เรียน สมาชิกพันทิปที่เคารพทุกท่าน
จากหัวข้อกระทู้ที่กล่าวมานั้น เรื่องราวมีอยู่ว่า ผมทำงานผมทำงานอยู่ที่โรงพักแห่งหนึ่ง ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ผมได้เลี้ยงดูน้องหมาจร จำนวน 3 ตัว มาเป็นเวลาประมาณ 4 ปี น้องหมาทั้งสามตัวนี้ ผมดูแลเปรียบเสมือนเจ้าของ คนในที่ทำงานทราบดี
ที่ผ่านมาน้องมาเหล่านี้ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับใครแต่อย่างใด แต่ก็ไม่แคล้วที่จะคนในที่ทำงาน ไม่ได้ชอบน้องหมาเหล่านี้เช่นกัน เนื่องจากประชากรในพื้นที่เกือบ 100% เป็นชาวมุสลิม มันจึงกลายเป็นเงื่อนไขที่จะไปกระทบกับชาวบ้านเหล่านั้น (ทั้งที่หมาไม่ได้ไปสร้างปัญหาให้กับชาวบ้านแต่อย่างใด)
และด้วยห้องที่ผมทำงานอยู่ของชั้นล่างของอาคาร น้องหมามักจะตามผมมานอนรอบอยู่หน้าอาคาร ผมรู้ดีว่ามันไม่เหมาะสม ได้แต่พยายามไล่น้องหมาไม่ให้มาอยู่บริเวณนั้น เพราะมีชาวบ้านเข้ามาติดต่อราชการอยู่ตลอดเวลา เป็นภาพที่ไม่เหมาะสม ทั้งเกรงว่าน้องหมาจะไปสัมผัสถูกตัวของชาวบ้านมุสลิมเหล่านั้น และมีคนที่ทำงานได้ตักเตือนผมเช่นกัน
กระทั่งต่อมา เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา มีชาวบ้านมุสลิมร้องเรียนเข้ามาที่ทำงานมีชาวบ้านมุสลิมร้องเรียนเข้ามาที่ทำงาน ผ่านหัวหน้าโรงพัก
ว่า “หมาโรงพักไล่รถมอเตอร์ไซค์เช้าๆ เวลาขี่ไปละหมาด” มันจึงกลายเป็นประเด็นเงื่อนไขขึ้นมา และมีการตักเตือนและสั่งให้ผมดูแลให้ดี
ผมก็รับทราบตามคำสั่ง แต่ด้วยความสงสัยจึงได้ตามหาความจริง ว่าหมาที่ไล่รถชาวบ้านเป็นหมาที่ผมเลี้ยงจริงหรือไม่ เพราะผมรู้จักหมาผมดี
พวกเขาไม่มีพฤติกรรม ดุร้าย หรือลักษณะไล่กวดรถจักรยานยนต์ จากการสอบถามพยาน เพื่อนร่วมงานหลายหลายคนยืนยันว่าไม่ใช่หมาที่ผมเลี้ยงแต่อย่างใด เนื่องจากละแวกที่ทำงานของผมมีหมาจรหลายกลุ่ม จึงเป็นได้ว่าเป็นหมาจรกลุ่มอื่นที่ไล่รถชาวบ้าน แต่ในความเข้าใจของชาวบ้านมุสลิมคงคิดว่าเป็นหมาของโรงพัก ซึ่งเป็นการพูดในภาพกว้าง ชาวบ้านทราบดีและเห็นว่าในโรงพักมีหมา อาศัยอยู่ จึงได้ร้องเรียนไปอย่างนั้น
จากเหตุผลข้างต้น ผมในฐานะคุณเลี้ยงน้องหมาและผมรักน้องหมาเหล่านี้ ผมจึงได้วางแผนที่จะนำน้องหมาไปไว้ที่ศูนย์พักพิงในจังหวัดบ้านเกิดของผมซึ่งเป็นจังหวัดใกล้เคียงกัน คืนนี้ 3 เม.ย.2568 เป็นคืนสุดท้ายแล้ว ที่จะได้อยู่กับน้องหมาที่บ้านพักของที่ทำงาน ที่อยู่เลี้ยงดูกันมากว่าสี่ปี ความรักความผูกพันที่มีต่อกันมันมีมากเหลือเกิน เพราะน้องหมาเขามีความรักที่มีต่อผมเช่นกัน เขารู้ดีว่าผมคือคนที่เลี้ยงดูเขา การแสดงออกทุกอย่างที่น้องหมามีผมนั้นมันตราตรึงอยู่ในใจผมเสมอ พรุ่งนี้จะได้นำน้องทั้งสามตัว ไปไว้ที่ศูนย์พักพิงฯ ซึ่งเป็นของเอกชน ที่รับดูแลน้องหมาจร หรือหมาที่เคยถูกทำหรือหมาที่เคยถูกทำร้าย เจ้าขอเป็นสถานที่เป็นแกนนำขับเคลื่อน ดูแลช่วยเหลือสวัสดิภาพของหมาจรจัดในจังหวัด
