ข้าวมันไก่ในความทรงจำ

เรื่องของ เหน่ง น้า และแม่ของผม ข้าวมันไก่ และความทรงจำ อะไรที่มันต่อท้ายว่าในความทรงจำมักจะมีความพิเศษอยู่เสมอ แต่มันก็จะขึ้นอยู่กับว่าเป็นความทรงจำของใคร คงคล้ายๆ กับ รักครั้งแรก สอบตกครั้งแรก ได้เหรียญทองเหรียญแรก หรือ เสียตัวครั้งแรก แต่ครั้งแรกมันจะดีหรือไม่ดีก็เป็นไปได้สองทางที่ทำเราจำได้ แต่ในความทรงจำ่มันค่อนไปทางดี อาจดีตั้งแต่ต้นไปจนจบ หรือ ดีมาครึ่งค่อนแล้วเลวร้ายไปก็เหลือจะกล่าว แต่มันก็จะติดหนึบในใจคุณไปอย่างนั้น และถ้าคนนั้นมีความจำน้อยกว่าคนปกติล่ะ คุณจะยิ้มร่าหรือรันทดในครั้งแรกเลยไหม หรือเลวร้ายจนเป็นความทรงจำอันหม่นหมองของใครสักคน สองคน สามคนไปชั่วชีวิต โปรดกระเถิบมาใกล้ ๆ
เหน่งเกิดก่อนผมเกือบปี มีฐานะเป็นทั้งเพื่อนบ้าน เพื่อนเล่นและเป็นง่อย แม่บอกว่าเหน่ง หรือเด็กทั่วไปที่เป็นแบบนี้จะหยุดการเจริญเติบโตทางสมองตอนสามขวบไม่เกิน แม่รู้ว่าดีเพราะน้องชายแม่คนหนึ่งเป็นง่อย และเขาก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน อย่างที่ตายาย แม่และน้า ๆ ของผมบนบานภาวนาทัดทานไว้ ผมไม่ได้เจอน้าเพราะแกด่วนจากลาโลกนี้ไปเสียก่อน ด้วยเป็นหลายโรครุมเร้า และมาตกใต้ถุนตายตอนจะเข้าวัยรุ่นแล้วผมรู้เท่านั้น จึงไม่อาจจะเปรียบเทียบกับชุดความรู้ที่แม่ผมบอกเล่า ว่าถูกต้องมากน้อยแค่ไหน เพียงใด ทั้งในแง่ความสามารถในการเดินวิ่ง พูดจา การใช้แขนที่จะทำได้ไม่เท่าคนปกติ และจะเหมือนเด็กไปตลอดชีวิตไหม สมองผมจึงมีแต่ภาพของเหน่งกับน้าชายสลับกันไปมา เมื่อแม่เล่าถึงตอนนี้ ผมเห็นแววตาของแม่กำลังบอกว่าคิดถึงใครคนหนึ่ง เหมือนเวลาแม่มองผมเล่นกับเหน่งตอนเล็ก ๆ

ผมไม่รู้ว่าสมองของคนเราจะทรงพลังขนาดไหนตอนอายุสามขวบ แต่ตั้งแต่ตอนเล็กสักขวบกว่าจนสามขวบที่ได้เล่นกับเหน่งนั้น เป็นช่วงเวลาที่โครตมีความสุขเลย เขาจะทำตัวเป็นพี่กลาย ๆ คอยปกป้องผมจากสิ่งที่น่ารำคาญอย่างแมงหวี่ แมลงวัน จนถึงสิ่งที่เป็นอันตรายอย่าง ยุง หรือ มดแดงเวลาเราเล่นกันที่ลานบ้าน เมื่อวัยที่ผมต้องไปโรงเรียน ผมอิจฉาเหน่งที่เหน่งไม่ต้องไป อิจฉาปนดีใจที่เขาคอยผมทั้งวันเพื่อมาเล่นกันในตอนเย็นไปยันค่ำ ลุงเชาวน์ ป้าจี๊ด พ่อแม่เหน่งและผู้ใหญ่หลายคนสังเกตว่า เขาเริ่มทำอะไรต่อมิอะไรช้าไปทุกอย่าง และเสียงพูดของเขาก็ไม่ชัดเจนเท่าเก่า มีผมกับแม่ที่ต้องคอยเป็นล่ามสื่อไปถึงทุกคนให้ได้รู้ความว่าเหน่งพูดอะไร สำหรับตัวผมเอง ผมคิดว่าสามารถรู้ไปถึงในใจของเหน่งเลยว่า เขาคิดอะไรในตอนนั้น
