วันนี้ (10มี.ค.68) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตอบกระทู้ถามในที่ประชุมวุฒิสภา
เรื่องผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำและแนวทางลดค่าครองชีพของประชาชน
โดยตอนหนึ่งกล่าวถึงการทำงานของสำนักงานประกันสังคม ว่า
.
สำนักงานประกันสังคม มีแนวทางจะขยายการเกษียณอายุของคนทำงานจาก 55 เป็น 60 ปี และ การจ่ายเงินบำนาญชราภาพ
สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 จะปรับให้ได้เงินมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ประกันสังคมอยู่ระหว่างปรับสูตรการคำนวณ และอยู่ระหว่าง
การทำประชาพิจารย์ เรื่องการขยายอายุเกษียณของคนทำงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในมีนาคมนี้ และจะประกาศใช้ให้อายุเกษียณ 60 ปีภายในปีนี้
.
ขณะเดียวกัน สำนักงานประกันสังคม ต้องพิจารณาแนวทางดูแล ผู้เกษียณ ซึ่งเป็นผู้สูงอายุที่แนวโน้มมีจำนวนมากขึ้นทุกปี
ในขณะที่สถานประกอบการคงที่ จึงคาดการณ์ว่าปี 2597 กองทุนประกันสังคมจะถึงกัลปาวสาน นั่นคือล้มละลาย
.
ฉะนั้น จึงต้องพยายามนำเงินกองทุนฯ ในปัจจุบัน ทำให้เกิดการเติบโตอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งประมาณการณ์ว่าต้องใช้เงิน 5-6 ล้านล้านบาท
ในการลงทุน และ ดู ดอกผลจากการลงทุน ซึ่งเดิมวางสัดส่วนจัดการลงทุน แบบไม่มีความเสี่ยง 60% และ ความเสี่ยงต่ำ 40%
ก่อนปรับเป็นเสี่ยงต่ำ 70% ได้รับดอกเบี้ยปันผล 2.11%
.
แต่เมื่อตนเองเข้ามารับตำแหน่ง จึงขอให้มีการปรับผลประโยชน์ต้องไม่ต่ำกว่า 5% ไม่เช่นนั้นจะไม่มี โอกาสยืดชีวิตของกองทุนฯ
โดยในปี 2567 สามารถขยับดอกผลของกองทุนได้ถึง 5% แล้ว และ ในระยะเวลาอีก 2 ปี ของรัฐบาล หากไม่มีการยุบสภาฯ
ก่อน จะพยายามขยับดอกผลให้ได้ 6% หลังจากนั้น จะสามารถพิจารณาขยายสิทธิประโยชน์เพิ่ม ให้กับผู้ประกันตนได้
.
ประกันสังคม” จ่อปรับอายุเกษียณเป็น 60 ปี เริ่มใช้ปี 2568 นี้
.
สำนักงานประกันสังคม มีแนวทางจะขยายการเกษียณอายุของคนทำงานจาก 55 เป็น 60 ปี และ การจ่ายเงินบำนาญชราภาพ
.
ขณะเดียวกัน สำนักงานประกันสังคม ต้องพิจารณาแนวทางดูแล ผู้เกษียณ ซึ่งเป็นผู้สูงอายุที่แนวโน้มมีจำนวนมากขึ้นทุกปี
.
ฉะนั้น จึงต้องพยายามนำเงินกองทุนฯ ในปัจจุบัน ทำให้เกิดการเติบโตอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งประมาณการณ์ว่าต้องใช้เงิน 5-6 ล้านล้านบาท
.
แต่เมื่อตนเองเข้ามารับตำแหน่ง จึงขอให้มีการปรับผลประโยชน์ต้องไม่ต่ำกว่า 5% ไม่เช่นนั้นจะไม่มี โอกาสยืดชีวิตของกองทุนฯ