สวัสดีค่ะ เรามีเรื่องอยากจะมาเล่า แต่ดูทรงแล้วน่าจะออกแนวระบายความในใจมากกว่า😅
ตอนนี้เราอยู่ปี 1 ค่ะ จบเทอมนี้ก็จะขึ้นปี 2 แล้ว เรื่องมันเริ่มมาจากการจมอยู่กับความคิดของเรายามดึก พอนาน ๆ วันเข้า สุดท้ายก็ระเบิดออกมาเพราะทนไม่ไหวค่ะ
เราเริ่มมาคิดได้ค่ะว่าคณะที่เราเรียนอยู่ตอนนี้เรามีแค่ "ความสนใจ" ในการเรียน ไม่ได้มี "ความอยาก" หรือ "ความชอบ" อยู่เลย แต่เรียนเพราะพ่อแม่อยากให้จบไปแล้วได้ทำงานที่มั่นคงค่ะ ด้วยความที่เราให้ครอบครัว (พ่อแม่) มาอันดับ 1 เสมอ บวกกับเราเป็นลูกคนโตของพวกเขา เราก็อยากที่จะทำให้ความต้องการของเขาสำเร็จค่ะ
คณะที่เราเรียนอยู่ตอนนี้คือนิติค่ะ ตอนแรกพ่อแม่อยากให้เรียนหมอ แต่ว่าเรายืนกรานไปค่ะว่าเรียนไม่ไหวแน่นอน ด้วยเนื้อหาวิชาวิทย์ต่าง ๆ เลยตัดสินใจมานิติแทนเพราะคิดว่าเขาน่าจะภูมิใจค่ะ (ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ)
คำว่าสนใจสำหรับเราคือความอยากรู้อยากเห็นค่ะ การที่เราเลือกมาก็เพียงเพราะว่า 1. คิดว่าถ้าเรียนไปน่าจะพอเอาไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ เช่น การรักษาสิทธิของตัวเอง 2. เป็นอีกคณะที่เรียนแล้วพ่อแม่จะไม่บ่นไม่ว่าไม่ผิดหวัง
พอเรียน ๆ ไปแล้ว มันมีปัญหาเกิดขึ้นค่ะ คือ เกิดการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ๆ ในคณะ รู้สึกว่าตัวเองมีแพชชั่นในการเรียนไม่เท่าคนอื่นจนบางทีก็รู้สึกท้อค่ะ เหมือนตัวเองไม่เหมาะที่จะมาอยู่ตรงนี้ บวกกับที่คณะมีลูกเพื่อนของพ่อแม่เรียนอยู่ด้วยค่ะ ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองถูกเอาไปเปรียบเทียบกับเขาด้วย แต่พ่อแม่ไม่เคยกดดันเราเรื่องเรียนเลยนะคะ เราเลือกเรียนของเราเอง แต่เลือกในแนวทางที่พ่อแม่จะพอใจค่ะ (รวมถึงเรื่องค่าเทอม ค่าใช้จ่ายด้วย)
อ่านถึงตรงนี้แล้วพอจะทราบถึงปัญหาแล้วใช่ไหมคะ แต่มันมีอีกปัญหาหนึ่งค่ะ คือ ระหว่างการใช้ชีวิตไปเนี่ย เรารู้สึกว่าเราถูกบั่นทอนความมั่นใจ ความรู้สึกของเราโดยพ่อแม่ค่ะ จนตอนนี้อาการมันหนักจนเก็บไว้ไม่อยู่ค่ะ มานั่งคิดนั่งร้องไห้ช่วงตกดึก (เกือบ) ทุกวันเลย🥲
