหน้าต่างตอนกินข้าวค่ะ… เขาว่ามันทำให้วิญญาณที่หิวโหยตามเข้ามา”

พิเชษฐ์
หัวเราะหยันในลำคอ
“เชื่อเถอะ คนที่อยู่ในบ้านนี้บางคน… ยังน่ากลัวกว่าวิญญาณเสียอีก”

ในจังหวะที่ทุกคนเงียบลงราวสิบนาที เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ดังเข้ามา เธอคือป้าณี หญิงรับใช้คนสนิทที่อยู่ในบ้านนี้มาหลายสิบปี เดินเข้ามาพร้อมกับหม้อน้ำซุปในมือ

ป้าณี
“น้ำซุปตุ๋นยาจีนมาฝากค่ะคุณอรสา เห็นเมื่อเช้าไอเบา ๆ ไม่รู้ว่าแพ้ฝุ่นหรือแพ้กลิ่นอะไรเข้าไป”

อรสา
รับถ้วยยิ้มบาง ๆ
“ขอบคุณค่ะป้าณี ใส่ใจเสมอเลยนะคะ”

ป้าณี
“ก็คุณหนูจะเป็นสะใภ้คนโตของบ้านแล้ว ป้าก็ต้องดูแลให้ดีที่สุดสิคะ”
พูดพร้อมรินน้ำซุปอย่างอ่อนโยน แต่สายตามองไปที่วรรณภพและอรสาอย่างพิจารณา

ประทีป
ยักคิ้วเล็กน้อย
“สะใภ้คนโตเหรอ? ฟังดูใหญ่โตจังนะป้า”

ป้าณี
“ก็จริงนี่คะคุณประทีป หรือจะเถียงว่าท่านเจ้าคุณจะมีสะใภ้คนไหนสำคัญไปกว่าคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะตอนนี้ล่ะคะ?”
พูดไปเชิงเอาใจ แต่แฝงความท้าทายเบา ๆ

พิเชษฐ์
หัวเราะในลำคอ
“ระวังไว้บ้างก็ดีนะป้า เดี๋ยวเรียกผิดจะกลายเป็นหมิ่นหยามเจ้าที่เจ้าทางโดยไม่รู้ตัว”

ป้าณี
ยิ้มรับแต่ตาไม่ยิ้ม
“คนแก่แบบป้านี่แหละค่ะ จำแม่น… โดยเฉพาะเรื่องคนที่เคยผ่านเข้าผ่านออกบ้านนี้”

บรรยากาศชะงักไปชั่วครู่ ประโยคสุดท้ายของป้าณีฟังคล้ายธรรมดา แต่สำหรับบางคน มันคือการขุดอดีตที่ไม่มีใครอยากพูดถึง

วรรณภพ
วางช้อนลงเบา ๆ
“เอาล่ะครับ เรื่องเก่าให้เป็นเรื่องเก่าเถอะ วันนี้เราควรดีใจกัน ไม่ใช่จับผิดกันเหมือนศาล”

อรสา
เสียงนิ่ง ๆ
“บางครั้งการมีความสุขก็ไม่จำเป็นต้องปราศจากเงา… เงาบางเงา อาจจะเดินตามเรามาทั้งชีวิต”

ป้าณีเหลือบมองอรสานิ่ง ๆ ก่อนจะยิ้มเบา ๆ แล้วถอยหลังไปอย่างเงียบเชียบ

ขณะที่ทุกคนเริ่มก้มหน้ากินอาหารกันเงียบ ๆ เสียงของประทีปก็ดังขึ้นอย่างช้า ๆ คล้ายชั่งใจอยู่นาน

ประทีป
“ว่าแต่… งานแต่งจะจัดวันไหนแน่ล่ะ? พ่อก็ไม่อยู่แล้ว อย่าลืมเชิญวิญญาณเขามากินโต๊ะจีนด้วยล่ะ”

พิเชษฐ์
“โห พูดอย่างกับวิญญาณพ่อจะยกแก้วอวยพร”
หัวเราะเบา ๆ แต่ฟังดูฝืดฝืน

วรรณภพ
“จะจัดภายในสองเดือนครับ รอฤกษ์จากพระให้แน่ชัดก่อน ผมตั้งใจจะให้งานเล็ก ๆ เรียบง่าย เชิญแต่ญาติใกล้ชิด”

อรสา
พูดเสียงเบา
“บางครั้ง งานเล็ก ๆ ก็มีความหมายมากกว่างานใหญ่ ๆ ที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้านะคะ”

พิเชษฐ์
“แต่บ้านเราก็ไม่ใช่บ้านธรรมดา จะจัดเงียบ ๆ คนเขาจะไม่ครหาเอาหรือ?”

วรรณภพ
“ผมไม่ได้อยากแต่งเพื่อโชว์ใคร ผมอยากให้เป็นของเรา… ของผมกับอรสา”

ประทีป
ยักไหล่
“ก็ตามใจ จะว่าไป…ก็ไวดีนะ ผมยังไม่ทันเห็นใครจีบใครเลย อยู่ดี ๆ จะได้แต่งแล้ว”

อรสา
มองเขานิ่ง ๆ
“บางคนไม่ต้องใช้เวลานานก็รู้ได้ค่ะ ว่าใช่หรือไม่ใช่”

พิเชษฐ์
“หรือบางคน… ก็แค่เลือกจะเชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ”
จ้องหน้าอรสาแต่พูดลอย ๆ

วรรณภพ
“ผมไม่สนว่าใครจะพูดยังไง ผมเลือกแล้ว และผมจะรับผิดชอบในสิ่งที่ผมเลือก”

ประทีป
“ก็หวังว่าความรักจะไม่กลายเป็นเรื่องธุรกิจอีกล่ะนะ เหมือนบางคนที่… เอาเมียมานั่งในบ้านเหมือนนางแบบในโชว์รูม”

พิเชษฐ์แทบจะวางช้อนดังปึง แต่ยังยั้งไว้ทัน

อรสา
พูดแผ่วเบา
“บางที… การแต่งงานก็คือการเริ่มใหม่ ไม่ใช่เพื่อลืมอดีต… แต่เพื่อรับมือกับมันต่างหาก”

ประโยคนี้ทำให้ห้องอาหารเงียบลงอีกครั้ง ทุกคนกลับมาก้มหน้ากินข้าว แต่ในใจล้วนเต็มไปด้วยเสียงที่ไม่ได้พูดออกมา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่