“รู้เขารู้เรา” เคล็ดลับแห่งความสำเร็จ...ก่อนที่ทีมงานเจรจาเรื่องการขึ้นภาษีของสหรัฐฯต้องรู้เสียก่อนว่าทำไมถึงต้องทำอย่างนี้เพราะอะไรและหวังผลอะไร เพราะนี่คือหัวใจสำคัญของเรื่อง
ส่วนรายละเอียดที่จะไปเจรจากันนั้นต้องได้มาซึ่งข้อมูลและรายละเอียดต่างๆที่ได้ศึกษาผลดีผลเสียแล้ว โดยมุ่งไปที่หัวใจของเรื่องได้
“โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องการที่จะจัดระเบียบโลกใหม่โดยมีสหรัฐฯเป็น “เบอร์ 1” จึงคิดค้นวิธีการต่างๆนานาบีบบังคับให้ทุกประเทศต้องยอมจำนน
“จีน” คือเป้าหมายหลัก!
แต่ “จีน” นั้นอ่านเกมออกแบบรู้เขารู้เรา เมื่อสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากจีนสูงสุดมากกว่าทุกประเทศทั่วโลก
ประเทศอื่นๆส่วนใหญ่ที่สหรัฐฯขึ้นภาษีไม่มากนักต่างก็วิ่งเข้าหาเพื่อขอเจรจาอย่างที่ “ทรัมป์” เยาะเย้ยว่า “ต่างก็วิ่งจูบก้น”
คำพูดนี้ย่อมสร้างความแค้นเคืองใจประเทศต่างๆ อย่างแน่นอน
แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ยอมเจรจาไม่ว่าจะเป็นจีน อียูและอีกบางประเทศ ทั้งนี้ จีนที่ถูกกดทับมากที่สุดก็ประกาศตอบโต้ทุกดอกไม่ว่าสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีเท่าใดจีนก็ตอบโต้ด้วยจำนวนเท่ากัน
ล่าสุดอยู่ที่ 125% เท่ากัน
ของไทย 36% แต่สหรัฐฯผ่อนผันให้เลื่อนออกไป 90 วัน
การตอบโต้ของจีนโดยไม่ยอมขอเจรจาก็คงรู้ดีว่าไม่ได้เกิด ประโยชน์อะไรเพราะรู้ดีว่า “ทรัมป์” นั้นต้องการที่จะจัดการจีนซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าอันดับหนึ่ง
“จีน” รู้ดีว่าสหรัฐฯซึ่งได้สร้างกติกาการค้าด้วยการจัดระเบียบมีดับเบิลยูทีโอเป็นองค์การการค้าโลกที่ควบคุมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกประเทศทั่วโลก
“จีน” ได้เข้ามาเป็นสมาชิกภายหลังและเศรษฐกิจก็ไม่ดีนักแต่เมื่อเข้ามาเป็นสมาชิกแล้วปรากฏว่าสามารถแข่งขันได้ดี ทำให้เศรษฐกิจของจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ขึ้นมาอยู่ระดับแนวหน้าของโลก!
นี่แหละที่ทำให้สหรัฐฯเห็นท่าไม่ดีจึงต้องหยุด
เพราะถ้าปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้สหรัฐฯแพ้จีนแน่ไม่ว่า
ด้านไหนก็ตาม เพราะ “คน” ก็มีการศึกษาและสามารถที่จะใช้วิชาความรู้มาพัฒนาความก้าวหน้า
ที่สำคัญคือมีจำนวนมากกว่าสหรัฐฯ
ด้านเทคโนโลยีปัจจุบันนี้จีนก้าวหน้าไปมากกว่าสหรัฐฯหลายเท่า ดังนั้นจึงต้องจัดการกับจีนโดยใช้ประเทศต่างๆทั่วโลกเป็นจุดเชื่อมโยงเพื่อให้ดูว่าไม่ได้รังแกจีนแต่ทำเหมือนกับทุกประเทศ
อีกประเทศหนึ่งจีนรู้ดีว่าสหรัฐฯพยายามบีบให้จีนต้องหันหน้ามาเจรจาแต่จีนรู้ทันไม่ยอมเจรจาด้วย เพราะรู้ว่าจะเข้าแผนสหรัฐฯที่เคยปฏิบัติการอย่างนี้ ทำให้เศรษฐกิจโลกเกิดภาวะตกต่ำและนำไปสู่ข้ออ้างในการทำสงครามโลก
นี่เป็นแนวทางที่จะเดินไปสู่จุดนั้น!
จีนจึงไม่ยอมเจรจาด้วย
แน่นอนว่าในเกมระดับโลกอย่างนี้ ไทยซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ก็มิอาจหลีกหนีไปได้จึงขึ้นอยู่กับวิธีคิดว่าจะหาวิธีการต่อสู้แบบไหน
ที่ไม่ให้เกิดความเสียหาย
ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีเพราะต้องอยู่ระหว่าง 2 ฝ่ายคือจีนกับสหรัฐฯที่มีสัมพันธไมตรีเป็นอย่างดี ประเด็นสำคัญคือสหรัฐฯนั้นต้องการที่จะได้อะไรจากไทยหลายอย่างที่ไทยมีอยู่
ไม่ว่าสินค้า ความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์
จึงต้องอาศัยข้อได้เปรียบที่มีอยู่เป็นอำนาจการต่อรองเพื่อจะได้ประโยชน์สูงสุด!
