ห้องอาหารของบ้านวรภักดิ์ในยามค่ำคืน โต๊ะยาวไม้สักถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อย อาหารวางเรียงอยู่กลางโต๊ะ คนในบ้านนั่งกันเงียบ ๆ มีเพียงเสียงช้อนกระทบจานเบา ๆ
ประทีป
“พ่อเคยบอกว่า… บ้านที่ดีต้องมีคนกินข้าวพร้อมหน้ากันทุกวัน”
เสียงแหบต่ำ ไม่ได้มองใครเป็นพิเศษ
“แต่ดูเอาเถอะ… พอพ่อไม่อยู่ ทุกอย่างก็เงียบเป็นป่าช้า”
พิเชษฐ์
“อย่าพูดประชดให้มากนักพี่ประทีป มันทำให้เสียบรรยากาศหมด”
อรสา
นั่งอยู่ปลายโต๊ะอีกฝั่ง มองพิเชษฐ์ยิ้มบาง ๆ อย่างไม่มีอารมณ์ร่วม
“บางครั้ง… ความเงียบก็ปลอดภัยกว่าการพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดนะคะ”
วรรณภพ
นั่งข้างอรสา ขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาเหลือบมองเธอ ก่อนจะหันไปมองอาหารในจาน
“คืนนี้อากาศอบอ้าวกว่าทุกคืน… หรือว่าที่นี่ไม่เปิดหน้าต่างเลย?”
อรสา
“คุณพ่อไม่ชอบให้เปิดหน้าต่างตอนกินข้าวค่ะ… เขาว่ามันทำให้วิญญาณที่หิวโหยตามเข้ามา”
พิเชษฐ์
หัวเราะหยันในลำคอ
“เชื่อเถอะ คนที่อยู่ในบ้านนี้บางคน… ยังน่ากลัวกว่าวิญญาณเสียอีก”
ในจังหวะที่ทุกคนเงียบลงราวสิบนาที เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ดังเข้ามา เธอคือป้าณี หญิงรับใช้คนสนิทที่อยู่ในบ้านนี้มาหลายสิบปี เดินเข้ามาพร้อมกับหม้อน้ำซุปในมือ
ป้าณี
“น้ำซุปตุ๋นยาจีนมาฝากค่ะคุณอรสา เห็นเมื่อเช้าไอเบา ๆ ไม่รู้ว่าแพ้ฝุ่นหรือแพ้กลิ่นอะไรเข้าไป”
อรสา
รับถ้วยยิ้มบาง ๆ
“ขอบคุณค่ะป้าณี ใส่ใจเสมอเลยนะคะ”
ป้าณี
“ก็คุณหนูจะเป็นสะใภ้คนโตของบ้านแล้ว ป้าก็ต้องดูแลให้ดีที่สุดสิคะ”
พูดพร้อมรินน้ำซุปอย่างอ่อนโยน แต่สายตามองไปที่วรรณภพและอรสาอย่างพิจารณา
ประทีป
ยักคิ้วเล็กน้อย
“สะใภ้คนโตเหรอ? ฟังดูใหญ่โตจังนะป้า”
ป้าณี
“ก็จริงนี่คะคุณประทีป หรือจะเถียงว่าท่านเจ้าคุณจะมีสะใภ้คนไหนสำคัญไปกว่าคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะตอนนี้ล่ะคะ?”