เราถูกคนรอบข้าง รวมถึงพ่อแม่มองว่าเป็นคนเก่งคนฉลาดค่ะ ตั้งแต่ประถมเวลาเรียนก็จะตั้งใจเรียนตั้งใจสอบให้ได้คะแนนดี ๆ ตลอด เพราะอยากให้พ่อแม่ภูมิใจค่ะ พอขึ้นม.ต้น เราก็แบบเดิมค่ะ พยายามตั้งใจเรียนตั้งใจสอบให้ได้คะแนนดี ๆ แต่พ่อแม่เริ่มไม่ชมเราแล้วค่ะ (จริง ๆ เรียกว่าชมน้อยลงจะดีกว่า) เขามองว่ามันเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องที่เราทำได้อยู่แล้ว ความคิดเราที่ว่า "อยากทำให้พ่อแม่ภูมิใจ ไม่ผิดหวังในตัวเรา ไม่อยากให้เขาเป็นขี้ปากคนอื่น" ก็เริ่มวิ่งเข้ามาในหัวค่ะ เราเริ่มกดดันตัวเองหนักขึ้น พอม.ปลาย ก็เข้าลูบเดิมกับม.ต้นเลยค่ะ แต่อาการหนักกว่า ระหว่างนั้นก็มีคำพูดด้านลบจากพ่อแม่มาตลอดค่ะ เพราะว่าเราทำตามคำขอบางอย่างของเขา ทำหน้าที่ของเราได้ไม่ดีพอ
ถึงตอนนี้คำพูดก็ยังวน ๆ อยู่ในหัวค่ะ รวมถึงน้ำเสียงด้วย จนเรารู้สึกใจสั่นวาบ สะดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดังเลยค่ะ เช่นคำว่า เลว

ทำไม่ถึงเป็นเด็กแบบนี้ บอกแล้วทำไม่ได้ทำให้มัวแต่ทำอะไรอยู่ เถลไถล ไร้สาระ โถ่เว้ย แค่นี้ยังทำไม่ได้ นิด ๆ หน่อย ๆ ทำไมต้องร้อง อ่อนแอ เป็นต้น บางครั้งพอเราบอกกับเขาว่าปวดหัว เขาก็จะบอกว่าเป็นอะไรหนักหนา หาเรื่องเสียตังให้อยู่ได้ ปัจจุบันเราก็เลือกที่จะไม่บอกอาการเจ็บป่วยให้เขาฟังแล้วค่ะ (เดี๋ยวโดนด่า เพราะโดนเกือบทุกรอบที่บอกเลย) หรือการบอกความต้องการของเราไป เช่น อยากให้เขารับฟังเราบ้างเข้าใจเราบ้าง เขาก็ชอบบอกว่าแล้วทำไมไม่คิดถึงความรู้สึกพ่อแม่บ้าง พ่อแม่เลี้ยงหนูไม่ดีตรงไหน อะไรแบบนี้ค่ะ เขาเลี้ยงเราดีนะคะตั้งแต่เด็กยันโต ขออะไรก็ให้ตลอด (ถึงบางครั้งจะบ่นจะด่าก่อนค่อยให้ก็เถอะ) แต่สิ่งที่ทำให้เราไม่โอเคคือ "คำพูดของคนเป็นพ่อแม่" ค่ะ
เขาเคยบอกเราว่าทำไมทีคนอื่นด่าทนได้ แล้วพ่อแม่ด่าทนไม่ได้ ตอนนั้นเราแบบว่า...เหอๆ🥹 (เราเถียงไม่ออกค่ะ) บวกกับครอบครัวเราเลี้ยงแบบสนิทกันก็จริง แต่ไม่ได้สนิทถึงขั้นเราพูดกับเขาแบบเพื่อนได้ค่ะ
คำพูดของคนเป็นพ่อแม่มีอิทธิพลกับลูกมากกว่าสิ่งใดเลยค่ะ (โดยเฉพาะคนที่ให้เขาเป็นอันดับ 1 ตลอด) คำพูดด้านบวก เช่น คำชม ส่งผลดีกับลูกแบบใด คำพูดด้านลบก็ส่งผมแบบนั้นเลยค่ะ มันจะฝังใจจนเป็นเสียงในวนอยู่ในหัวซ้ำ ๆ (เสียงที่ได้ยินอารมณ์แบบเสียงที่อัดไว้เลยค่ะ) จนบางครั้งทำให้ทำอะไรต่อไม่ได้เลย
เราพึ่งมารู้ทีหลังว่าจริง ๆ แล้วครอบครัวเรา พ่อแม่เราไม่ได้เป็นครอบครัวที่ healthy ขนาดนั้น เพราะมีสิ่งที่เรียกว่า "Word Abuse" หรือความรุนแรงทางคำพูดอยู่ค่ะ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นความรุนแรงทางร่างกาย แต่ผลของมันก็แย่ไม่แพ้กันเลยค่ะ
