บัดนี้ชาวอเมริกันได้เปลี่ยนวิถีการซื้อสินค้าต่างไปมาก โดยชาวอเมริกันในยุคทรัมป์เริ่มลดการใช้จ่ายเนื่องจากความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจ โดยมีการรณรงค์ไม่ซื้อสินค้าเกินความจำเป็นและใช้สินค้าที่มีอยู่ให้หมดก่อนซื้อใหม่ การปรับตัวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางนโยบายภาษีศุลกากรใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าในตลาด
ผู้คนในอเมริกากำลังมีความไม่มั่นใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้เกิดการรณรงค์ลดการใช้จ่ายและไม่ซื้อสินค้าเกินความจำเป็นในปี 2025.
สาเหตุเนื่องจากความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจทำให้ผู้หญิงในอเมริกาหันมาสนใจการลดการใช้จ่ายและเลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่จำเป็น.
การรณรงค์ No by 2025 เริ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนไม่ซื้อสินค้าตลอดทั้งปี 2025 และใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ให้หมดก่อน.
การรณรงค์ No Buy 2025 คืออะไร ?
การรณรงค์ No Buy 2025 เป็นแคมเปญที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Trump 2.0) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการบริโภคที่เกินความจำเป็นและสร้างพฤติกรรมการใช้จ่ายอย่างมีสติในหมู่ประชาชนชาวอเมริกัน แคมเปญนี้เกิดขึ้นจากความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจของประเทศ ท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อ ราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น และนโยบายภาษีศุลกากรใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้านำเข้า
เหตุผลที่เกิดแคมเปญ
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าคน US มีความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจ แม้รัฐบาลจะพยายามลดราคาสินค้า แต่ประชาชนยังคงรู้สึกถึงผลกระทบจากเงินเฟ้อและราคาสินค้าที่สูงขึ้น นโยบายภาษีศุลกากร การเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ เช่น จีน เม็กซิโก และแคนาดา ทำให้ราคาสินค้าหลายประเภท เช่น อาหาร น้ำมัน และสินค้าอุปโภคบริโภค เพิ่มสูงขึ้น การปรับตัวของผู้บริโภค ผู้คนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการบริโภคอย่างยั่งยืนและการลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ตัวอย่างผู้เข้าร่วมแคมเปญ
ผู้หญิงหลายคนในสหรัฐฯ เลือกที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรือเครื่องสำอางที่มีอยู่จนหมดก่อนซื้อใหม่ ครอบครัวบางครอบครัวหลีกเลี่ยงการออกไปทานอาหารนอกบ้านหรือทำกิจกรรมที่มีค่าใช้จ่ายสูง ยกเว้นในโอกาสพิเศษ คนรุ่นใหม่ เช่น Gen Z และ Millennials เริ่มปรับตัวเพื่อลดการบริโภคและต่อต้านอิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์ที่ส่งเสริมการซื้อสินค้าใหม่
ผลกระทบของแคมเปญ
แคมเปญ No Buy 2025 สะท้อนถึงความพยายามของชาวอเมริกันในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และเป็นการตอบสนองต่อปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยเน้นการใช้ชีวิตอย่างประหยัดและยั่งยืนมากขึ้น อัตราเงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภคในอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ที่ทำให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้นอย่างมาก.
-การนำเข้าสินค้าจากจีน เช่น อุปกรณ์สื่อสาร มีมูลค่าถึง 47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลต่อราคาสินค้าในอเมริกา.
-สินค้าที่นำเข้าจากจีนยังรวมถึงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ เช่น แท็บเล็ตและชิพเซมิคอนดักเตอร์ ที่มีมูลค่าการนำเข้า 39 พันล้านดอลลาร์.
-ราคาผลิตภัณฑ์อาจไม่เพิ่มขึ้นทันที เนื่องจากยังมีสต็อกสินค้านำเข้าก่อนหน้านี้ แต่เมื่อสต็อกหมดจะมีการปรับราคา.
