เมื่อความฝันของผม… ไม่ใช่ความหวังของพ่อ

“เตะบอลมันจะทำให้มีข้าวกินไหม?!”


คำพูดนี้… ฝังอยู่ในหัวของผมมาตลอดชีวิต…

สำหรับพ่อ การเป็นข้าราชการคือชีวิตที่มั่นคง มีเงินเดือนกินตลอดชีวิต แต่สำหรับผม… ฟุตบอลไม่ใช่แค่เรื่องเล่น ๆ มันคือสิ่งเดียวที่ทำให้ผมอยากตื่นขึ้นมาสู้ในแต่ละวัน

และวันหนึ่ง… ผมต้องเลือกระหว่าง “ความฝันของผม” กับ “ความหวังของพ่อ”


ผม ’กอล์ฟ’ เป็นเด็กที่โตมาในครอบครัวฐานะปานกลาง พ่อเป็นข้าราชการที่มีระเบียบ ชอบความมั่นคง ส่วนผม? ผมเป็นเด็กที่รักฟุตบอลหมดใจ เลิกเรียนเมื่อไหร่ก็เตะบอลจนมืดค่ำ แล้วก็กลับบ้านมาโดนด่าทุกวัน

“วัน ๆ เอาแต่เตะบอล มันจะมีอนาคตตรงไหน?” พ่อพูดซ้ำ ๆ จนผมจำได้ขึ้นใจ

แต่ผมก็ยังไม่หยุดเล่น เพราะมันคือสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่า “ผมมีตัวตน”


วันคัดตัวทีมชาติประกาศออกมา ผมแทบคลั่งด้วยความดีใจ ฝันที่ผมเฝ้ารอมาทั้งชีวิตอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่พ่อกลับสั่งให้ผมไปสอบเข้านายร้อยในวันเดียวกัน พ่อเชื่อว่านั่นคือสิ่งที่รับประกันอนาคตได้ แต่ผม… ไม่อยากทิ้งความฝัน


และคืนนั้น… ผมกับพ่อตีกันหนักที่สุดในชีวิต

.
.
.
.
.
.

“กูจะไปคัดทีมชาติ!” ผมตะคอกเสียงดังลั่นบ้านด้วยอารมณ์โกรธ


“ถ้าไปคัดตัว ก็ไม่ต้องกลับมาอีก!” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ใบหน้าของเขาเย็นเฉียบเหมือนคนที่หมดศรัทธาในตัวผมไปแล้ว




คืนก่อนวันคัดตัว ผมเครียดจนหายใจไม่ออก นอนร้องไห้คนเดียวอยู่ในห้อง เสียงคำด่าของพ่อยังดังวนอยู่ในหัว ความกดดันจากความคาดหวังของครอบครัวและความฝันที่ผมไม่อยากปล่อยให้หลุดมือ มันหนักจนผมล้มลง…
ผมตื่นขึ้นมาอีกทีในโรงพยาบาล สายน้ำเกลือเสียบอยู่ที่แขน ร่างกายก็อ่อนแรง แต่ใจของผม… ก็ยังอยากไปคัดตัว

ภาพแม่ที่ยืนโทรหาญาติด้วยเสียงสั่นเครือเพื่อยืมเงิน เพราะแม่ไม่ได้ทำประกันไว้ให้ผมยังคงติดอยู่ในใจผมตลอดเวลา ผมนอนนิ่งอยู่บนเตียง แต่ข้างในใจมันเหมือนจะระเบิดออกมา—ทำไมแค่ผมอยากมีความฝัน แม่ต้องมาร้องขอความช่วยเหลือขนาดนี้ด้วยวะ?

และสิ่งที่โหดร้ายที่สุด… คือในวันที่ผมอ่อนแอที่สุด พ่อไม่อยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ…


“ไหวมั้ยลูก?” แม่ถามเสียงเบา สายตาของเธอเต็มไปด้วยความกังวล


ผมพยักหน้า ทั้งที่รู้ดีว่าร่างกายแทบจะไม่ขยับ แต่สุดท้าย…ปากดื้อๆมันก็พูดออกไป

“ผมขอไปคัดตัวได้มั้ย…ถ้าผมไม่ติดทีมชาติ ผมจะทำตามที่พ่อแม่อยากให้เป็น…”

แม่ถอนหายใจออกมา มือที่ยังคงจับไหล่ของผมอย่างหลวมๆ

“งั้นก็ไปทำให้เต็มที่… ไม่ได้ยังไงก็กลับมาบ้านเรานะ”

.
.
.
.
.
.

