กระทรวงพาณิชย์ เปิดตัวเลขอัตราเงินเฟ้อทั่วไป เดือนกุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ เพิ่มขึ้น 1.08 % กลุ่มอาหาร น้ำมันดีเซล ค่าไฟฟ้า ราคาสูง ด้านคาดไตรมาสแรก เงินเฟ้อสูงเกิน 1% คาดทั้งปี 0.8%
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เท่ากับ 100.55 เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งเท่ากับ 99.48 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น 1.08%
โดยปัจจัยหลักมาจากการสูงขึ้นของราคาสินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะผลไม้สด เครื่องประกอบอาหาร เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารสำเร็จรูป ประกอบกับมีการสูงขึ้นของราคาน้ำมันดีเซล ค่ากระแสไฟฟ้า และค่าโดยสารเครื่องบิน สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก
ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ข้อมูลล่าสุดเดือนมกราคม 2568 พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยสูงขึ้น 1.23% ซึ่งยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ
โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 23 จาก 128 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และต่ำเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียนจาก 8 ประเทศที่ประกาศตัวเลข ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม สปป.ลาว
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่สูงขึ้น 1.08% ในเดือนนี้ มีการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าและบริการ ดังนี้
หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 2.03% จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ กลุ่มผลไม้สด กลุ่มอาหารสำเร็จรูป
กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ กลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ กลุ่มเครื่องประกอบอาหาร กลุ่มข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำตาล และกลุ่มไข่และผลิตภัณฑ์นม
อย่างไรก็ตาม มีสินค้าหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ ผักสดบางชนิด ผลไม้บางชนิด ไก่ย่าง/ไก่ทอด และซีอิ๊ว เป็นต้น
หมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 0.40% จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน ค่ากระแสไฟฟ้า ค่าเช่าบ้าน และค่าโดยสารเครื่องบิน (ต่างประเทศ)
ส่วนสินค้าสำคัญหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ แก๊สโซฮอล์ ของใช้ส่วนบุคคล เช่น แชมพู สบู่ถูตัว ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว น้ำยาระงับกลิ่นกาย แป้งผัดหน้า สิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาด เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาถูพื้น น้ำยาล้างห้องน้ำ และเสื้อผ้า เป็นต้น
หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 0.08% ปรับลดลงตามราคาสินค้าสำคัญ กลุ่มอาหารสด โดยเฉพาะผักสด เนื่องจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยส่งผลให้ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ประกอบกับข้าวสารเจ้า ไข่ไก่ และอาหารโทรสั่ง (Delivery) มีการปรับลดลงเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มีสินค้าอีกหลายรายการที่ราคาปรับสูงขึ้น อาทิ เนื้อสุกร น้ำมันพืช ส้มเขียวหวาน กับข้าวสำเร็จรูป และกาแฟผงสำเร็จรูป
หมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 0.01% ตามการสูงขึ้นของค่าโดยสารรถสาธารณะ โดยเฉพาะค่าโดยสารรถประจำทาง และค่าโดยสารรถไฟลอยฟ้าและใต้ดิน สำหรับสินค้าที่ราคาปรับลดลง อาทิ แก๊สโซฮอล์ และน้ำมันเบนซิน ตามสถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลกที่ลดลง รวมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิด จากการส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการ
สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนมีนาคม 2568 คาดว่าจะอยู่ระดับใกล้เคียงกับเดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยมีปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้น ประกอบด้วย
ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศที่กำหนดเพดาน.ไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร โดยสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 29.92 บาทต่อลิตร
การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าโดยสารเครื่องบิน และ
วัตถุดิบต้นน้ำของสินค้าเกษตรบางชนิดราคายังอยู่ระดับสูง โดยเฉพาะพืชสวน เช่น กาแฟ ปาล์มน้ำมัน และมะพร้าว ส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ขั้นกลางหรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปปรับตัวสูงขึ้น เช่น กาแฟ น้ำมันพืช และกะทิ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง ประกอบด้วย
การลดลงของราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกซึ่งต่ำกว่าปีก่อนหน้า และคาดว่าจะส่งผลให้ราคาแก๊สโซฮอล์ภายในประเทศปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกัน
ภาครัฐมีแนวโน้มดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง
ฐานราคาผักสดในปีก่อนหน้าอยู่ในระดับสูง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ขณะที่ในปี 2568 สภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ระบบมากขึ้น
การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปช่วงไตรมาสแรก (มกราคม - มีนาคม) คาดการณ์ว่าจะสูงกว่า 1% ขณะที่ภาพรวม ปี 2568 ยังคงคาดการณ์ ว่าจะอยู่ระหว่างร้อยละ 0.3 - 1.3 (ค่ากลางร้อยละ 0.8) ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันโดยมีปัจจัยที่สนับสนุนให้ทั่วไปปรับสูงขึ้น
Cr.
