สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นขอเล่าเรื่องก่อนนะคะ คือ เราอายุ 26 ปีปัจจุบัน ได้คบกับป๋าคนนึง ทำอาชีพขับแท็กซี่เขาตามจีบและเลี้ยงดูเราตั้งแต่เราอายุ 16 ปี เท่ากับว่าเราคบกับเขามา10 เกือบ 11 ปี ใช่ค่ะตอนนั้นเรายังไม่มีสามี และเขาก็ได้อยู่คนเดียวเลิกกับภรรยาไปแล้ว เขาเลี้ยงดูเราให้เงินเราใช้ตลอดโดยที่แกอายุเยอะแล้วส่วนมากแกก็จะให้เงินสดซะมากกว่าพักหลังๆมาเมื่อปี 2561 จะได้เปิดบัญชีธนาคารและทำ application ธนาคารในโทรศัพท์แกเลยสามารถโอนให้เราได้เป็นบางครั้งส่วนมากก็จะเป็นเงินสดซะมากกว่าแกมีโรคประจำตัวเป็นโรคถุงลมโป่งพอง ปี 2562 เราก็ได้แยกกันเพราะแกต้องไปรักษาตัวอยู่ที่บ้านน้องสาวอยู่ที่จังหวัดชลบุรีส่วนเราก็อยู่ที่หอพักที่กรุงเทพฯที่แกเคยเช่าให้เราอยู่ด้วยกันกับแก แต่โทรคุยกันตลอดแกก็บอกว่าถ้าเกิดว่าเราอยากมีคนใหม่ที่เขาสามารถดูแลเลี้ยงดูได้เขาก็ไม่ห้ามนะให้มีได้ ด้วยความที่เราก็ยังเด็กเราก็เลยมีสามีคนแรกแต่เราก็บอกแกตลอด ซึ่งแกก็รับรู้มาโดยตลอดพอแค่พักรักษาตัวค่อยยังชั่วแล้วแกก็กลับลงมาขับแท็กซี่เหมือนเดิมและแกก็ได้ไปมีภรรยาไหมที่อายุใกล้เคียงกันกับแก แต่แกยังไม่เลิกติดต่อเรานะยังมานัดเจอเราอยู่เรื่อยๆช่วงที่เราทะเลาะกันกับสามีหนัก เราเลยโทรบอกแกว่าให้มารับหนูหน่อยจะลงไปอยู่กรุงเทพฯบอกไว้ก่อนนะคะตอนนั้นเราอยู่ที่ชลบุรีกับสามีคนใหม่แล้ว แกเลยโอนตังค์มาให้เราค่ารถ 1,000 บาทเราได้นั่งรถตู้ลงมาแล้วมานัดเจอกันอยู่ที่สถานี BTS แก้ขับแท็กซี่มารับแล้วแกก็พาเราไปที่โรงแรม พอไปถึงโรงแรมเสร็จภารกิจเรียบร้อยแกก็บอกว่าไม่ต้องกลับไปนะให้เช่าห้องอยู่ที่นี่เดี๋ยวแกจะเป็นคนเลี้ยงดูให้เงินเหมือนเดิมแต่แกอยู่ช่วยไม่ได้เพราะแกต้องกลับบ้านไปอยู่กับภรรยาของแก ซึ่งตอนนั้นก่อนจะออกจากโรงแรมแกได้โอนเงินให้เราผ่านแอพธนาคารของแก 2 ครั้งห่างกัน 1 นาที ครั้งแรกแกโอนให้เรา 20,000 บาท ครั้งที่ 2 โอนให้เรา 1,000 บาท ย้ำนะคะห่างกันแค่ 1 นาที พ่อแกโอนเสร็จแล้วก็ได้แยกจากกันที่โรงแรมแกก็ถามเราว่าเราจะไปเช่าห้องที่ไหนแล้วก็เลยบอกว่าจะไปเช่าทำงานอยู่แถวสมุทรปราการเพราะแกขับแท็กซี่ทั่วกรุงเทพฯอยู่แล้วแกก็น่าจะไปหาเราได้ แกก็ไม่ห้ามเราเพราะหลังจากที่แยกกันอยู่ที่โรงแรมแล้ว