การค้าและนโยบายภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับแคนาดาและเม็กซิโกมีผลกระทบต่อราคาสินค้าในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะราคาของผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากประเทศเหล่านี้.
-ราคาของซิรัปจากแคนาดากำลังเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากตลาดซิรัปมีความสำคัญต่อครัวเรือนในสหรัฐฯ และมีผลกระทบต่อค่าครองชีพ.
-น้ำมันดิบจากแคนาดาเป็นแหล่งพลังงานหลักของสหรัฐฯ โดยมีการนำเข้าน้ำมันถึง 61% จากแคนาดา ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้น.
-การนำเข้าอะโวคาโดจากเม็กซิโกมีส่วนแบ่งตลาดถึง 90% ในสหรัฐฯ ทำให้ราคาของอะโวคาโดและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องอาจสูงขึ้นได้.
ทำไมชาวอเมริกันถึงลดการใช้จ่าย ?
ชาวอเมริกันลดการใช้จ่ายในยุคทรัมป์ 2.0 เนื่องจากความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจและผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรใหม่ที่ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้านำเข้าจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งถูกเก็บภาษีในอัตราสูง เช่น 25% สำหรับสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา และ 10% สำหรับสินค้าจากจีน ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น อะโวคาโด น้ำมัน และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่อง ทำให้หลายคนเริ่มปรับตัวด้วยการลดการใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น และหันมาใช้สินค้าที่มีอยู่ให้หมดก่อนซื้อใหม่ ตัวอย่างเช่น การเข้าร่วมแคมเปญ "No Buy 2025" หรือ "Project Pan" ซึ่งเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ให้หมดก่อนซื้อใหม่ รวมถึงการลดการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น การงดไปซาลอน ร้านอาหาร หรือโรงภาพยนตร์ ยกเว้นในโอกาสพิเศษ พฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนถึงความกังวลของชาวอเมริกันต่ออนาคตทางเศรษฐกิจ แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะให้คำมั่นว่าจะลดราคาสินค้า แต่ผู้บริโภคยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ทำให้พวกเขาเลือกที่จะควบคุมการใช้จ่ายของตนเองแทน
นโยบายภาษีศุลกากรใหม่มีผลกระทบอย่างไร?
นโยบายภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ ในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อเศรษฐกิจและพฤติกรรมการบริโภคของชาวอเมริกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
ผลกระทบต่อราคาสินค้า
1. การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า
- การกำหนดภาษีศุลกากรใหม่ เช่น อัตราภาษี 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา และ 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน ส่งผลให้ราคาสินค้าหลายประเภทในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น
- รถยนต์ ราคาสูงขึ้นประมาณ $3,000 ต่อคัน เนื่องจากชิ้นส่วนรถยนต์ต้องข้ามพรมแดนหลายครั้งก่อนประกอบเสร็จ
- สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น น้ำเชื่อมเมเปิ้ล น้ำมันเชื้อเพลิง และอะโวคาโด ซึ่งเป็นสินค้านำเข้าหลักจากแคนาดาและเม็กซิโก
- อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์
2. ผลกระทบต่อสินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าเฉพาะกลุ่ม
- สินค้าประเภทเครื่องประดับ รองเท้า และอุปกรณ์กีฬา ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากจีนและเวียดนาม ก็ได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ผลกระทบต่อผู้บริโภค
1. การลดการใช้จ่าย