https://www.thansettakij.com/economy/trade-agriculture/621423
'ระยอง' นำ 'กทม.' รายได้ต่อหัวสูงสุดในประเทศ! เหนือ อีสาน ใต้ ไม่ติด TOP 10
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเปิด 10 อันดับจังหวัดที่มีรายได้สูงสุด-ต่ำสุดในประเทศ 'ระยอง' นำ 'กทม.' เกือบเท่าตัว ส่วนจังหวัดในโซนเหนือ-อีสาน-ใต้ ไม่ติดอันดับรายได้สูงสุดแม้แต่จังหวัดเดียว
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ ประจำปี 2567 ซึ่งเป็นปีที่ 2 ของการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติในห้วงที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570)
ฐานเศรษฐกิจ รายงานข่าวเปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมการดำเนินงานของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในปี 2567 ส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น สะท้อนจากอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 25 ด้วยคะแนน 72.5 คะแนน จากทั้งหมด 67 ประเทศ ดีขึ้น จากปีก่อนหน้าที่มีอันดับที่ 30 ด้วยคะแนน 74.54 คะแนน เป็นผลจากการพัฒนาด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจและประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ
สวนทางกับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ลดลง พิจารณาจากอัตราการขยายตัวผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่มีการขยายตัวเพียง 2% ชะลอลงจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 2.6% เนื่องจากการลดลงของการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ และการกระจายรายได้ที่มีสถานการณ์ปรับตัวแย่ลง พิจารณาจากความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ภาคต่อหัว (GRP per Capita) ระหว่างภาคที่มีมูลค่าสูงสุดกับต่ำสุด โดยมีความแตกต่างอยู่ที่ 5.4 เท่า ซึ่งปรับตัวแย่ลงจากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 5.1 เท่า
เมื่อพิจารณาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการกระจายรายได้ โดยพิจารณาจากผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัวของประชากร ในรายงานผลิตภัณฑ์ภาคและจังหวัดแบบปริมาณลูกโซ่จัดทำโดยสศช. สถานการณ์ พ.ศ. 2567 (ข้อมูล พ.ศ. 2565) พบข้อมูลดังนี้
ความแตกต่างระหว่างจังหวัดที่มีมูลค่าสูงสุดและต่ำสุด
จังหวัดที่มีมูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรก ส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และภาคกลาง ซึ่งเป็นจังหวัดที่สัดส่วนการผลิตสำคัญมาจากสาขาภาคนอกเกษตรเป็นหลัก โดยเฉพาะสาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม สาขาการขายส่งและการขายปลีกฯ โดยจังหวัดระยองมีผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัวสูงสุดที่ (ณ ราคาประจำปี) 1,003,497 บาท/ปี
ขณะที่จังหวัดที่มีมูลค่าต่ำสุด 10 อันดับส่วนใหญ่ เป็นจังหวัดที่มีการผลิตหลักในภาคเกษตร ซึ่งมีความไม่แน่นอนทั้งด้านปริมาณและราคาผลผลิต ประกอบกับ การผลิตภาคนอกเกษตรต่าง ๆ โดยเฉพาะการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมยังกระจายตัวมายังพื้นที่เหล่านี้ไม่มากนัก ส่งผลให้ขนาดเศรษฐกิจโดยรวมมีระดับต่ำ โดยจังหวัดนราธิวาสมีผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัวต่ำสุดที่ (ณ ราคาประจำปี) 60,876 บาท/ปี
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัวระหว่างจังหวัดที่มีมูลค่าสูงสุดกับต่ำสุด พบว่า มีความแตกต่างกันถึง 16.5 เท่า เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า (ข้อมูล พ.ศ. 2564) ที่แตกต่างกันเพียง 14.5 เท่า สะท้อนให้เห็น สถานการณ์การพัฒนาแย่ลง 13.79%
สำหรับจังหวัดที่มีผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัวของประชากร (GRP per capita) มูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรก ประกอบด้วย
