JJNY : สหรัฐฯ ยันเคยติดต่อรับอุยกูร์│อังคณาดักคอ‘ทวี’พูดไว้เยอะ│แฉอัปยศบิ๊กทหารโทรเคลียร์│ยูเอ็นอนุมัติงบ 3,700 ล้านบาท

สหรัฐฯ ยันเคยติดต่อรับอุยกูร์ จากไทยหลายครั้ง สุดท้ายเลือกส่งกลับจีน 
https://www.matichon.co.th/foreign/news_5080547

สหรัฐฯ ยันเคยติดต่อรับอุยกูร์ จากไทยหลายครั้ง สุดท้ายเลือกส่งกลับจีน
 
วันที่ 7 มีนาคม เว็บไซต์ voa thai รายงานว่า กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ รับ เคยเสนอรับอุยกูร์จากไทยจริง
 
โดยมีรายละเอียดว่า 
 
กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ยอมรับกับวีโอเอว่า ได้ติดต่อประสานงานกับไทยหลายครั้งเพื่อเลี่ยงการส่งชาวอุยกูร์กลับไปจีน ซึ่งรวมถึงการเสนอรับตัวไปยังสหรัฐฯ
 
ทีมโฆษกกระทรวงต่างประเทศให้ข้อมูลในวันพุธ หลังรัฐบาลไทยส่งชาวอุยกูร์ 40 ชีวิตกลับไปยังจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และในเวลาต่อมาสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า มีอย่างน้อยสามประเทศที่เสนอขอรับตัวไป แต่ทางการไทยยังตัดสินใจทำตามคำร้องขอส่งตัวของรัฐบาลปักกิ่งเนื่องจากกังวลต่อผลกระทบที่อาจจะตามมา
 
ทีมโฆษก กต. ระบุว่า “เราร่วมงานกับไทยมาหลายปีเพื่อเลี่ยงสถานการณ์นี้ รวมถึงการเสนออย่างสม่ำเสมอ และซ้ำไปซ้ำมาเรื่องการให้ชาวอุยกูร์ไปตั้งรกรากในประเทศอื่น ซึ่ง ณ จุดหนึ่งรวมถึงสหรัฐฯ”
 
กระทรวงต่างประเทศยังได้เน้นย้ำการประณามอย่างรุนแรงที่สุดจากสหรัฐฯ กรณีการส่งตัวที่เกิดขึ้น และเรียกร้องให้ทางการจีนเปิดข้อมูลให้ตรวจสอบสวัสดิภาพของชาวอุยกูร์ชุดล่าสุด ที่ส่งตัวกลับไปยังเขตปกครองตนเองซินเจียง เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยกลุ่มที่ไทยส่งกลับไปเมื่อปี 2558 ซึ่งปัจจุบันไม่สามารถสืบทราบชะตากรรมได้
 
เมื่อเช้ามืด 27 กุมภาพันธ์ ตามเวลาท้องถิ่น รถผู้ต้องขังที่ปิดหน้าต่างทึบ นำคนกลุ่มหนึ่งออกจากสถานกักตัวคนต่างด้าว ซอยสวนพลู กรุงเทพฯ ซึ่งในวันเดียวกัน สถานทูตจีนประจำประเทศไทยได้ยืนยันว่า เป็นกลุ่มชาวอุยกูร์ที่ส่งตัวกลับไปยังเขตปกครองตนเองซินเจียง
 
ค่ำวันเดียวกัน ตัวแทนรัฐบาลไทยแถลงข่าวอธิบายว่า ได้ส่งคนกลุ่มดังกล่าวกลับตามคำร้องขออย่างเป็นทางการของจีน โดยผู้ถูกส่งกลับมีความสมัครใจ รัฐบาลกรุงปักกิ่งยืนยันที่จะดูแลคนกลุ่มดังกล่าว และจากนี้ไทยจะติดตามตรวจสอบสวัสดิภาพของผู้ถูกส่งกลับต่อไป
 
ในรายงานของรอยเตอร์ระบุว่า ช่วงสิบปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ แคนาดาและออสเตรเลียเคยเสนอตัวรับชาวอุยกูร์ทั้งหมด 48 คน ที่ถูกกักตัวในไทย อ้างอิงตามแหล่งข่าวที่ให้ข้อมูลโดยไม่เปิดเผยชื่อ เนื่องจากเป็นประเด็นที่อ่อนไหว
 
ข้อความของทีมโฆษกที่วีโอเอได้รับมีใจความเดียวกันกับที่ปรากฏในรายงานของรอยเตอร์
 
กต.แจง ส่งกลับคือ ‘ทางเลือกที่ดีที่สุด’
 
นายรัศมิ์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ เข้าชี้แจงกับคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎรในวันพฤหัสบดี ระบุว่า ที่ไทยตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์ให้จีนแม้มีบางประเทศพร้อมรับตัวไป เนื่องจากเห็นว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะแม้หากประเทศที่สามยินดีจะรับ ก็ควรต้องไปหารือเจรจากับจีนให้ประสานตัวส่งไปประเทศที่สามด้วย
ผู้ช่วย รมต.กระทรวงต่างประเทศ กล่าวด้วยว่า ทางการจีนพร้อมให้ติดตามสวัสดิภาพกลุ่มคนดังกล่าว และกระทรวงต่างประเทศจะรับไปหารือเรื่องการเชิญผู้แทนจากสำนักจุฬาราชมนตรี ไปติดตามชาวอุยกูร์ภายหลังการส่งตัวด้วย
 