- ผู้บริโภคชาวอเมริกันเริ่มปรับตัวด้วยการลดการใช้จ่ายในสินค้าที่ไม่จำเป็น และหันมาใช้สินค้าที่มีอยู่ให้หมดก่อนซื้อใหม่ เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจนหมดก่อนซื้อเพิ่ม
- มีการรณรงค์ "No Buy 2025" ซึ่งเป็นการท้าทายไม่ซื้อสินค้าใหม่ตลอดปี 2025 เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและลดการบริโภคเกินความจำเป็น
2. ความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจ
- ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเศรษฐกิจลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก The Conference Board ระบุว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนมกราคม 2025 ลดลงเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน
ผลกระทบต่อธุรกิจ
1. ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
- ธุรกิจในสหรัฐฯ โดยเฉพาะผู้ค้าปลีก ต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากร และส่งต่อภาระนี้ไปยังผู้บริโภค
- ธุรกิจที่พึ่งพาสินค้านำเข้าจากจีน เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และรองเท้า ได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจากจีนเป็นแหล่งนำเข้าสำคัญ
2. การลดกำลังซื้อ
- การลดการใช้จ่ายของผู้บริโภคส่งผลกระทบต่อยอดขายของธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม เช่น ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ และร้านค้าปลีก
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
1. อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น
- ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากรทำให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน
2. ความเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
- การเพิ่มต้นทุนและการลดการบริโภคอาจส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวในระยะยาว
สรุปแนวทางของแคมเปญ No Buy 2025
1. ลดการซื้อสินค้าใหม่ ผู้เข้าร่วมแคมเปญจะไม่ซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็น และจะใช้สินค้าที่มีอยู่ให้หมดก่อน เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรือเครื่องสำอาง
2. ใช้สินค้ามือสอง มีการสนับสนุนให้ใช้สินค้ามือสองแทนการซื้อของใหม่ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
3. ลดการบริโภคตามอารมณ์ ผู้เข้าร่วมจะหลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าตามแรงกระตุ้นหรืออิทธิพลจาก Social Media
4. ใช้ชีวิตเรียบง่าย หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น การไปโรงภาพยนตร์หรือร้านเสริมสวย และเลือกใช้บริการสาธารณะฟรี เช่น สวนสาธารณะหรือห้องสมุด
นโยบายภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบทั้งต่อราคาสินค้า พฤติกรรมผู้บริโภค และเศรษฐกิจโดยรวม โดยทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจลดลง และผู้บริโภคต้องปรับตัวด้วยการลดการใช้จ่ายเพื่อรับมือกับต้นทุนชีวิตที่เพิ่มขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://techcrunch.com
ชาวอเมริกันผุดเทรนใหม่ ลดการใช้จ่ายเนื่องจากความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจ
ผู้คนในอเมริกากำลังมีความไม่มั่นใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้เกิดการรณรงค์ลดการใช้จ่ายและไม่ซื้อสินค้าเกินความจำเป็นในปี 2025.
สาเหตุเนื่องจากความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจทำให้ผู้หญิงในอเมริกาหันมาสนใจการลดการใช้จ่ายและเลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่จำเป็น.
การรณรงค์ No by 2025 เริ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนไม่ซื้อสินค้าตลอดทั้งปี 2025 และใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ให้หมดก่อน.
การรณรงค์ No Buy 2025 คืออะไร ?