ระยอง 1,003,497 บาทต่อปี
กรุงเทพมหานคร 634,109 บาทต่อปี
ชลบุรี 598,448 บาทต่อปี
ฉะเชิงเทรา 494,545 บาทต่อปี
พระนครศรีอยุรยา 456,286 บาทต่อปี
ปราจีนบุรี 445,123 บาทต่อปี
สมุทรสาคร 405,187 บาทต่อปี
สระบุรี 342,370 บาทต่อปี
สมุทรปราการ 311,251 บาทต่อปี
นครปฐม 295,404 บาทต่อปี
ส่วนจังหวัดที่มีผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัวของประชากร (GRP per capita) มูลค่าต่ำสุด 10 อันดับแรก ประกอบด้วย
นราธิวาส 60,876 บาทต่อปี
แม่ฮ่องสอน 64,665 บาทต่อปี
หนองบัวลำภู 67,363 บาทต่อปี
มุกดาหาร 67,885 บาทต่อปี
ยโสธร 72,523 บาทต่อปี
สกลนคร 77,408 บาทต่อปี
สระแก้ว 78,482 บาทต่อปี
ชัยภูมิ 79,864 บาทต่อปี
ร้อยเอ็ด 80,249 บาทต่อปี
อุบลราชธานี 81,555 บาทต่อปี
Cr.
https://www.posttoday.com/smart-city/720599
ค่าน้ำมันดีเซล- ไฟฟ้า ดันเงินเฟ้อทั่วไป ก.พ.68 สูง 1.08% และ 'ระยอง'นำ'กทม.' รายได้ต่อหัวสูงสุดในประเทศ
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป ของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เท่ากับ 100.55 เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งเท่ากับ 99.48 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น 1.08%
โดยปัจจัยหลักมาจากการสูงขึ้นของราคาสินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะผลไม้สด เครื่องประกอบอาหาร เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหารสำเร็จรูป ประกอบกับมีการสูงขึ้นของราคาน้ำมันดีเซล ค่ากระแสไฟฟ้า และค่าโดยสารเครื่องบิน สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก
ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ข้อมูลล่าสุดเดือนมกราคม 2568 พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยสูงขึ้น 1.23% ซึ่งยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ
โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 23 จาก 128 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และต่ำเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียนจาก 8 ประเทศที่ประกาศตัวเลข ได้แก่ บรูไน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม สปป.ลาว
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่สูงขึ้น 1.08% ในเดือนนี้ มีการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าและบริการ ดังนี้
หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 2.03% จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ กลุ่มผลไม้สด กลุ่มอาหารสำเร็จรูป
กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ กลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ กลุ่มเครื่องประกอบอาหาร กลุ่มข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำตาล และกลุ่มไข่และผลิตภัณฑ์นม
อย่างไรก็ตาม มีสินค้าหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ ผักสดบางชนิด ผลไม้บางชนิด ไก่ย่าง/ไก่ทอด และซีอิ๊ว เป็นต้น
หมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 0.40% จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน ค่ากระแสไฟฟ้า ค่าเช่าบ้าน และค่าโดยสารเครื่องบิน (ต่างประเทศ)
ส่วนสินค้าสำคัญหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ แก๊สโซฮอล์ ของใช้ส่วนบุคคล เช่น แชมพู สบู่ถูตัว ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว น้ำยาระงับกลิ่นกาย แป้งผัดหน้า สิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาด เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาถูพื้น น้ำยาล้างห้องน้ำ และเสื้อผ้า เป็นต้น
หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 0.08% ปรับลดลงตามราคาสินค้าสำคัญ กลุ่มอาหารสด โดยเฉพาะผักสด เนื่องจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยส่งผลให้ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ประกอบกับข้าวสารเจ้า ไข่ไก่ และอาหารโทรสั่ง (Delivery) มีการปรับลดลงเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มีสินค้าอีกหลายรายการที่ราคาปรับสูงขึ้น อาทิ เนื้อสุกร น้ำมันพืช ส้มเขียวหวาน กับข้าวสำเร็จรูป และกาแฟผงสำเร็จรูป
หมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 0.01% ตามการสูงขึ้นของค่าโดยสารรถสาธารณะ โดยเฉพาะค่าโดยสารรถประจำทาง และค่าโดยสารรถไฟลอยฟ้าและใต้ดิน สำหรับสินค้าที่ราคาปรับลดลง อาทิ แก๊สโซฮอล์ และน้ำมันเบนซิน ตามสถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลกที่ลดลง รวมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิด จากการส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการ
สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนมีนาคม 2568 คาดว่าจะอยู่ระดับใกล้เคียงกับเดือนกุมภาพันธ์ 2568 โดยมีปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้น ประกอบด้วย
ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศที่กำหนดเพดาน.ไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร โดยสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 29.92 บาทต่อลิตร
การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าโดยสารเครื่องบิน และ
วัตถุดิบต้นน้ำของสินค้าเกษตรบางชนิดราคายังอยู่ระดับสูง โดยเฉพาะพืชสวน เช่น กาแฟ ปาล์มน้ำมัน และมะพร้าว ส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ขั้นกลางหรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปปรับตัวสูงขึ้น เช่น กาแฟ น้ำมันพืช และกะทิ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง ประกอบด้วย
การลดลงของราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกซึ่งต่ำกว่าปีก่อนหน้า และคาดว่าจะส่งผลให้ราคาแก๊สโซฮอล์ภายในประเทศปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกัน
ภาครัฐมีแนวโน้มดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง
ฐานราคาผักสดในปีก่อนหน้าอยู่ในระดับสูง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ขณะที่ในปี 2568 สภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ระบบมากขึ้น
การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปช่วงไตรมาสแรก (มกราคม - มีนาคม) คาดการณ์ว่าจะสูงกว่า 1% ขณะที่ภาพรวม ปี 2568 ยังคงคาดการณ์ ว่าจะอยู่ระหว่างร้อยละ 0.3 - 1.3 (ค่ากลางร้อยละ 0.8) ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันโดยมีปัจจัยที่สนับสนุนให้ทั่วไปปรับสูงขึ้น
Cr. https://www.thansettakij.com/economy/trade-agriculture/621423
'ระยอง' นำ 'กทม.' รายได้ต่อหัวสูงสุดในประเทศ! เหนือ อีสาน ใต้ ไม่ติด TOP 10
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเปิด 10 อันดับจังหวัดที่มีรายได้สูงสุด-ต่ำสุดในประเทศ 'ระยอง' นำ 'กทม.' เกือบเท่าตัว ส่วนจังหวัดในโซนเหนือ-อีสาน-ใต้ ไม่ติดอันดับรายได้สูงสุดแม้แต่จังหวัดเดียว
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานสรุปผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ ประจำปี 2567 ซึ่งเป็นปีที่ 2 ของการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติในห้วงที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570)