ผมมาขาดหายนาน ๆ เจอเหน่งสักที ตอนมาเรียนมัธยมที่กรงเทพ ได้เจอกันตอนกลับมาเยี่ยมแม่ และตอนปิดเทอม เขาเป็นเหมือนเด็กแบบที่แม่ผมว่าไว้ ผมสิบเจ็ดปี เติบโตไปตามวัย แต่เหน่งรูปร่างเขาราวเด็กสิบขวบ เราเล่นด้วยกันน้อยลง ผมมีเพื่อนมากขึ้น แต่เขามีผมคนเดียว แม่บอกเหมือนสั่งให้ผมต้องทำอะไรเพื่อเหน่งบ้าง
ผมพาเขาไปดูผมเล่นฟุตบอลเหมือนเมื่อหลายปีก่อนตอนเป็นเด็กน้อย เขาพยายามปกป้องผมเหมือนที่เขาเคยทำไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย หลายครั้งที่เขาเขยกตัวเองไปทำท่าฮึดฮัดกับฝ่ายตรงข้ามที่พุ่งสกัดผมลงไปกองกับพื้น ทุกคนในสนามถึงกับหัวเราะลั่น ตอนนั้นผมรู้แล้วว่าแม่ก็มีพูดผิดบ้าง สมองของเหน่งไม่ได้หยุดเติบโตอย่างที่แม่บอก
ฟ้ามืดผมขี่จักรยานซ้อนเหน่งไปหาข้าวกินที่ตลาดหน้าอำเภอ เรากินกันเมนูเดียวทุกครั้ง เขาตักไก่แลกกับฟักนิ่ม ๆ กับผม แม่แซวว่ากินข้าวมันไก่เจ๊กชี้อีกแล้วสิ แล้วก็บอกอีกว่าเหมือนน้าชายแกไม่มีผิด เสียงแม่หม่นลงตอนบอกว่า ถ้าไม่ทิ้งน้าไว้คนเดียว เพื่อออกไปดักซื้อเจ๊กชี้ที่วิ่งรถมาขายข้าวมันไก่ตอนนั้น น้าผมอาจไม่ตกใต้ถุนบ้านเตี้ย ๆ ลงมาตาย
เมื่อผมเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย แม่โทรศัพท์มาบอกว่าเหน่งป่วย และเหน่งบอกอยากเจอผม ผมติดฝึกงานอยู่ที่มวกเหล็กไม่สามารถลางานได้ จนรุ่งขึ้นมีโทรศัพท์จากแม่ ปลายสายเป็นเสียงเหน่ง ผมรู้ว่าเขาพูดว่าอะไร แม้เสียงจะไม่ชัด แผ่ว และ ขาดหายเป็นช่วงยิ่งกว่าเดิมก็ตาม เขาบอก คิดถึง อยากเล่นด้วย ที่บ้านเขาติดมุ้งลวดแล้ว ไม่มียุง ไปกินข้าวมันไก่กัน เขามีเงินแล้ว เขาเลี้ยงเอง ผมรับปากเขาทั้งน้ำตา ผมกดโทรศัพท์บอกหัวหน้าขอกลับบ้านไปเยี่ยมพี่ชายทันทีและจับรถไฟเที่ยวแรกสุดกลับบ้าน  
เหน่งรอผมอยู่ ค่ำวันนั้น ในห้องโถงที่ปรับปรุงใหม่มีมุ้งลวดกันยุงแบบที่เขาบอก พระสี่รูปเพิ่งเดินกลับวัดไป ไฟกระพริบที่ติดอยู่รอบกรอบรูปเหน่งที่กำลังยิ้มให้กับทุกคน ร่างเล็กที่นอนเหยียดอยู่ในกล่องไม้ ประดับดอกไม้หลากสี ทำเอาผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ผมตะโกน ทำไมใจร้อน รอน้องหน่อยก็ไม่ได้ ไหนว่าจะเลี้ยงข้าวมันไก่น้องไง แม่ผมเบือนหน้าหนี ผมปล่อยอาหารโปรดของเขาจากร้านเจ๊กชี้ลงแทบเท้า ทุกคนก้มหน้าสะอื้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่