ช่วงเย็นของวันนั้นเลยสามีเราได้โทรมาง้อ มาขอโทษ เราก็ใจอ่อนสรุปเรายังไม่ได้เช่าห้องเราก็เลยนั่งรถตู้กลับไปที่ชลบุรี แล้วเป็นช่วงเย็นวันนั้นแกกลับบ้านอยู่กับภรรยาแกก็โทรหาเราไม่ได้แกมาโทรหาเราตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นถามเราว่าอยู่ไหนแกจะมาหา เราเลยบอกว่าอยู่ชลบุรีแกก็เลยโมโหว่าเรากลับมาหาสามี แล้วแกจะไปแจ้งความเรา ตอนนั้นขู่ว่าจะไปแจ้งความเหมือนเราว่าเราลักทรัพย์ เราก็ไม่คิดว่าแกจะทำจริงเพราะอยู่ด้วยกันมา 10 กว่าปี คบหากันมา 10 กว่าปี แกให้เราเยอะมากกว่าเงินแค่นี้ วันที่แกโอนเงินให้เราที่อยู่โรงแรมคือวันที่ 13 airport วันที่แกโทรหาเราคือวันที่ 14 แล้วแกโมโหเราแกก็เลยไปแจ้งความที่สนว่าเราลักทรัพย์แกและขโมยบัตรประชาชนแล้วก็บัตร ATM ของแกไปด้วย แกไปแจ้งความกับตำรวจบอกว่าเราเป็นคนกดโอนออกจากโทรศัพท์แกเอง ทั้งๆที่แกเป็นคนโอนให้เรา ที่นี้หลังจากนั้น 3 เดือนแกก็ไม่ได้ติดต่อเราอีก เพราะเราอยู่กับสามีแล้วเราก็คุยกับแกไม่ค่อยได้ เราก็เลยเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งไม่ได้ติดต่อกันมา 3 เดือน ที่นี้แกได้มาแอดเฟซเจอเฟสเรา แกก็ได้ทักมาหาเราแต่ไม่ได้พูดเรื่องว่าแกได้ไปแจ้งความนะคะ แกทักมาให้เราลงไปหาแกที่กรุงเทพฯเหมือนเดิมแกบอกว่าแกคิดถึง เพื่อนแกก็ได้ให้เราลงไปหาแกเราก็นั่งรถตู้จากชลบุรีไปหาแกที่กรุงเทพฯแล้วแกก็พาเราไป แต่แกก็ไม่พูดเรื่องที่ว่าแกไปแจ้งความนะคะ หรือแกลืมแล้วก็ไม่รู้ ข่าวนี้พอหลังจากที่อยู่ในโรงแรมด้วยกันกับแกก่อนจะกลับชลบุรีแกก็ได้โอนเงินให้เราอีก 5,000 บาท พอเรากลับมาถึงชลบุรีเราก็พิมพ์ไปบอกแกว่าเวลาเราอยู่กับสามีเราจะติดต่อกันลำบากนะ ซึ่งหลังจากนั้นแกก็ได้ตอบมาว่าช่วงนี้แกขับรถไม่ค่อยไหวแล้วนอนอยู่บ้านเดี๋ยวเมียแกก็จะว่าถ้าเกิดว่าคุยโทรศัพท์กับเรา หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ติดต่อกับแกอีกเลย ประมาณ 1 ปี พอเราย้ายลงมาอยู่ที่สมุทรปราการ มาอยู่ที่ห้องพักที่สมุทรปราการได้แค่ 1 เดือน อยู่ดีๆมีตำรวจไฟเบอร์ มาจับเราคาห้องพักเลย ซึ่งเขาก็อ่านหมายจับให้เราฟังว่ามีคนแจ้งว่าเราลักทรัพย์อย่างนี้นะ เราก็บอกว่าเราไม่ได้ทำเขาก็เลยเอาตัวเราอ่ะจากของห้องพักที่จังหวัดสมุทรปราการไปที่สถานีตำรวจที่แกได้ไปแจ้งความไว้คือในกรุงเทพฯสน. ชนะสงคราม