พูดไปเชิงเอาใจ แต่แฝงความท้าทายเบา ๆ
พิเชษฐ์
หัวเราะในลำคอ
“ระวังไว้บ้างก็ดีนะป้า เดี๋ยวเรียกผิดจะกลายเป็นหมิ่นหยามเจ้าที่เจ้าทางโดยไม่รู้ตัว”
ป้าณี
ยิ้มรับแต่ตาไม่ยิ้ม
“คนแก่แบบป้านี่แหละค่ะ จำแม่น… โดยเฉพาะเรื่องคนที่เคยผ่านเข้าผ่านออกบ้านนี้”
บรรยากาศชะงักไปชั่วครู่ ประโยคสุดท้ายของป้าณีฟังคล้ายธรรมดา แต่สำหรับบางคน มันคือการขุดอดีตที่ไม่มีใครอยากพูดถึง
วรรณภพ
วางช้อนลงเบา ๆ
“เอาล่ะครับ เรื่องเก่าให้เป็นเรื่องเก่าเถอะ วันนี้เราควรดีใจกัน ไม่ใช่จับผิดกันเหมือนศาล”
อรสา
เสียงนิ่ง ๆ
“บางครั้งการมีความสุขก็ไม่จำเป็นต้องปราศจากเงา… เงาบางเงา อาจจะเดินตามเรามาทั้งชีวิต”
ป้าณีเหลือบมองอรสานิ่ง ๆ ก่อนจะยิ้มเบา ๆ แล้วถอยหลังไปอย่างเงียบเชียบ
ขณะที่ทุกคนเริ่มก้มหน้ากินอาหารกันเงียบ ๆ เสียงของประทีปก็ดังขึ้นอย่างช้า ๆ คล้ายชั่งใจอยู่นาน
ประทีป
“ว่าแต่… งานแต่งจะจัดวันไหนแน่ล่ะ? พ่อก็ไม่อยู่แล้ว อย่าลืมเชิญวิญญาณเขามากินโต๊ะจีนด้วยล่ะ”
พิเชษฐ์
“โห พูดอย่างกับวิญญาณพ่อจะยกแก้วอวยพร”
หัวเราะเบา ๆ แต่ฟังดูฝืดฝืน
วรรณภพ
“จะจัดภายในสองเดือนครับ รอฤกษ์จากพระให้แน่ชัดก่อน ผมตั้งใจจะให้งานเล็ก ๆ เรียบง่าย เชิญแต่ญาติใกล้ชิด”
อรสา
พูดเสียงเบา
“บางครั้ง งานเล็ก ๆ ก็มีความหมายมากกว่างานใหญ่ ๆ ที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้านะคะ”
พิเชษฐ์
“แต่บ้านเราก็ไม่ใช่บ้านธรรมดา จะจัดเงียบ ๆ คนเขาจะไม่ครหาเอาหรือ?”
วรรณภพ
“ผมไม่ได้อยากแต่งเพื่อโชว์ใคร ผมอยากให้เป็นของเรา… ของผมกับอรสา”
ประทีป
ยักไหล่
“ก็ตามใจ จะว่าไป…ก็ไวดีนะ ผมยังไม่ทันเห็นใครจีบใครเลย อยู่ดี ๆ จะได้แต่งแล้ว”
อรสา
มองเขานิ่ง ๆ
“บางคนไม่ต้องใช้เวลานานก็รู้ได้ค่ะ ว่าใช่หรือไม่ใช่”
พิเชษฐ์
“หรือบางคน… ก็แค่เลือกจะเชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ”
จ้องหน้าอรสาแต่พูดลอย ๆ
วรรณภพ
“ผมไม่สนว่าใครจะพูดยังไง ผมเลือกแล้ว และผมจะรับผิดชอบในสิ่งที่ผมเลือก”
ประทีป
“ก็หวังว่าความรักจะไม่กลายเป็นเรื่องธุรกิจอีกล่ะนะ เหมือนบางคนที่… เอาเมียมานั่งในบ้านเหมือนนางแบบในโชว์รูม”