ที่มา:
https://www.thairath.co.th/news/foreign/2853192
"จีน" รู้ไต๋ "สหรัฐฯ"
“รู้เขารู้เรา” เคล็ดลับแห่งความสำเร็จ...ก่อนที่ทีมงานเจรจาเรื่องการขึ้นภาษีของสหรัฐฯต้องรู้เสียก่อนว่าทำไมถึงต้องทำอย่างนี้เพราะอะไรและหวังผลอะไร เพราะนี่คือหัวใจสำคัญของเรื่อง
ส่วนรายละเอียดที่จะไปเจรจากันนั้นต้องได้มาซึ่งข้อมูลและรายละเอียดต่างๆที่ได้ศึกษาผลดีผลเสียแล้ว โดยมุ่งไปที่หัวใจของเรื่องได้
“โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องการที่จะจัดระเบียบโลกใหม่โดยมีสหรัฐฯเป็น “เบอร์ 1” จึงคิดค้นวิธีการต่างๆนานาบีบบังคับให้ทุกประเทศต้องยอมจำนน
“จีน” คือเป้าหมายหลัก!
แต่ “จีน” นั้นอ่านเกมออกแบบรู้เขารู้เรา เมื่อสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากจีนสูงสุดมากกว่าทุกประเทศทั่วโลก
ประเทศอื่นๆส่วนใหญ่ที่สหรัฐฯขึ้นภาษีไม่มากนักต่างก็วิ่งเข้าหาเพื่อขอเจรจาอย่างที่ “ทรัมป์” เยาะเย้ยว่า “ต่างก็วิ่งจูบก้น”
คำพูดนี้ย่อมสร้างความแค้นเคืองใจประเทศต่างๆ อย่างแน่นอน
แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ยอมเจรจาไม่ว่าจะเป็นจีน อียูและอีกบางประเทศ ทั้งนี้ จีนที่ถูกกดทับมากที่สุดก็ประกาศตอบโต้ทุกดอกไม่ว่าสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีเท่าใดจีนก็ตอบโต้ด้วยจำนวนเท่ากัน
ล่าสุดอยู่ที่ 125% เท่ากัน
ของไทย 36% แต่สหรัฐฯผ่อนผันให้เลื่อนออกไป 90 วัน
การตอบโต้ของจีนโดยไม่ยอมขอเจรจาก็คงรู้ดีว่าไม่ได้เกิด ประโยชน์อะไรเพราะรู้ดีว่า “ทรัมป์” นั้นต้องการที่จะจัดการจีนซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าอันดับหนึ่ง
“จีน” รู้ดีว่าสหรัฐฯซึ่งได้สร้างกติกาการค้าด้วยการจัดระเบียบมีดับเบิลยูทีโอเป็นองค์การการค้าโลกที่ควบคุมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกประเทศทั่วโลก
“จีน” ได้เข้ามาเป็นสมาชิกภายหลังและเศรษฐกิจก็ไม่ดีนักแต่เมื่อเข้ามาเป็นสมาชิกแล้วปรากฏว่าสามารถแข่งขันได้ดี ทำให้เศรษฐกิจของจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ขึ้นมาอยู่ระดับแนวหน้าของโลก!
นี่แหละที่ทำให้สหรัฐฯเห็นท่าไม่ดีจึงต้องหยุด
เพราะถ้าปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้สหรัฐฯแพ้จีนแน่ไม่ว่า
ด้านไหนก็ตาม เพราะ “คน” ก็มีการศึกษาและสามารถที่จะใช้วิชาความรู้มาพัฒนาความก้าวหน้า
ที่สำคัญคือมีจำนวนมากกว่าสหรัฐฯ
ด้านเทคโนโลยีปัจจุบันนี้จีนก้าวหน้าไปมากกว่าสหรัฐฯหลายเท่า ดังนั้นจึงต้องจัดการกับจีนโดยใช้ประเทศต่างๆทั่วโลกเป็นจุดเชื่อมโยงเพื่อให้ดูว่าไม่ได้รังแกจีนแต่ทำเหมือนกับทุกประเทศ
อีกประเทศหนึ่งจีนรู้ดีว่าสหรัฐฯพยายามบีบให้จีนต้องหันหน้ามาเจรจาแต่จีนรู้ทันไม่ยอมเจรจาด้วย เพราะรู้ว่าจะเข้าแผนสหรัฐฯที่เคยปฏิบัติการอย่างนี้ ทำให้เศรษฐกิจโลกเกิดภาวะตกต่ำและนำไปสู่ข้ออ้างในการทำสงครามโลก
นี่เป็นแนวทางที่จะเดินไปสู่จุดนั้น!
จีนจึงไม่ยอมเจรจาด้วย
แน่นอนว่าในเกมระดับโลกอย่างนี้ ไทยซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ก็มิอาจหลีกหนีไปได้จึงขึ้นอยู่กับวิธีคิดว่าจะหาวิธีการต่อสู้แบบไหน
ที่ไม่ให้เกิดความเสียหาย
ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีเพราะต้องอยู่ระหว่าง 2 ฝ่ายคือจีนกับสหรัฐฯที่มีสัมพันธไมตรีเป็นอย่างดี ประเด็นสำคัญคือสหรัฐฯนั้นต้องการที่จะได้อะไรจากไทยหลายอย่างที่ไทยมีอยู่
ไม่ว่าสินค้า ความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์
จึงต้องอาศัยข้อได้เปรียบที่มีอยู่เป็นอำนาจการต่อรองเพื่อจะได้ประโยชน์สูงสุด!
ที่มา:https://www.thairath.co.th/news/foreign/2853192