ซึ่งแกได้ไปแจ้งความเราว่าเราลักทรัพย์และบัตร ATM บัตรประชาชนของแก แล้วเป็นครั้งแรกที่เราโดนตำรวจจับเพราะเราไม่เคยมีคดีอะไรมาก่อนเลย ซึ่งตอนนั้นจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วเราไม่เคยเจอแบบนี้ไม่เคยเข้ามาอยู่ในคุกไม่เคยเจอคดีแบบนี้ เราก็ร้องไห้จิตหลุด ทางสน. ก็อ่านข้อกล่าวหาให้เรารับทราบ เราก็บอกกับทางตำรวจเจ้าของคดีของเรานะคะว่าเราไม่ได้ทำเขาเป็นคนโอนให้เองและเราไม่ได้เอาบัตรอะไรของเขามาแม้แต่อย่างเดียว แล้วเราก็เลยเล่าให้ตำรวจฟังว่าเรากับเขาอ่ะเคยคบกันมา 10 ปีซึ่งไม่ได้ติดต่อกันแค่ปีเดียวเอง ตำรวจก็เลยบอกกับเราว่าตำรวจโทรไปหาแกแล้วลูกชายแกรับสายแกเสียชีวิตแล้วเมื่อ 4 เดือนก่อนที่เราถูกจับ เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวนะคะ เราก็ไม่รู้จะตกใจอะไรก่อนดี คราวนี้ตำรวจก็ให้เราพิมพ์ลายนิ้วมือแล้วให้เราเซ็นรับทราบข้อกล่าวหาโดยเขียนชื่อเรานามสกุล แต่เราไม่ได้รับสารภาพกับชั้นตำรวจนะคะว่าเราเป็นคนทำเราก็บอกเขานะว่าเราไม่ได้ทำแต่เขาให้เรารับทราบข้อกล่าวหาคือให้เราเซ็นชื่อ ตำรวจถามเราว่าจะประกันตัวไหมเดี๋ยวค่อยนัดไปส่งศาลอีกที ทางเรากับพี่สาวที่ไปด้วยกันก็บอกว่าประกันตัวกี่บาทคะ ทางตำรวจบอกว่าประกันตัว 200,000 บาท มันสูงเกินไปใช่ค่ะเราไม่มีเงินประกันตัวขนาดนั้น แม่เราก็เลยบอกว่าให้นอนที่สนไปก่อนค่อยไปประกันตัวที่ศาลเอา เราได้นอนที่สน 2 คืนซึ่งทรมานใจมากๆข้าวก็กินไม่ได้นอนก็นอนไม่หลับ พอหลังจากสนส่งเราไปศาล ซึ่งส่งไปศาลบ่าย 2 โมง ประกันก็ประกันไม่ทันค่ะ เพราะมันเย็นแล้วคนก็เยอะด้วย ทางศาลเรียกประกันตัวเรา 25,000 บาท ใช่ค่ะซึ่งตอนนั้นเพิ่งลงมาทำงานที่สมุทรปราการได้แค่ 1 เดือน เราก็ยังไม่มีเงินแม่เราก็เลยโอนเงินมาให้พี่สาวที่มากับเรา 15,000 บาท ให้พี่สาวเราซื้อหลักประกันที่ศาลโดยมีนายประกัน เราจ่ายเงินให้นายประกัน 15,000 บาทนายประกันไปประกันตัวเราสองหมื่นห้าถ้าคดีจบแล้วนายประกันก็คืนเงินเราแค่ 10,000 บาทเขาก็หักไป 5,000 บาทค่ะ ประกันตัวเราไม่ทันวันที่ตำรวจพาเรามาที่ศาล เราต้องได้เข้าไปนอนในเรือนจำ 2 วันกับอีก 1 คืนเต็มๆ ซึ่งในสน. เราว่าเราทรมานใจมากแล้ว