เราพยายามคุยกับเขาหลายรอบแล้วตั้งแต่ช่วงมัธยมที่อาการยังไม่หนักมากค่ะ แต่ก็โดนตามที่ว่าไปข้างต้นเลยค่ะ ตั้งแต่ขึ้นมหาลัยมาเราก็ไม่คิดจะบอกอะไรเขาอีกแล้วค่ะ เหมือนกับว่าพอเปิดใจไปเขาก็ว่าเรากลับมาไม่รับฟังไม่ทำความเข้าใจ เราก็พอเข้าใจอยู่ เพราะแค่เรื่องที่ทำงานเขาก็มากพอที่จะให้เขาเครียดแล้ว ไม่อยากให้เขาเครียดเรื่องเราอีก เราก็เราปิดใจ ไม่อยากแชร์เรื่องนี้กับใครแล้ว ทั้งพ่อแม่ น้อง เพื่อน หรือแฟน เราไม่อยากให้พวกเขาต้องมาเครียดมาทุกข์กับเรื่องของเราค่ะ เราเลยคิดว่าไว้เก็บเงินแล้วเอาเงินไปหาจิตแพทย์ นักจิตวิทยาเองก็ได้ เพราะตอนนี้ขับรถเองได้แล้วค่ะ☺️ แต่คงต้องใช้เวลาอีกหน่อยถึงจะเก็บเงินได้ตามเป้าที่วางไว้แต่ก็จะพยายามอดทนอีกนิดค่ะ (เราอยู่บ้านแล้วขับรถไปเรียนค่ะไม่ได้อยู่หอ คิดว่าช่วยให้ที่บ้านแบ่งเบาเรื่องค่าใช้จ่ายได้ส่วนหนึ่งค่ะ ที่บ้านมีสัตว์เลี้ยงหลายตัวด้วย บวกกว่าช่วงนี้มีตัวที่ป่วยหนักอยู่ หมดไปเยอะอยู่ค่ะ)
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ รู้สึกเหมือนได้มีคนรับฟัง💖 เป็นกำลังใจให้คนที่กำลังเจอปัญหาคล้าย ๆ กัน สามารถแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้ค่ะ บางทีความคิดทัศนคติเราอาจจะไม่ได้ดีเลิศหรือเป็นคนดีอะไรขนาดนั้น แต่ก็คิดว่าไม่ได้แย่ขนาดนั้นค่ะ
ปล. จริง ๆ เราชอบงานศิลป์ค่ะ ชอบวาดรูป แล้วก็อยากวาดการ์ตูนเป็นของตัวเอง (ช่วงนี้ก็ค่อย ๆ ปั่นไปในเวลาว่างค่ะ😆✌️) แต่เรื่องค่าใช้จ่ายในสายนี้ก็...เอาเรื่องอยู่ ทั้งค่าอุปกรณ์ค่าเสียเวลาต่าง ๆ
ให้ครอบครัวเป็นอันดับ 1 เสมอ จนเสียสุขภาพจิต
ตอนนี้เราอยู่ปี 1 ค่ะ จบเทอมนี้ก็จะขึ้นปี 2 แล้ว เรื่องมันเริ่มมาจากการจมอยู่กับความคิดของเรายามดึก พอนาน ๆ วันเข้า สุดท้ายก็ระเบิดออกมาเพราะทนไม่ไหวค่ะ
เราเริ่มมาคิดได้ค่ะว่าคณะที่เราเรียนอยู่ตอนนี้เรามีแค่ "ความสนใจ" ในการเรียน ไม่ได้มี "ความอยาก" หรือ "ความชอบ" อยู่เลย แต่เรียนเพราะพ่อแม่อยากให้จบไปแล้วได้ทำงานที่มั่นคงค่ะ ด้วยความที่เราให้ครอบครัว (พ่อแม่) มาอันดับ 1 เสมอ บวกกับเราเป็นลูกคนโตของพวกเขา เราก็อยากที่จะทำให้ความต้องการของเขาสำเร็จค่ะ
คณะที่เราเรียนอยู่ตอนนี้คือนิติค่ะ ตอนแรกพ่อแม่อยากให้เรียนหมอ แต่ว่าเรายืนกรานไปค่ะว่าเรียนไม่ไหวแน่นอน ด้วยเนื้อหาวิชาวิทย์ต่าง ๆ เลยตัดสินใจมานิติแทนเพราะคิดว่าเขาน่าจะภูมิใจค่ะ (ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ)