วันรุ่งขึ้น… ผมฝืนลากสังขารตัวเองออกจากโรงพยาบาล ยัดเสื้อกีฬาใส่กระเป๋าแล้วออกไปสนามคัดตัวคนเดียว มือข้างหนึ่งยังมีรอยเข็มน้ำเกลือ แต่ผมบอกกับตัวเองว่า “กูต้องทำให้ได้”



ถึงแม้ผมจะป่วย แต่ผมไม่ยอมให้โอกาสหลุดมือ วันคัดตัว ผมฝืนร่างกายที่ยังอ่อนแรงขึ้นรถเมล์ไปสนามคนเดียว ไม่มีใครไปส่ง ไม่มีแม้แต่คำว่า “โชคดี” จากพ่อ
และสุดท้าย… ผมผ่านการคัดตัว ติดทีมชาติในที่สุด


ผมคว้าฝันมาได้ แต่ความสัมพันธ์กับพ่อกลับพังไม่เป็นท่า พ่อไม่เคยดูการแข่งขันของผม ไม่เคยถามไถ่ว่าผมเป็นยังไง มีแค่ความเงียบ… และความเย็นชาเหมือนเดิม มีแต่แม่ที่คอยโทรหาตลอด


จนกระทั่งวันหนึ่ง… วันที่ผมกลับบ้านพร้อมเงินเดือนก้อนแรกจากการเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ ผมหยิบมันใส่มือพ่อ


“นี่คือผลของสิ่งที่พ่อบอกว่ามันเลี้ยงชีวิตผมไม่ได้”


วันนั้น แม่ที่คอยดูผมอยู่ห่างๆ ส่วนพ่อก็เงียบไปนานมาก… นานจนผมเริ่มคิดว่า เขาคงจะด่าผมอีกครั้ง
แต่เปล่าเลย—สิ่งที่ผมเห็นคือ… น้ำตา


“พ่อขอโทษ…” เสียงของพ่อแผ่วเบา “พ่อแค่กลัวว่า ถ้าสักวันหนึ่งแกล้ม… พ่อจะช่วยอะไรแกไม่ได้เลย”
ผมนั่งนิ่ง ความโกรธที่สะสมมาตลอดชีวิต …หายไปหมดในวินาทีนั้น


“ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงเครียด ทำไมถึงอยากให้ผมมีอาชีพที่มั่นคง เพราะพ่อไม่อยากเห็นผมต้องลำบากเหมือนที่พ่อเคยผ่านมา”

วันนั้น… ผมตัดสินใจซื้อ ประกันออมทรัพย์ ให้พวกท่าน เพื่อที่วันหนึ่ง… ไม่ว่าผมจะอยู่หรือไม่อยู่
พ่อและแม่จะมีหลักประกันให้ชีวิตที่เหลือของเขาสบายใจได้


“เพราะชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ผมไม่อยากให้พ่อกลัวอนาคตอีกต่อไป”


วันนี้ ผมกลายเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ พิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าความฝันของผมเลี้ยงชีวิตได้จริง แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น…
ผมทำให้พ่อรู้ว่า ไม่ว่าผมจะอยู่จุดไหนในชีวิต ผมจะไม่ทิ้งคนที่รักผมที่สุด


“เราอาจวิ่งตามความฝันได้เต็มที่… แต่ก็ต้องไม่ลืมสร้างหลักประกันให้คนที่รักเราอุ่นใจ”
เพราะความมั่นคงที่แท้จริง ไม่ใช่แค่มีเงินเดือนประจำ… แต่คือการที่เราไม่ปล่อยให้คนที่เรารักต้องกังวลเรื่องอนาคต…

.
.
.
END

(ปล.เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อเป็นโปรเจ็คส่งอาจารย์เท่านั้น ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ><)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่