เข้าไปในเรือนจำยิ่งทรมานใจมากกว่าอีกค่ะข้าวปลาก็กินไม่ได้นอนก็นอนไม่หลับชะโงกหน้ามองมาก็ไม่เห็นใครที่เป็นญาติเราไม่รู้ว่าเราจะได้ออกไปไหมให้ใครเขาติดต่อหาญาติให้ก็ไม่ได้ค่ะเขาบอกว่าถ้ามีคนมาประกันตัวตอนเย็นจะมี ใบจากศาลมาเรียกชื่อเราที่ตามห้องขัง ใช่ค่ะ เรานอนที่นั่นคืนนึงก็มีเจ้าหน้าที่มาเรียกเราวันที่ 2 ช่วงเย็นว่ามีคนมาประกันตัว ซึ่งเป็นสามีปัจจุบันของเรา และพี่สาวที่มาด้วยกัน ใช้หลักทรัพย์ซื้อนายประกันนะคะ เราปฏิเสธทุกอย่างที่ศาลนัดเรามาแต่ละครั้ง เพราะเราไม่ได้ทำจริง แล้วเมื่อวันที่ 21 ที่ผ่านมานี้ศาลได้นัดเราสืบพยาน
ทางเราเอาพยานไปค่ะ 1 คน ซึ่งพยานของเราเคยรู้เห็นกับแกรู้จักกับแกมาก่อนอาจจะไปเป็นพยานที่ศาลได้ว่าแกเคยให้เรามาตลอดคบกับเรามาตลอด 10 ปี ไม่ใช่แค่เพิ่งรู้จักกันและเราไปลักทรัพย์แกโดยที่ไม่รู้จักกับแก สั่งของแกศาลนัด 3-4 รอบ ไม่มีญาติพี่น้องของแกมาค่ะ แล้ววันสืบพยานคือวันเดียวกันกับที่เราไปเราเห็นตำรวจเจ้าของคดีของเรามาที่ศาลด้วยเขาขึ้นเป็นพยานของฝั่งทางโจทก์ค่ะ เขาเบิกความให้ศาลฟังว่า เราได้โอนเงินของแกออกไปหมดบัญชี ศาลก็เรียกเราไปถามอยู่หน้าบัลลังก์ืเราก็เลยบอกว่าหนูไม่รู้ค่ะเพราะว่าหนูไม่ได้เป็นคนโอนเองว่าหมดบัญชีหรือเปล่าแกเป็นคนกดโอนให้คราวนี้พยานที่เป็นตำรวจเจ้าของคดีก็บอกว่าหมดบัญชีเขาเป็นคนมาแจ้ง ตอนนั้นศาลท่านก็ตะคอกใส่เราว่าถ้าไม่ใช่ลักทรัพย์คุณจะเอาของเขาออกหมดบัญชีขนาดนี้เลยหรอ แต่ศาลอีกท่านนึงขอดู statement ของทางโจทก์ ซึ่งตำรวจที่เป็นพยานตำรวจเจ้าของคดีนะคะคนที่รับแจ้งเขาก็เอา statement ให้ดูทนายเราเป็นคนหยิบมาดูก่อนค่ะแล้วทนายเราก็ไปเห็นยอดเหลือในบัญชีวันนั้นเหลือเงินในบัญชีอยู่ 1,300 บาทไม่ได้หมดบัญชีอย่างที่ตำรวจเขากล่าวมานะคะ ทนายฝั่งเราก็เลยเอา statement นั้นไปให้ศาลท่านดูหลานท่านก็บอกว่าไม่หมดบัญชีนะเหลืออยู่ที่นี่ 1,300 บาทในบัญชี คราวนี้ทนายเราก็เลยบอกว่าเมื่อกี้พยานได้เบิกความไปว่าจำเลยถอนเงินหมดบัญชี แต่ที่จริงแล้วเราไม่รู้นะคะว่าหมดบัญชีหรือไม่หมดบัญชีเราก็เพิ่งมารู้เหมือนกันว่าเงินเหลือในบัญชีของแก 1,300 บาทหลังจากที่แกโอนให้เรา ข้อที่ 2 ตำรวจเจ้าของคดีที่เป็นพยานฝั่งโจทก์ ศรีรัตน์ต้องบอกก่อนนะคะว่าโจทย์ไม่มีเพราะเสียชีวิตแล้วไม่มีญาติของโจทก์มาตำรวจคนนี้แกเป็นคนรับแจ้งความเป็นตำรวจเจ้าของคดีเป็นคนส่งฟ้องเราแกก็ต้องมาเป็นพยานทางโจทก์อยู่แล้วค่ะ ต่อนะคะข้อที่ 2 ศาลถามตรงประเด็นว่าแล้วคุณมีหลักฐานอะไร ว่าจำเลยเอาบัตรประชาชนและบัตร ATM ไป พยานตำรวจก็บอกเขาไปว่าผมก็ไม่รู้ผมก็รับแจ้งมาจากผู้เสียหายเหมือนกันเป็นแบบนี้ เขาเล่ามาแบบนี้ผมก็เลยแจ้งข้อหาแบบนี้ แต่ไม่ได้มีหลักฐานยื่นให้ศาลดูนะคะข้อนี้ ข้อที่ 3 แกเล่าว่า ผู้เสียหายมาแจ้งความว่าเราเป็นคนกดโอนเงินออกจากบัญชีเอง ทนายของเราค้านค่ะ ค้านว่า ถ้าเกิดว่าจำเลย เป็นคนกดโอนเงินจริงๆพยานเป็นตำรวจเจ้าของคดีเป็นคนแจ้งข้อกล่าวหาพยานได้สืบกับ line นิ้วมือแฝงบนโทรศัพท์ของผู้เสียหายไหม ทางตำรวจท่านนี้ที่เป็นพยานก็บอกว่าไม่ได้ทำเท่ากับว่าไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันให้ศาลได้เลยใช่ไหมคะ อันนี้เราพูดถูกใช่ไหมคะ แล้วข้อที่ 4 แกเล่าเบิกความให้ศาลฟังว่า หลังจากที่ผู้เสียหายได้มาแจ้งความแกก็ได้ไปตรวจสอบ สถานที่เกิดเหตุคือที่โรงแรม และได้ถ่ายรูปมาให้ศาลท่านดู แต่เป็นรูปถ่ายนั่งอยู่บนรถแล้วถ่ายผ่านกระจกรถยนต์ที่มองเห็นภาพโรงแรมแค่นั้นเองค่ะไม่ได้มีภาพจากกล้องวงจรปิดว่าเราเดินออกมาจากโรงแรมด้วยนะคะไม่มีนะคะ ทนายเราก็เลยค้านว่า แล้วที่พยานไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุได้ถามทางโรงแรมไหมว่าเรากับผู้เสียหายเข้าออกเวลาไหน ทางพยานที่เป็นตำรวจก็บอกว่าไม่ได้สอบถามแค่ไปถ่ายรูปเฉยๆ แค่นั้นล่ะค่ะ แล้วเขาก็จบแค่นี้ เราก็เลยอยากทราบว่า ที่เราเล่ามาทั้งหมด เราจะหลุดพ้นไหมคะศาลท่านจะยกฟ้องไหมเพราะว่าทางโจทก์ไม่มีหลักฐานอะไรมาให้ดูเลยค่ะมีแค่ statement การโอนเงินออกแต่ก็ไม่ได้มีหลักฐานว่าเราเป็นคนกดโอนเหมือนที่เขาไปแจ้งความว่าเรา แล้วก็เป็นแค่รูปถ่ายหน้าโรงแรมแต่ก็ไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วก็ไม่ได้ไปสอบถามเวลาเข้าออกของทางโรงแรมด้วยทั้งๆที่ตำรวจรับแจ้งความเป็นคนไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ต้องขอบอกอีกเรื่องนึงนะคะแกไปโรงแรมกับเราวันที่ 13 ช่วงเที่ยง ออกจากโรงแรมช่วงบ่ายโมงกว่าๆ แต่ที่แกไปแจ้งความว่าเราลักทรัพย์เป็นวันที่ 14 ช่วงบ่ายโมงค่ะ ซึ่งถ้าปกติแล้วแกรู้ว่ามีคนรักซับแกแล้วทำไมแกถึงไม่ไปแจ้งความเลยล่ะคะสนก็เปิด 24 ชั่วโมงทุกที่ เราเลยกลัวค่ะว่าศาลท่านจะยุติธรรมกับเราไหม ทางโจทก์ไม่มีหลักฐานอะไรมัดตัวเราสักอย่าง ว่าเราเป็นคนทำ เราเลยอยากได้คำตอบจากเพื่อนๆพี่ๆในพันทิป ว่าถ้าเป็นอย่างที่เราเล่ามานี้ศาลจะตัดสินยังไงคะ