คำว่าสนใจสำหรับเราคือความอยากรู้อยากเห็นค่ะ การที่เราเลือกมาก็เพียงเพราะว่า 1. คิดว่าถ้าเรียนไปน่าจะพอเอาไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ เช่น การรักษาสิทธิของตัวเอง 2. เป็นอีกคณะที่เรียนแล้วพ่อแม่จะไม่บ่นไม่ว่าไม่ผิดหวัง
พอเรียน ๆ ไปแล้ว มันมีปัญหาเกิดขึ้นค่ะ คือ เกิดการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ๆ ในคณะ รู้สึกว่าตัวเองมีแพชชั่นในการเรียนไม่เท่าคนอื่นจนบางทีก็รู้สึกท้อค่ะ เหมือนตัวเองไม่เหมาะที่จะมาอยู่ตรงนี้ บวกกับที่คณะมีลูกเพื่อนของพ่อแม่เรียนอยู่ด้วยค่ะ ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองถูกเอาไปเปรียบเทียบกับเขาด้วย แต่พ่อแม่ไม่เคยกดดันเราเรื่องเรียนเลยนะคะ เราเลือกเรียนของเราเอง แต่เลือกในแนวทางที่พ่อแม่จะพอใจค่ะ (รวมถึงเรื่องค่าเทอม ค่าใช้จ่ายด้วย)
อ่านถึงตรงนี้แล้วพอจะทราบถึงปัญหาแล้วใช่ไหมคะ แต่มันมีอีกปัญหาหนึ่งค่ะ คือ ระหว่างการใช้ชีวิตไปเนี่ย เรารู้สึกว่าเราถูกบั่นทอนความมั่นใจ ความรู้สึกของเราโดยพ่อแม่ค่ะ จนตอนนี้อาการมันหนักจนเก็บไว้ไม่อยู่ค่ะ มานั่งคิดนั่งร้องไห้ช่วงตกดึก (เกือบ) ทุกวันเลย🥲
เราถูกคนรอบข้าง รวมถึงพ่อแม่มองว่าเป็นคนเก่งคนฉลาดค่ะ ตั้งแต่ประถมเวลาเรียนก็จะตั้งใจเรียนตั้งใจสอบให้ได้คะแนนดี ๆ ตลอด เพราะอยากให้พ่อแม่ภูมิใจค่ะ พอขึ้นม.ต้น เราก็แบบเดิมค่ะ พยายามตั้งใจเรียนตั้งใจสอบให้ได้คะแนนดี ๆ แต่พ่อแม่เริ่มไม่ชมเราแล้วค่ะ (จริง ๆ เรียกว่าชมน้อยลงจะดีกว่า) เขามองว่ามันเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องที่เราทำได้อยู่แล้ว ความคิดเราที่ว่า "อยากทำให้พ่อแม่ภูมิใจ ไม่ผิดหวังในตัวเรา ไม่อยากให้เขาเป็นขี้ปากคนอื่น" ก็เริ่มวิ่งเข้ามาในหัวค่ะ เราเริ่มกดดันตัวเองหนักขึ้น พอม.ปลาย ก็เข้าลูบเดิมกับม.ต้นเลยค่ะ แต่อาการหนักกว่า ระหว่างนั้นก็มีคำพูดด้านลบจากพ่อแม่มาตลอดค่ะ เพราะว่าเราทำตามคำขอบางอย่างของเขา ทำหน้าที่ของเราได้ไม่ดีพอ
ถึงตอนนี้คำพูดก็ยังวน ๆ อยู่ในหัวค่ะ รวมถึงน้ำเสียงด้วย จนเรารู้สึกใจสั่นวาบ สะดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดังเลยค่ะ เช่นคำว่า เลว
