ดร.นิเวศน์ ชี้ตลาดหุ้นเวียดนามมุ่งสู่ทศวรรษทอง โตแรงแซงตลาดหุ้นไทย

ดร.นิเวศน์ กูรูนักลงทุนวีไอ ชี้ตลาดหุ้นเวียดนามมุ่งสู่ทศวรรษทอง จะโตต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 8 ปี ล่าสุดโตแรงแซงตลาดหุ้นไทย จากต้นปีถึง 21 มี.ค.68 ดัชนี +4% อยู่ที่ 1,322 จุด สูงกว่าดัชนี SET ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 2518 หรือ 50 ปี ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามเปิดมาแค่ 25 ปี

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) เปิดเผยว่า สัปดาห์ก่อนผมเขียนบทความเรื่อง “ตลาดหุ้นอเมริกากำลังเข้าสู่ทศวรรษที่หายไป?” ก็ได้รับคำถามจากนักลงทุนที่น่าจะลงทุนในตลาดเวียดนามว่า “แล้วตลาดหุ้นเวียดนามจะเป็นอย่างไร” เพราะเวียดนามอาจจะอยู่ในรายชื่อของประเทศที่จะถูกอเมริกาขี้นภาษีสินค้านำเข้า เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐมาก ตลาดหุ้นเวียดนามจะมีปัญหามากไหมหลังจากการประกาศรายชื่อรอบต่อมาของประเทศที่จะถูกขึ้น “บัญชีดำ” ในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้?

คำตอบเบื้องต้นของผมก็คือ ผมไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าเมื่อจีนถูกปรับขึ้นภาษีรอบแรกที่ประมาณ 10% ตลาดหุ้นจีนดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตอบสนองอะไร เพราะเรื่องนี้ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องถูกเล่นงาน ตลาดหุ้นรับรู้ข่าวนี้มาหลายเดือนแล้วเพียงแต่ไม่รู้ว่าจะถูกปรับขึ้นขนาดไหน ถ้าปรับขี้นไม่ได้มากกว่าที่คาด ตลาดหุ้นก็จะไม่ตกลงมา ดังนั้นกรณีของเวียดนาม เราก็คงจะต้องดูกันต่อไปว่าตลาดจะขึ้นหรือลงในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังการประกาศ

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมก็คือ ในระยะยาว การค้าขายระหว่างเวียดนามกับอเมริกาและประเทศอื่นจะดีขึ้นหรือแย่ลง เหตุผลก็เพราะว่าเวียดนามนั้นอาศัยการส่งออกสินค้าเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจของตนเองมาก และที่ GDP ของเวียตนามโตเอา ๆ ในช่วงอย่างน้อย 10 ปีที่ผ่านมานั้นก็เพราะเวียดนามมีความสามารถในการผลิตสินค้าหรือบริการที่แข่งขันได้ มีต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งในขณะที่คุณภาพไม่แพ้คนอื่น และทั้งหมดนั้นเป็นเพราะศักยภาพของคนเวียตนามที่สูงและมีกำลังแรงงานที่เพิ่มขึ้นและจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอีกอย่างน้อย 10 ปีข้างหน้า

ความเห็นของผมก็คือ ถ้าไม่นับเรื่องของสงครามการค้าและ “ระเบียบโลกใหม่” ที่หลายคนพูดว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็น Globalized คือเปิดกว้างและไม่มีกำแพงขวางกั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กลายเป็นโลกที่ปิดตัวลงไปมากด้วยการตั้งกำแพงภาษีที่ทรัมป์กำลังทำ เวียดนามก็จะต้องเจริญเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็วแบบ “ไม่มีอะไรมาขวางได้” อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศอุตสาหกรรมใหม่คือ ใต้หวัน เกาหลี ฮ่องกง และสิงคโปร์เมื่อซัก 5-60 ปีก่อน และเกิดขึ้นกับมาเลเซีย ไทย และอีกหลายประเทศในอาเซียน เมื่อประมาณซัก 40 ปีก่อน

คำถามที่ต้องการคำตอบก็คือ สงครามการค้ารอบนี้สุดท้ายจะเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวของสินค้าในโลกนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญแค่ไหน? ถ้าสินค้าก็ยังเคลื่อนไหวเหมือนเดิมเพียงแต่เปลี่ยนประเทศไป เช่น จากเดิมสินค้า ก. ผลิตจากจีนและส่งไปอเมริกา ต่อไปกลายเป็นผลิตจากเวียดนามและส่งไปอเมริกาแทน ในกรณีแบบนี้ เศรษฐกิจของเวียดนามไม่ได้แย่ลงแต่อาจจะดีขึ้นด้วยซ้ำ