เป็นเวลาที่ทำใจได้ยากมา เมื่อต้องจากกันไปแม้จะห่างกันเพียงต่างจังหวัด คงเป็นความไม่คุ้นชิน หลังจากวันพรุ่งนี้แล้ว การใช้ชีวิตอยู่ที่ทำงานของผม
จะไม่มีน้องๆ วิ่งตามไปไหนไปกันอีก เป็นความรู้สึกที่รู้สึกใจหาย แต่เพื่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของน้อง ผมหวังว่าผมคงตัดสินใจไม่ผิดที่นำผมหวังว่าผมคงตัดสินใจไม่ผิดที่นำน้องไปฝากศูนย์พักพิง โดยผมคงมอบค่าใช้จ่ายค่าอาหารให้กับทางศูนย์เป็นรายเดือนไป เป็นการช่วยเหลือ
เนื่องจากถือว่า ผมได้นำเป็นการภาระการเลี้ยงดูไปให้กับทางศูนย์เช่นเดียวกัน
หลังจากนี้ สิ่งที่ผมจะพยายามปฏิบัติ อย่างสม่ำเสมอ คือการแวะเข้าไปเยี่ยมน้องทุกครั้ง เมื่อผมเดินทางกลับบ้านในช่วงวันพัก เนื่องจากอยู่ในจังหวัดเดียวกัน
เป็นความในใจที่อยากพูดระบายออกมา โดยที่ไม่รู้จะไปบอกกล่าวใคร นอกจากตัวผมเองที่เลี้ยงดูแลน้อง ด้วยความรักและความผูกพันระหว่างกัน
หากท่านใดเคยประสบเรื่องราวเช่นนี้ สามารถมาแลกเปลี่ยนพูดคุย แชร์กันได้ครับ อยากทราบว่าท่านบริหารความคิดความรู้สึกอย่างไรในช่วงเวลาเช่นนี้
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
วิธีปล่อยวางใจเมื่อต้องจากลาน้องหมาที่เลี้ยงไว้ที่ทำงาน โดยนำน้องหมาไปเลี้ยงที่ศูนย์พักพิงฯ
จากหัวข้อกระทู้ที่กล่าวมานั้น เรื่องราวมีอยู่ว่า ผมทำงานผมทำงานอยู่ที่โรงพักแห่งหนึ่ง ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ผมได้เลี้ยงดูน้องหมาจร จำนวน 3 ตัว มาเป็นเวลาประมาณ 4 ปี น้องหมาทั้งสามตัวนี้ ผมดูแลเปรียบเสมือนเจ้าของ คนในที่ทำงานทราบดี
ที่ผ่านมาน้องมาเหล่านี้ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับใครแต่อย่างใด แต่ก็ไม่แคล้วที่จะคนในที่ทำงาน ไม่ได้ชอบน้องหมาเหล่านี้เช่นกัน เนื่องจากประชากรในพื้นที่เกือบ 100% เป็นชาวมุสลิม มันจึงกลายเป็นเงื่อนไขที่จะไปกระทบกับชาวบ้านเหล่านั้น (ทั้งที่หมาไม่ได้ไปสร้างปัญหาให้กับชาวบ้านแต่อย่างใด)
และด้วยห้องที่ผมทำงานอยู่ของชั้นล่างของอาคาร น้องหมามักจะตามผมมานอนรอบอยู่หน้าอาคาร ผมรู้ดีว่ามันไม่เหมาะสม ได้แต่พยายามไล่น้องหมาไม่ให้มาอยู่บริเวณนั้น เพราะมีชาวบ้านเข้ามาติดต่อราชการอยู่ตลอดเวลา เป็นภาพที่ไม่เหมาะสม ทั้งเกรงว่าน้องหมาจะไปสัมผัสถูกตัวของชาวบ้านมุสลิมเหล่านั้น และมีคนที่ทำงานได้ตักเตือนผมเช่นกัน
กระทั่งต่อมา เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา มีชาวบ้านมุสลิมร้องเรียนเข้ามาที่ทำงานมีชาวบ้านมุสลิมร้องเรียนเข้ามาที่ทำงาน ผ่านหัวหน้าโรงพัก