เขาเคยบอกเราว่าทำไมทีคนอื่นด่าทนได้ แล้วพ่อแม่ด่าทนไม่ได้ ตอนนั้นเราแบบว่า...เหอๆ🥹 (เราเถียงไม่ออกค่ะ) บวกกับครอบครัวเราเลี้ยงแบบสนิทกันก็จริง แต่ไม่ได้สนิทถึงขั้นเราพูดกับเขาแบบเพื่อนได้ค่ะ
คำพูดของคนเป็นพ่อแม่มีอิทธิพลกับลูกมากกว่าสิ่งใดเลยค่ะ (โดยเฉพาะคนที่ให้เขาเป็นอันดับ 1 ตลอด) คำพูดด้านบวก เช่น คำชม ส่งผลดีกับลูกแบบใด คำพูดด้านลบก็ส่งผมแบบนั้นเลยค่ะ มันจะฝังใจจนเป็นเสียงในวนอยู่ในหัวซ้ำ ๆ (เสียงที่ได้ยินอารมณ์แบบเสียงที่อัดไว้เลยค่ะ) จนบางครั้งทำให้ทำอะไรต่อไม่ได้เลย
เราพึ่งมารู้ทีหลังว่าจริง ๆ แล้วครอบครัวเรา พ่อแม่เราไม่ได้เป็นครอบครัวที่ healthy ขนาดนั้น เพราะมีสิ่งที่เรียกว่า "Word Abuse" หรือความรุนแรงทางคำพูดอยู่ค่ะ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นความรุนแรงทางร่างกาย แต่ผลของมันก็แย่ไม่แพ้กันเลยค่ะ
เราพยายามคุยกับเขาหลายรอบแล้วตั้งแต่ช่วงมัธยมที่อาการยังไม่หนักมากค่ะ แต่ก็โดนตามที่ว่าไปข้างต้นเลยค่ะ ตั้งแต่ขึ้นมหาลัยมาเราก็ไม่คิดจะบอกอะไรเขาอีกแล้วค่ะ เหมือนกับว่าพอเปิดใจไปเขาก็ว่าเรากลับมาไม่รับฟังไม่ทำความเข้าใจ เราก็พอเข้าใจอยู่ เพราะแค่เรื่องที่ทำงานเขาก็มากพอที่จะให้เขาเครียดแล้ว ไม่อยากให้เขาเครียดเรื่องเราอีก เราก็เราปิดใจ ไม่อยากแชร์เรื่องนี้กับใครแล้ว ทั้งพ่อแม่ น้อง เพื่อน หรือแฟน เราไม่อยากให้พวกเขาต้องมาเครียดมาทุกข์กับเรื่องของเราค่ะ เราเลยคิดว่าไว้เก็บเงินแล้วเอาเงินไปหาจิตแพทย์ นักจิตวิทยาเองก็ได้ เพราะตอนนี้ขับรถเองได้แล้วค่ะ☺️ แต่คงต้องใช้เวลาอีกหน่อยถึงจะเก็บเงินได้ตามเป้าที่วางไว้แต่ก็จะพยายามอดทนอีกนิดค่ะ (เราอยู่บ้านแล้วขับรถไปเรียนค่ะไม่ได้อยู่หอ คิดว่าช่วยให้ที่บ้านแบ่งเบาเรื่องค่าใช้จ่ายได้ส่วนหนึ่งค่ะ ที่บ้านมีสัตว์เลี้ยงหลายตัวด้วย บวกกว่าช่วงนี้มีตัวที่ป่วยหนักอยู่ หมดไปเยอะอยู่ค่ะ)
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ รู้สึกเหมือนได้มีคนรับฟัง💖 เป็นกำลังใจให้คนที่กำลังเจอปัญหาคล้าย ๆ กัน สามารถแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้ค่ะ บางทีความคิดทัศนคติเราอาจจะไม่ได้ดีเลิศหรือเป็นคนดีอะไรขนาดนั้น แต่ก็คิดว่าไม่ได้แย่ขนาดนั้นค่ะ
ปล. จริง ๆ เราชอบงานศิลป์ค่ะ ชอบวาดรูป แล้วก็อยากวาดการ์ตูนเป็นของตัวเอง (ช่วงนี้ก็ค่อย ๆ ปั่นไปในเวลาว่างค่ะ😆✌️) แต่เรื่องค่าใช้จ่ายในสายนี้ก็...เอาเรื่องอยู่ ทั้งค่าอุปกรณ์ค่าเสียเวลาต่าง ๆ