อยากถามเพื่อนๆ ใครมีความรู้ ช่วยบอกหน่อยค่ะวันที่ 28 นี้จะนัดตัดสินพิพากษาคดี
ทางเราเอาพยานไปค่ะ 1 คน ซึ่งพยานของเราเคยรู้เห็นกับแกรู้จักกับแกมาก่อนอาจจะไปเป็นพยานที่ศาลได้ว่าแกเคยให้เรามาตลอดคบกับเรามาตลอด 10 ปี ไม่ใช่แค่เพิ่งรู้จักกันและเราไปลักทรัพย์แกโดยที่ไม่รู้จักกับแก สั่งของแกศาลนัด 3-4 รอบ ไม่มีญาติพี่น้องของแกมาค่ะ แล้ววันสืบพยานคือวันเดียวกันกับที่เราไปเราเห็นตำรวจเจ้าของคดีของเรามาที่ศาลด้วยเขาขึ้นเป็นพยานของฝั่งทางโจทก์ค่ะ เขาเบิกความให้ศาลฟังว่า เราได้โอนเงินของแกออกไปหมดบัญชี ศาลก็เรียกเราไปถามอยู่หน้าบัลลังก์ืเราก็เลยบอกว่าหนูไม่รู้ค่ะเพราะว่าหนูไม่ได้เป็นคนโอนเองว่าหมดบัญชีหรือเปล่าแกเป็นคนกดโอนให้คราวนี้พยานที่เป็นตำรวจเจ้าของคดีก็บอกว่าหมดบัญชีเขาเป็นคนมาแจ้ง ตอนนั้นศาลท่านก็ตะคอกใส่เราว่าถ้าไม่ใช่ลักทรัพย์คุณจะเอาของเขาออกหมดบัญชีขนาดนี้เลยหรอ แต่ศาลอีกท่านนึงขอดู statement ของทางโจทก์ ซึ่งตำรวจที่เป็นพยานตำรวจเจ้าของคดีนะคะคนที่รับแจ้งเขาก็เอา statement ให้ดูทนายเราเป็นคนหยิบมาดูก่อนค่ะแล้วทนายเราก็ไปเห็นยอดเหลือในบัญชีวันนั้นเหลือเงินในบัญชีอยู่ 1,300 บาทไม่ได้หมดบัญชีอย่างที่ตำรวจเขากล่าวมานะคะ ทนายฝั่งเราก็เลยเอา statement นั้นไปให้ศาลท่านดูหลานท่านก็บอกว่าไม่หมดบัญชีนะเหลืออยู่ที่นี่ 1,300 บาทในบัญชี คราวนี้ทนายเราก็เลยบอกว่าเมื่อกี้พยานได้เบิกความไปว่าจำเลยถอนเงินหมดบัญชี แต่ที่จริงแล้วเราไม่รู้นะคะว่าหมดบัญชีหรือไม่หมดบัญชีเราก็เพิ่งมารู้เหมือนกันว่าเงินเหลือในบัญชีของแก 1,300 บาทหลังจากที่แกโอนให้เรา ข้อที่ 2 ตำรวจเจ้าของคดีที่เป็นพยานฝั่งโจทก์ ศรีรัตน์ต้องบอกก่อนนะคะว่าโจทย์ไม่มีเพราะเสียชีวิตแล้วไม่มีญาติของโจทก์มาตำรวจคนนี้แกเป็นคนรับแจ้งความเป็นตำรวจเจ้าของคดีเป็นคนส่งฟ้องเราแกก็ต้องมาเป็นพยานทางโจทก์อยู่แล้วค่ะ ต่อนะคะข้อที่ 2 ศาลถามตรงประเด็นว่าแล้วคุณมีหลักฐานอะไร ว่าจำเลยเอาบัตรประชาชนและบัตร ATM ไป