พิเชษฐ์แทบจะวางช้อนดังปึง แต่ยังยั้งไว้ทัน
อรสา
พูดแผ่วเบา
“บางที… การแต่งงานก็คือการเริ่มใหม่ ไม่ใช่เพื่อลืมอดีต… แต่เพื่อรับมือกับมันต่างหาก”
ประโยคนี้ทำให้ห้องอาหารเงียบลงอีกครั้ง ทุกคนกลับมาก้มหน้ากินข้าว แต่ในใจล้วนเต็มไปด้วยเสียงที่ไม่ได้พูดออกมา
พิษสวาท อำพราง บทที่ 34 เมื่อความจริงยังไม่ได้นั่งร่วมโต๊ะ
ประทีป
“พ่อเคยบอกว่า… บ้านที่ดีต้องมีคนกินข้าวพร้อมหน้ากันทุกวัน”
เสียงแหบต่ำ ไม่ได้มองใครเป็นพิเศษ
“แต่ดูเอาเถอะ… พอพ่อไม่อยู่ ทุกอย่างก็เงียบเป็นป่าช้า”
พิเชษฐ์
“อย่าพูดประชดให้มากนักพี่ประทีป มันทำให้เสียบรรยากาศหมด”
อรสา
นั่งอยู่ปลายโต๊ะอีกฝั่ง มองพิเชษฐ์ยิ้มบาง ๆ อย่างไม่มีอารมณ์ร่วม
“บางครั้ง… ความเงียบก็ปลอดภัยกว่าการพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดนะคะ”
วรรณภพ
นั่งข้างอรสา ขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาเหลือบมองเธอ ก่อนจะหันไปมองอาหารในจาน
“คืนนี้อากาศอบอ้าวกว่าทุกคืน… หรือว่าที่นี่ไม่เปิดหน้าต่างเลย?”
อรสา
“คุณพ่อไม่ชอบให้เปิดหน้าต่างตอนกินข้าวค่ะ… เขาว่ามันทำให้วิญญาณที่หิวโหยตามเข้ามา”
พิเชษฐ์
หัวเราะหยันในลำคอ
“เชื่อเถอะ คนที่อยู่ในบ้านนี้บางคน… ยังน่ากลัวกว่าวิญญาณเสียอีก”
ในจังหวะที่ทุกคนเงียบลงราวสิบนาที เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ดังเข้ามา เธอคือป้าณี หญิงรับใช้คนสนิทที่อยู่ในบ้านนี้มาหลายสิบปี เดินเข้ามาพร้อมกับหม้อน้ำซุปในมือ
ป้าณี
“น้ำซุปตุ๋นยาจีนมาฝากค่ะคุณอรสา เห็นเมื่อเช้าไอเบา ๆ ไม่รู้ว่าแพ้ฝุ่นหรือแพ้กลิ่นอะไรเข้าไป”
อรสา
รับถ้วยยิ้มบาง ๆ
“ขอบคุณค่ะป้าณี ใส่ใจเสมอเลยนะคะ”
ป้าณี
“ก็คุณหนูจะเป็นสะใภ้คนโตของบ้านแล้ว ป้าก็ต้องดูแลให้ดีที่สุดสิคะ”
พูดพร้อมรินน้ำซุปอย่างอ่อนโยน แต่สายตามองไปที่วรรณภพและอรสาอย่างพิจารณา
ประทีป
ยักคิ้วเล็กน้อย
“สะใภ้คนโตเหรอ? ฟังดูใหญ่โตจังนะป้า”
ป้าณี
“ก็จริงนี่คะคุณประทีป หรือจะเถียงว่าท่านเจ้าคุณจะมีสะใภ้คนไหนสำคัญไปกว่าคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะตอนนี้ล่ะคะ?”
พูดไปเชิงเอาใจ แต่แฝงความท้าทายเบา ๆ
พิเชษฐ์
หัวเราะในลำคอ
“ระวังไว้บ้างก็ดีนะป้า เดี๋ยวเรียกผิดจะกลายเป็นหมิ่นหยามเจ้าที่เจ้าทางโดยไม่รู้ตัว”
ป้าณี
ยิ้มรับแต่ตาไม่ยิ้ม
“คนแก่แบบป้านี่แหละค่ะ จำแม่น… โดยเฉพาะเรื่องคนที่เคยผ่านเข้าผ่านออกบ้านนี้”
บรรยากาศชะงักไปชั่วครู่ ประโยคสุดท้ายของป้าณีฟังคล้ายธรรมดา แต่สำหรับบางคน มันคือการขุดอดีตที่ไม่มีใครอยากพูดถึง
วรรณภพ
วางช้อนลงเบา ๆ
“เอาล่ะครับ เรื่องเก่าให้เป็นเรื่องเก่าเถอะ วันนี้เราควรดีใจกัน ไม่ใช่จับผิดกันเหมือนศาล”
อรสา
เสียงนิ่ง ๆ
“บางครั้งการมีความสุขก็ไม่จำเป็นต้องปราศจากเงา… เงาบางเงา อาจจะเดินตามเรามาทั้งชีวิต”
ป้าณีเหลือบมองอรสานิ่ง ๆ ก่อนจะยิ้มเบา ๆ แล้วถอยหลังไปอย่างเงียบเชียบ
ขณะที่ทุกคนเริ่มก้มหน้ากินอาหารกันเงียบ ๆ เสียงของประทีปก็ดังขึ้นอย่างช้า ๆ คล้ายชั่งใจอยู่นาน
ประทีป
“ว่าแต่… งานแต่งจะจัดวันไหนแน่ล่ะ? พ่อก็ไม่อยู่แล้ว อย่าลืมเชิญวิญญาณเขามากินโต๊ะจีนด้วยล่ะ”
พิเชษฐ์
“โห พูดอย่างกับวิญญาณพ่อจะยกแก้วอวยพร”
หัวเราะเบา ๆ แต่ฟังดูฝืดฝืน
วรรณภพ
“จะจัดภายในสองเดือนครับ รอฤกษ์จากพระให้แน่ชัดก่อน ผมตั้งใจจะให้งานเล็ก ๆ เรียบง่าย เชิญแต่ญาติใกล้ชิด”
อรสา
พูดเสียงเบา
“บางครั้ง งานเล็ก ๆ ก็มีความหมายมากกว่างานใหญ่ ๆ ที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้านะคะ”
พิเชษฐ์
“แต่บ้านเราก็ไม่ใช่บ้านธรรมดา จะจัดเงียบ ๆ คนเขาจะไม่ครหาเอาหรือ?”
วรรณภพ
“ผมไม่ได้อยากแต่งเพื่อโชว์ใคร ผมอยากให้เป็นของเรา… ของผมกับอรสา”
ประทีป
ยักไหล่
“ก็ตามใจ จะว่าไป…ก็ไวดีนะ ผมยังไม่ทันเห็นใครจีบใครเลย อยู่ดี ๆ จะได้แต่งแล้ว”
อรสา
มองเขานิ่ง ๆ
“บางคนไม่ต้องใช้เวลานานก็รู้ได้ค่ะ ว่าใช่หรือไม่ใช่”
พิเชษฐ์
“หรือบางคน… ก็แค่เลือกจะเชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ”
จ้องหน้าอรสาแต่พูดลอย ๆ
วรรณภพ
“ผมไม่สนว่าใครจะพูดยังไง ผมเลือกแล้ว และผมจะรับผิดชอบในสิ่งที่ผมเลือก”
ประทีป
“ก็หวังว่าความรักจะไม่กลายเป็นเรื่องธุรกิจอีกล่ะนะ เหมือนบางคนที่… เอาเมียมานั่งในบ้านเหมือนนางแบบในโชว์รูม”
พิเชษฐ์แทบจะวางช้อนดังปึง แต่ยังยั้งไว้ทัน
อรสา
พูดแผ่วเบา
“บางที… การแต่งงานก็คือการเริ่มใหม่ ไม่ใช่เพื่อลืมอดีต… แต่เพื่อรับมือกับมันต่างหาก”
ประโยคนี้ทำให้ห้องอาหารเงียบลงอีกครั้ง ทุกคนกลับมาก้มหน้ากินข้าว แต่ในใจล้วนเต็มไปด้วยเสียงที่ไม่ได้พูดออกมา