แต่ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบที่ว่าสินค้านั้นแทนที่จะผลิตในจีนและส่งไปขายให้อเมริกา กลายเป็นว่าอเมริกาผลิตเองและขายให้คนในประเทศ แบบนี้การค้าระหว่างประเทศก็จะลดลง เวียดนามเองก็จะส่งออกสินค้าได้น้อยลง การเติบโตของเศรษฐกิจก็จะลดลง แบบนี้เวียดนามเสียหายแน่

ผมเองคิดว่าฉากทัศน์น่าจะเป็นแบบแรก เพราะอเมริกาคงไม่สามารถสร้างโรงงานเพื่อที่จะผลิตสินค้าจำนวนมหาศาลเพื่อป้อนให้กับคนอเมริกันได้ทัน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นักธุรกิจและนักลงทุนเองก็ไม่อยากสร้าง เพราะผลตอบแทนของการผลิตและขายสินค้าที่ไม่ได้เป็นไฮเท็คนั้นค่อนข้างต่ำ ในขณะที่ต้นทุนการผลิตเองก็สูงเนื่องจากค่าแรงของคนอเมริกันสูงมาก ต่อให้ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ ต้นทุนก็สู้ประเทศอย่างจีนหรือเวียดนามไม่ได้ ว่าที่จริงปัจจุบันนี้โรงงานในประเทศอย่างเวียดนามก็น่าจะใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติแพร่หลายอยู่แล้ว

หน้าที่ของเวียดนามตอนนี้ก็คือ การพยายามทำตัวให้เป็นคนที่ “ไม่เอาเปรียบอเมริกา” เพื่อที่ว่าอเมริกาจะนำเข้าสินค้าจากเวียดนามแทนจีนและ/หรือประเทศอื่นที่ถูกอเมริกาขึ้นภาษีศุลกากรอย่างหนัก

เวียดนามไม่รอให้อเมริกาประกาศขึ้นภาษีตนเอง แต่ประกาศจะซื้อเครื่องบินพาณิชย์จากโบอิงหลายร้อยลำ ก๊าซธรรมชาติและพลังงานอื่น ๆ รวมถึงการซื้ออาวุธบางส่วน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะลดการได้เปรียบดุลการค้ากับอเมริกาโดยไม่ต้องให้อเมริกามาเจรจา เป็นการ “เอาใจสุด ๆ” ที่ไม่มีประเทศไหนทำ

เวียดนามยังพยายามเชิญชวนนักธุรกิจอเมริกันให้มาลงทุนและทำธุรกิจกับเวียดนาม ซึ่งก็ประสบความสำเร็จมาก เมื่อไม่กี่วันมานี้ นักธุรกิจชั้นนำของอเมริกาจำนวนหลายสิบคนมาเยี่ยมเยือนเวียดนาม พวกเขาเห็นศักยภาพของเวียดนามและเห็นโอกาสที่จะทำธุรกิจหลากหลาย ซึ่งรวมถึงธุรกิจที่สามารถส่งกลับไปที่อเมริกาได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ทรัมป์เองก็มีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในเวียดนาม นี่ก็เป็นภาพที่ไม่เห็นในประเทศอื่นเช่นกัน

เวียดนามยังพยายามทำให้เป็นตัวเลือกของอเมริกาในด้านของการเป็นเป็นผู้ผลิตหรือให้บริการสนับสนุนหรือเป็น Supplier ของสินค้า ไฮเท็คให้อเมริกาแทนจีน เห็นได้จากการที่ เจนเซ่น หวง CEO ของ NVIDIA ได้ไปเยี่ยมเยืยนและทำธุรกิจกับเวียดนาม โดยการขายชิพ AI ที่หาได้ยากในท้องตลาดให้กับ FPT บริษัทไฮเท็คยักษ์ใหญ่ของเวียดนาม ภาพของ เจนเซ่น หวง นั่งกินอาหารสตรีทฟู้ดกับนายกรัฐมนตรีเวียดนามนั้นเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเวียดนามนั้น น่าจะเป็นคนที่ได้รับมากกว่าที่จะเสียประโยชน์จากสงครามการค้า

เวียดนามยังทำมากกว่านั้น จริงอยู่ว่านี่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของสงครามการค้าที่จะกระทบกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศ พวกเขากำลังพยายามปฏิรูปประเทศในทุกด้านตั้งแต่เรื่องคอร์รัปชั่นที่มีการปราบปรามอย่างเต็มที่จนคะแนนสูงกว่าไทยไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการศึกษาที่พยายามเน้นการเรียนทางด้าน STEM หรือสาย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่จำเป็นสำหรับการผลิตและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ

และที่เพิ่งประกาศเมื่อไม่กี่วันมานี้ที่ “น่าทึ่ง” ก็คือการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินแนวเดียวกับที่ทรัมป์และอีลอนมัสก์ทำนั่นก็คือ ลดความซ้ำซ้อนและความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานโดยการลดจำนวนกระทรวงต่าง ๆ ลง ลดจำนวนจังหวัดลงประมาณครึ่งหนึ่ง ลดหน่วยงานระดับท้องถิ่น 60-70% ลดหน่วยงานในภาครัฐลง 1 ใน 3 และตำแหน่งงานในภาครัฐ 1 ใน 5 จะถูกปลดออกภายใน 5 ปี เป็นต้น ทั้งหมดนี้ผมเองไม่เคยเห็นเลยในประเทศคอมมิวนิสต์หรือสังคมนิยมที่มีแต่จะเพิ่มจำนวนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อควบคุมหรือสอดส่องประชาชนเป็นหลัก

มาถึงเรื่องตลาดหุ้นก็มีพัฒนาการที่น่าจะกำลังเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้นั่นก็คือ การมาของระบบซื้อ-ขายหุ้นที่ทันสมัยสามารถรองรับการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง และการที่ตลาดหุ้นจะถูกยกระดับขึ้นเป็นตลาดเกิดใหม่ที่ได้รับการรับรองจากฟุตซี่และ MSCI ที่จะทำให้กองทุนขนาดใหญ่ของโลกสามารถเข้ามาลงทุนได้ นอกจากนั้น นักลงทุนส่วนบุคคลในประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและถึงนาทีนี้ก็น่าจะสูงกว่านักลงทุนในตลาดหุ้นไทยไปแล้ว

รัฐบาลเองนั้นมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงโดยการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศโดยการให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนโดยเฉพาะแนวไฮเท็คเต็มที่ เป้าหมายการส่งออกและการเจริญเติบโตของ GDP สำหรับปีนี้และปีต่อไปสูงลิ่วที่ประมาณ 6-7% ขึ้นไปและนับถึงวันนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้แม้ว่าโลกของการค้ากำลังปั่นป่วนด้วยสงครามการค้า

และที่แปลกไปกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นหลาย ๆ แห่งก็คือ เวียดนามไม่พูดถึงเรื่องการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” โดยการแจกเงินหรือทำโครงการเร่งด่วนที่จะช่วยให้เศรษฐกิจโตเร็วขึ้นหรือป้องกันไม่ให้ถดถอยลงไปมาก พวกเขามีโครงการใหญ่มหึมาที่จะช่วยยกระดับสาธารณูปโภค เช่น รถไฟความเร็วสูง สนามบินและอื่น ๆ ที่ต้องใช้เวลาหลายปี และพวกเขาก็จะทำได้เพราะหนี้ของประชาชนและหนี้ของประเทศยังต่ำมาก

ข้อสรุปของผมก็คือ เวียดนามวันนี้มีความแข็งแรงและแข็งแกร่งมาก และอยู่ในตำแหน่งทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ที่ดีมากเพราะไม่ได้เป็นฝ่ายไหนเลย แต่สนิทกับทั้งอเมริกาและจีนที่ต่างก็ต้องการเวียดนามเป็นพวก

ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามนั้น เติบโตดีอย่างมั่นคงมา 2 ปีแล้ว โดยปี 2023 ปรับตัวขึ้นประมาณ 13% และปี 2024 ขึ้นอีก 12% ไม่รวมปันผล จากต้นปี 2025 ถึงวันที่ 21 มีนาคม ดัชนีขึ้นมาแล้วประมาณ 4% และอยู่ที่ 1,322 จุด และสูงกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยที่เปิดมาตั้งแต่ปี 2518 หรือ 50 ปีแล้ว ในขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามเปิดมาแค่ 25 ปี

ถ้าถามผมว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะเป็นอย่างไรในระยะยาว เช่น 10 ปีข้างหน้า จะเป็นอย่างไร คำตอบของผมก็คือ ตลาดหุ้นเวียดนามนั้น น่าจะกำลังมุ่งเข้าสู่ “ทศวรรษทอง” คือเติบโตต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 8 ปี โดยที่สงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้นนั้นอาจจะทำให้ดัชนีตกลงไปบ้าง แต่หลังจากนั้นมันก็จะขึ้นต่อไปตามศักยภาพของประเทศและบริษัทจดทะเบียนที่จะโตขึ้นเรื่อย ๆ

อย่างไรก็ตาม นี่คือการคาดการณ์ที่มีโอกาสผิดพลาดสูงพอสมควร โดยเฉพาะในช่วงที่โลกอาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้มากอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน...

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1778365


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่