ว่า “หมาโรงพักไล่รถมอเตอร์ไซค์เช้าๆ เวลาขี่ไปละหมาด” มันจึงกลายเป็นประเด็นเงื่อนไขขึ้นมา และมีการตักเตือนและสั่งให้ผมดูแลให้ดี
ผมก็รับทราบตามคำสั่ง แต่ด้วยความสงสัยจึงได้ตามหาความจริง ว่าหมาที่ไล่รถชาวบ้านเป็นหมาที่ผมเลี้ยงจริงหรือไม่ เพราะผมรู้จักหมาผมดี
พวกเขาไม่มีพฤติกรรม ดุร้าย หรือลักษณะไล่กวดรถจักรยานยนต์ จากการสอบถามพยาน เพื่อนร่วมงานหลายหลายคนยืนยันว่าไม่ใช่หมาที่ผมเลี้ยงแต่อย่างใด เนื่องจากละแวกที่ทำงานของผมมีหมาจรหลายกลุ่ม จึงเป็นได้ว่าเป็นหมาจรกลุ่มอื่นที่ไล่รถชาวบ้าน แต่ในความเข้าใจของชาวบ้านมุสลิมคงคิดว่าเป็นหมาของโรงพัก ซึ่งเป็นการพูดในภาพกว้าง ชาวบ้านทราบดีและเห็นว่าในโรงพักมีหมา อาศัยอยู่ จึงได้ร้องเรียนไปอย่างนั้น
จากเหตุผลข้างต้น ผมในฐานะคุณเลี้ยงน้องหมาและผมรักน้องหมาเหล่านี้ ผมจึงได้วางแผนที่จะนำน้องหมาไปไว้ที่ศูนย์พักพิงในจังหวัดบ้านเกิดของผมซึ่งเป็นจังหวัดใกล้เคียงกัน คืนนี้ 3 เม.ย.2568 เป็นคืนสุดท้ายแล้ว ที่จะได้อยู่กับน้องหมาที่บ้านพักของที่ทำงาน ที่อยู่เลี้ยงดูกันมากว่าสี่ปี ความรักความผูกพันที่มีต่อกันมันมีมากเหลือเกิน เพราะน้องหมาเขามีความรักที่มีต่อผมเช่นกัน เขารู้ดีว่าผมคือคนที่เลี้ยงดูเขา การแสดงออกทุกอย่างที่น้องหมามีผมนั้นมันตราตรึงอยู่ในใจผมเสมอ พรุ่งนี้จะได้นำน้องทั้งสามตัว ไปไว้ที่ศูนย์พักพิงฯ ซึ่งเป็นของเอกชน ที่รับดูแลน้องหมาจร หรือหมาที่เคยถูกทำหรือหมาที่เคยถูกทำร้าย เจ้าขอเป็นสถานที่เป็นแกนนำขับเคลื่อน ดูแลช่วยเหลือสวัสดิภาพของหมาจรจัดในจังหวัด
เป็นเวลาที่ทำใจได้ยากมา เมื่อต้องจากกันไปแม้จะห่างกันเพียงต่างจังหวัด คงเป็นความไม่คุ้นชิน หลังจากวันพรุ่งนี้แล้ว การใช้ชีวิตอยู่ที่ทำงานของผม
จะไม่มีน้องๆ วิ่งตามไปไหนไปกันอีก เป็นความรู้สึกที่รู้สึกใจหาย แต่เพื่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของน้อง ผมหวังว่าผมคงตัดสินใจไม่ผิดที่นำผมหวังว่าผมคงตัดสินใจไม่ผิดที่นำน้องไปฝากศูนย์พักพิง โดยผมคงมอบค่าใช้จ่ายค่าอาหารให้กับทางศูนย์เป็นรายเดือนไป เป็นการช่วยเหลือ
เนื่องจากถือว่า ผมได้นำเป็นการภาระการเลี้ยงดูไปให้กับทางศูนย์เช่นเดียวกัน
หลังจากนี้ สิ่งที่ผมจะพยายามปฏิบัติ อย่างสม่ำเสมอ คือการแวะเข้าไปเยี่ยมน้องทุกครั้ง เมื่อผมเดินทางกลับบ้านในช่วงวันพัก เนื่องจากอยู่ในจังหวัดเดียวกัน
เป็นความในใจที่อยากพูดระบายออกมา โดยที่ไม่รู้จะไปบอกกล่าวใคร นอกจากตัวผมเองที่เลี้ยงดูแลน้อง ด้วยความรักและความผูกพันระหว่างกัน
หากท่านใดเคยประสบเรื่องราวเช่นนี้ สามารถมาแลกเปลี่ยนพูดคุย แชร์กันได้ครับ อยากทราบว่าท่านบริหารความคิดความรู้สึกอย่างไรในช่วงเวลาเช่นนี้
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