พยานตำรวจก็บอกเขาไปว่าผมก็ไม่รู้ผมก็รับแจ้งมาจากผู้เสียหายเหมือนกันเป็นแบบนี้ เขาเล่ามาแบบนี้ผมก็เลยแจ้งข้อหาแบบนี้ แต่ไม่ได้มีหลักฐานยื่นให้ศาลดูนะคะข้อนี้ ข้อที่ 3 แกเล่าว่า ผู้เสียหายมาแจ้งความว่าเราเป็นคนกดโอนเงินออกจากบัญชีเอง ทนายของเราค้านค่ะ ค้านว่า ถ้าเกิดว่าจำเลย เป็นคนกดโอนเงินจริงๆพยานเป็นตำรวจเจ้าของคดีเป็นคนแจ้งข้อกล่าวหาพยานได้สืบกับ line นิ้วมือแฝงบนโทรศัพท์ของผู้เสียหายไหม ทางตำรวจท่านนี้ที่เป็นพยานก็บอกว่าไม่ได้ทำเท่ากับว่าไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันให้ศาลได้เลยใช่ไหมคะ อันนี้เราพูดถูกใช่ไหมคะ แล้วข้อที่ 4 แกเล่าเบิกความให้ศาลฟังว่า หลังจากที่ผู้เสียหายได้มาแจ้งความแกก็ได้ไปตรวจสอบ สถานที่เกิดเหตุคือที่โรงแรม และได้ถ่ายรูปมาให้ศาลท่านดู แต่เป็นรูปถ่ายนั่งอยู่บนรถแล้วถ่ายผ่านกระจกรถยนต์ที่มองเห็นภาพโรงแรมแค่นั้นเองค่ะไม่ได้มีภาพจากกล้องวงจรปิดว่าเราเดินออกมาจากโรงแรมด้วยนะคะไม่มีนะคะ ทนายเราก็เลยค้านว่า แล้วที่พยานไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุได้ถามทางโรงแรมไหมว่าเรากับผู้เสียหายเข้าออกเวลาไหน ทางพยานที่เป็นตำรวจก็บอกว่าไม่ได้สอบถามแค่ไปถ่ายรูปเฉยๆ แค่นั้นล่ะค่ะ แล้วเขาก็จบแค่นี้ เราก็เลยอยากทราบว่า ที่เราเล่ามาทั้งหมด เราจะหลุดพ้นไหมคะศาลท่านจะยกฟ้องไหมเพราะว่าทางโจทก์ไม่มีหลักฐานอะไรมาให้ดูเลยค่ะมีแค่ statement การโอนเงินออกแต่ก็ไม่ได้มีหลักฐานว่าเราเป็นคนกดโอนเหมือนที่เขาไปแจ้งความว่าเรา แล้วก็เป็นแค่รูปถ่ายหน้าโรงแรมแต่ก็ไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วก็ไม่ได้ไปสอบถามเวลาเข้าออกของทางโรงแรมด้วยทั้งๆที่ตำรวจรับแจ้งความเป็นคนไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ต้องขอบอกอีกเรื่องนึงนะคะแกไปโรงแรมกับเราวันที่ 13 ช่วงเที่ยง ออกจากโรงแรมช่วงบ่ายโมงกว่าๆ แต่ที่แกไปแจ้งความว่าเราลักทรัพย์เป็นวันที่ 14 ช่วงบ่ายโมงค่ะ ซึ่งถ้าปกติแล้วแกรู้ว่ามีคนรักซับแกแล้วทำไมแกถึงไม่ไปแจ้งความเลยล่ะคะสนก็เปิด 24 ชั่วโมงทุกที่ เราเลยกลัวค่ะว่าศาลท่านจะยุติธรรมกับเราไหม ทางโจทก์ไม่มีหลักฐานอะไรมัดตัวเราสักอย่าง ว่าเราเป็นคนทำ เราเลยอยากได้คำตอบจากเพื่อนๆพี่ๆในพันทิป ว่าถ้าเป็นอย่างที่เราเล่ามานี้ศาลจะตัดสินยังไงคะ