การรณรงค์ No Buy 2025 เป็นแคมเปญที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Trump 2.0) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการบริโภคที่เกินความจำเป็นและสร้างพฤติกรรมการใช้จ่ายอย่างมีสติในหมู่ประชาชนชาวอเมริกัน แคมเปญนี้เกิดขึ้นจากความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจของประเทศ ท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อ ราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น และนโยบายภาษีศุลกากรใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้านำเข้า
เหตุผลที่เกิดแคมเปญ
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าคน US มีความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจ แม้รัฐบาลจะพยายามลดราคาสินค้า แต่ประชาชนยังคงรู้สึกถึงผลกระทบจากเงินเฟ้อและราคาสินค้าที่สูงขึ้น นโยบายภาษีศุลกากร การเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ เช่น จีน เม็กซิโก และแคนาดา ทำให้ราคาสินค้าหลายประเภท เช่น อาหาร น้ำมัน และสินค้าอุปโภคบริโภค เพิ่มสูงขึ้น การปรับตัวของผู้บริโภค ผู้คนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการบริโภคอย่างยั่งยืนและการลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ตัวอย่างผู้เข้าร่วมแคมเปญ
ผู้หญิงหลายคนในสหรัฐฯ เลือกที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรือเครื่องสำอางที่มีอยู่จนหมดก่อนซื้อใหม่ ครอบครัวบางครอบครัวหลีกเลี่ยงการออกไปทานอาหารนอกบ้านหรือทำกิจกรรมที่มีค่าใช้จ่ายสูง ยกเว้นในโอกาสพิเศษ คนรุ่นใหม่ เช่น Gen Z และ Millennials เริ่มปรับตัวเพื่อลดการบริโภคและต่อต้านอิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์ที่ส่งเสริมการซื้อสินค้าใหม่
ผลกระทบของแคมเปญ
แคมเปญ No Buy 2025 สะท้อนถึงความพยายามของชาวอเมริกันในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และเป็นการตอบสนองต่อปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยเน้นการใช้ชีวิตอย่างประหยัดและยั่งยืนมากขึ้น อัตราเงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภคในอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ที่ทำให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้นอย่างมาก.
-การนำเข้าสินค้าจากจีน เช่น อุปกรณ์สื่อสาร มีมูลค่าถึง 47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลต่อราคาสินค้าในอเมริกา.
-สินค้าที่นำเข้าจากจีนยังรวมถึงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ เช่น แท็บเล็ตและชิพเซมิคอนดักเตอร์ ที่มีมูลค่าการนำเข้า 39 พันล้านดอลลาร์.
-ราคาผลิตภัณฑ์อาจไม่เพิ่มขึ้นทันที เนื่องจากยังมีสต็อกสินค้านำเข้าก่อนหน้านี้ แต่เมื่อสต็อกหมดจะมีการปรับราคา.
การค้าและนโยบายภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับแคนาดาและเม็กซิโกมีผลกระทบต่อราคาสินค้าในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะราคาของผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากประเทศเหล่านี้.
-ราคาของซิรัปจากแคนาดากำลังเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากตลาดซิรัปมีความสำคัญต่อครัวเรือนในสหรัฐฯ และมีผลกระทบต่อค่าครองชีพ.
-น้ำมันดิบจากแคนาดาเป็นแหล่งพลังงานหลักของสหรัฐฯ โดยมีการนำเข้าน้ำมันถึง 61% จากแคนาดา ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้น.
-การนำเข้าอะโวคาโดจากเม็กซิโกมีส่วนแบ่งตลาดถึง 90% ในสหรัฐฯ ทำให้ราคาของอะโวคาโดและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องอาจสูงขึ้นได้.
ทำไมชาวอเมริกันถึงลดการใช้จ่าย ?
ชาวอเมริกันลดการใช้จ่ายในยุคทรัมป์ 2.0 เนื่องจากความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจและผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรใหม่ที่ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้านำเข้าจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งถูกเก็บภาษีในอัตราสูง เช่น 25% สำหรับสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา และ 10% สำหรับสินค้าจากจีน ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น อะโวคาโด น้ำมัน และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่อง ทำให้หลายคนเริ่มปรับตัวด้วยการลดการใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น และหันมาใช้สินค้าที่มีอยู่ให้หมดก่อนซื้อใหม่ ตัวอย่างเช่น การเข้าร่วมแคมเปญ "No Buy 2025" หรือ "Project Pan" ซึ่งเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ให้หมดก่อนซื้อใหม่ รวมถึงการลดการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น การงดไปซาลอน ร้านอาหาร หรือโรงภาพยนตร์ ยกเว้นในโอกาสพิเศษ พฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนถึงความกังวลของชาวอเมริกันต่ออนาคตทางเศรษฐกิจ แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะให้คำมั่นว่าจะลดราคาสินค้า แต่ผู้บริโภคยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ทำให้พวกเขาเลือกที่จะควบคุมการใช้จ่ายของตนเองแทน
นโยบายภาษีศุลกากรใหม่มีผลกระทบอย่างไร?
นโยบายภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ ในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อเศรษฐกิจและพฤติกรรมการบริโภคของชาวอเมริกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
ผลกระทบต่อราคาสินค้า
1. การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า
- การกำหนดภาษีศุลกากรใหม่ เช่น อัตราภาษี 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา และ 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน ส่งผลให้ราคาสินค้าหลายประเภทในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น
- รถยนต์ ราคาสูงขึ้นประมาณ $3,000 ต่อคัน เนื่องจากชิ้นส่วนรถยนต์ต้องข้ามพรมแดนหลายครั้งก่อนประกอบเสร็จ
- สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น น้ำเชื่อมเมเปิ้ล น้ำมันเชื้อเพลิง และอะโวคาโด ซึ่งเป็นสินค้านำเข้าหลักจากแคนาดาและเม็กซิโก
- อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์
2. ผลกระทบต่อสินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าเฉพาะกลุ่ม
- สินค้าประเภทเครื่องประดับ รองเท้า และอุปกรณ์กีฬา ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้าจากจีนและเวียดนาม ก็ได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ผลกระทบต่อผู้บริโภค
1. การลดการใช้จ่าย
- ผู้บริโภคชาวอเมริกันเริ่มปรับตัวด้วยการลดการใช้จ่ายในสินค้าที่ไม่จำเป็น และหันมาใช้สินค้าที่มีอยู่ให้หมดก่อนซื้อใหม่ เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจนหมดก่อนซื้อเพิ่ม
- มีการรณรงค์ "No Buy 2025" ซึ่งเป็นการท้าทายไม่ซื้อสินค้าใหม่ตลอดปี 2025 เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและลดการบริโภคเกินความจำเป็น
2. ความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจ
- ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเศรษฐกิจลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก The Conference Board ระบุว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนมกราคม 2025 ลดลงเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน
ผลกระทบต่อธุรกิจ
1. ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
- ธุรกิจในสหรัฐฯ โดยเฉพาะผู้ค้าปลีก ต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากร และส่งต่อภาระนี้ไปยังผู้บริโภค
- ธุรกิจที่พึ่งพาสินค้านำเข้าจากจีน เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และรองเท้า ได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจากจีนเป็นแหล่งนำเข้าสำคัญ
2. การลดกำลังซื้อ
- การลดการใช้จ่ายของผู้บริโภคส่งผลกระทบต่อยอดขายของธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม เช่น ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ และร้านค้าปลีก
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
1. อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น
- ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากรทำให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน
2. ความเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
- การเพิ่มต้นทุนและการลดการบริโภคอาจส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวในระยะยาว
สรุปแนวทางของแคมเปญ No Buy 2025
1. ลดการซื้อสินค้าใหม่ ผู้เข้าร่วมแคมเปญจะไม่ซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็น และจะใช้สินค้าที่มีอยู่ให้หมดก่อน เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรือเครื่องสำอาง
2. ใช้สินค้ามือสอง มีการสนับสนุนให้ใช้สินค้ามือสองแทนการซื้อของใหม่ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
3. ลดการบริโภคตามอารมณ์ ผู้เข้าร่วมจะหลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าตามแรงกระตุ้นหรืออิทธิพลจาก Social Media
4. ใช้ชีวิตเรียบง่าย หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น การไปโรงภาพยนตร์หรือร้านเสริมสวย และเลือกใช้บริการสาธารณะฟรี เช่น สวนสาธารณะหรือห้องสมุด
นโยบายภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบทั้งต่อราคาสินค้า พฤติกรรมผู้บริโภค และเศรษฐกิจโดยรวม โดยทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจลดลง และผู้บริโภคต้องปรับตัวด้วยการลดการใช้จ่ายเพื่อรับมือกับต้นทุนชีวิตที่เพิ่มขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก https://techcrunch.com