ฐานเศรษฐกิจ รายงานข่าวเปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมการดำเนินงานของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในปี 2567 ส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น สะท้อนจากอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 25 ด้วยคะแนน 72.5 คะแนน จากทั้งหมด 67 ประเทศ ดีขึ้น จากปีก่อนหน้าที่มีอันดับที่ 30 ด้วยคะแนน 74.54 คะแนน เป็นผลจากการพัฒนาด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจและประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ
สวนทางกับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ลดลง พิจารณาจากอัตราการขยายตัวผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่มีการขยายตัวเพียง 2% ชะลอลงจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 2.6% เนื่องจากการลดลงของการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ และการกระจายรายได้ที่มีสถานการณ์ปรับตัวแย่ลง พิจารณาจากความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ภาคต่อหัว (GRP per Capita) ระหว่างภาคที่มีมูลค่าสูงสุดกับต่ำสุด โดยมีความแตกต่างอยู่ที่ 5.4 เท่า ซึ่งปรับตัวแย่ลงจากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 5.1 เท่า
เมื่อพิจารณาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการกระจายรายได้ โดยพิจารณาจากผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัวของประชากร ในรายงานผลิตภัณฑ์ภาคและจังหวัดแบบปริมาณลูกโซ่จัดทำโดยสศช. สถานการณ์ พ.ศ. 2567 (ข้อมูล พ.ศ. 2565) พบข้อมูลดังนี้
ความแตกต่างระหว่างจังหวัดที่มีมูลค่าสูงสุดและต่ำสุด
จังหวัดที่มีมูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรก ส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และภาคกลาง ซึ่งเป็นจังหวัดที่สัดส่วนการผลิตสำคัญมาจากสาขาภาคนอกเกษตรเป็นหลัก โดยเฉพาะสาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม สาขาการขายส่งและการขายปลีกฯ โดยจังหวัดระยองมีผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัวสูงสุดที่ (ณ ราคาประจำปี) 1,003,497 บาท/ปี
ขณะที่จังหวัดที่มีมูลค่าต่ำสุด 10 อันดับส่วนใหญ่ เป็นจังหวัดที่มีการผลิตหลักในภาคเกษตร ซึ่งมีความไม่แน่นอนทั้งด้านปริมาณและราคาผลผลิต ประกอบกับ การผลิตภาคนอกเกษตรต่าง ๆ โดยเฉพาะการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมยังกระจายตัวมายังพื้นที่เหล่านี้ไม่มากนัก ส่งผลให้ขนาดเศรษฐกิจโดยรวมมีระดับต่ำ โดยจังหวัดนราธิวาสมีผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัวต่ำสุดที่ (ณ ราคาประจำปี) 60,876 บาท/ปี
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัวระหว่างจังหวัดที่มีมูลค่าสูงสุดกับต่ำสุด พบว่า มีความแตกต่างกันถึง 16.5 เท่า เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า (ข้อมูล พ.ศ. 2564) ที่แตกต่างกันเพียง 14.5 เท่า สะท้อนให้เห็น สถานการณ์การพัฒนาแย่ลง 13.79%
สำหรับจังหวัดที่มีผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัวของประชากร (GRP per capita) มูลค่าสูงสุด 10 อันดับแรก ประกอบด้วย
ระยอง 1,003,497 บาทต่อปี
กรุงเทพมหานคร 634,109 บาทต่อปี
ชลบุรี 598,448 บาทต่อปี
ฉะเชิงเทรา 494,545 บาทต่อปี
พระนครศรีอยุรยา 456,286 บาทต่อปี
ปราจีนบุรี 445,123 บาทต่อปี
สมุทรสาคร 405,187 บาทต่อปี
สระบุรี 342,370 บาทต่อปี
สมุทรปราการ 311,251 บาทต่อปี
นครปฐม 295,404 บาทต่อปี
ส่วนจังหวัดที่มีผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัวของประชากร (GRP per capita) มูลค่าต่ำสุด 10 อันดับแรก ประกอบด้วย
นราธิวาส 60,876 บาทต่อปี
แม่ฮ่องสอน 64,665 บาทต่อปี
หนองบัวลำภู 67,363 บาทต่อปี
มุกดาหาร 67,885 บาทต่อปี
ยโสธร 72,523 บาทต่อปี
สกลนคร 77,408 บาทต่อปี
สระแก้ว 78,482 บาทต่อปี
ชัยภูมิ 79,864 บาทต่อปี
ร้อยเอ็ด 80,249 บาทต่อปี
อุบลราชธานี 81,555 บาทต่อปี
Cr. https://www.posttoday.com/smart-city/720599