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นถือเป็นการเปลี่ยนท่าทีของรัฐบาลไทยในแง่ข้อมูล เนื่องจากเดิมทีนายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุในการแถลงข่าวหลังการส่งตัวว่า การแจ้งความจำนงจากประเทศที่สามครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อราวสิบปีก่อน
 
เบนาร์นิวส์ สื่อภายใต้ United States Agency for Global Media (USAGM) เช่นเดียวกับวีโอเอ รายงานเรื่องข้อเสนอรับตัวชาวอุยกูร์ไปประเทศที่สามเช่นกัน
 
นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เปิดเผยเอกสารบันทึกประชุมเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ของ กมธ. การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ที่ตัวแทนกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า “UNHCR หรือ OHCHR ขอให้ไทยไม่ส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปจีนและบางประเทศก็แสดงความพร้อมรับชาวอุยกูร์ไปตั้งถิ่นฐาน เช่น สหรัฐฯ สวีเดน ออสเตรเลีย”
 
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ ยืนยันว่าชาวอุยกูร์ทุกคนสมัครใจที่จะกลับจีน และรัฐบาลปักกิ่งให้คำมั่นสัญญาว่าทุกคนที่กลับไปจะปลอดภัย “ไม่มีประเทศที่สามมาเสนอในการขอรับตัวอุยกูร์เลย ประเทศไทยก็ต้องส่งกลับคนจีนไปประเทศจีน”
 
นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย กล่าวกับเบนาร์นิวส์ว่า มีหลายประเทศที่เสนอรับชาวอุยกูร์จากไทย แม้ไม่ใช่การรับตัวเป็นชุดใหญ่คราวเดียว แต่ไทยไม่ได้สานต่อข้อเสนอไปจนถึงระดับที่ทำเป็นเอกสารอย่างเป็นทางการ
 
ไทยเข้ามาพัวพันในประเด็นนี้สืบเนื่องจากมีชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยจากจีน และถูกจับกุมที่ไทยในข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมายเมื่อช่วงปี 2557

กลางปี 2558 รัฐบาลทหารของไทยส่งชาวอุยกูร์มากกว่า 170 คน ซึ่งส่วนมากเป็นเด็กและผู้หญิงไปยังตุรกี ทว่า หลายสัปดาห์หลังจากนั้นก็ส่งตัวชายชาวอุยกูร์ 109 คน กลับจีนในลักษณะที่คล้ายกับอาชญากร
 
การส่งตัวรอบล่าสุดในปี 2568 ตามมาด้วยเสียงวิจารณ์จากหลายชาติตะวันตก สหรัฐฯ ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ รวมถึงองค์กรสิทธิมนุษยชน ที่กังวลว่าคนกลุ่มนี้จะตกอยู่ในความเสี่ยงต่อชีวิตหรือสวัสดิภาพในจีน ซึ่งที่ผ่านมามีรายงานการซ้อมทรมานและใช้แรงงานบังคับในค่ายอบรมที่ซินเจียง และทางการจีนปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวมาโดยตลอด
 
ในกรณีผู้ลี้ภัยอุยกูร์ชุดล่าสุด หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ตอบสื่อมวลชนในการแถลงข่าวประจำวันว่า การส่งตัวกลับครั้งนี้กระทำบนพื้นฐานกฎหมายไทยและจีน รวมถึงกฎหมายและระเบียบปฏิบัติระหว่างประเทศ ตามการรายงานของเอพี
 
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวด้วยว่า “สิทธิและผลประโยชน์โดยชอบตามกฎหมายของบุคคลที่เกี่ยวข้องได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่”

https://www.voathai.com/a/usa-state-department-has-offered-thailand-uyghur-resettlement/8001707.html
 


อังคณา ไม่แปลกใจ มติรับคดีฮั้วส.ว.เป็นฟอกเงิน ดักคอ ‘ทวี’ พูดไว้เยอะ ถ้าทำไม่ได้น่าเสียใจ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5080718

‘อังคณา’ ไม่แปลกใจ กคพ.รับคดีฮั้ว เลือก ส.ว.เป็นฟอกเงิน ลั่นถ้าทำมาขนาดนี้ขอทำต่อให้จริง ไม่เชื่อ ‘เนวิน-อนุทิน’ พบ ‘ทักษิณ’ แค่คุยเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ รับกังวลขออย่าเป็นเกมต่อรองการเมือง จี้ กกต.ควรเร่งดำเนินการอย่าปล่อยไว้นาน-ดีเอสไอต้องพิสูจน์ตัวเอง เหน็บ ‘ทวี’ พูดเยอะ ถ้าทำไม่ได้น่าเสียใจ
 
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 7 มีนาคม ที่รัฐสภา นางอังคณา นีละไพจิตร ส.ว. ให้สัมภาษณ์ถึงมติที่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) 11 เสียง รับคดีฮั้วเลือก ส.ว.เป็นคดีพิเศษฐานความผิดฟอกเงินว่า แปลกใจว่าทำไมคณะกรรมการที่เป็นตำรวจไม่มาประชุมให้ครบ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และสังคมให้ความสำคัญ เมื่อคณะกรรมการมาประชุมไม่ครบจึงทำให้เสียงหายไป ซึ่งมีผลต่อการพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับเป็นคดีพิเศษ เพราะหากครบองค์ประชุมแล้วจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ว่ากันไป และไม่แปลกใจที่ กคพ.รับเป็นคดีฟอกเงิน เพราะจากที่ทราบน่าจะมีการพูดคุยกันแล้วในระดับหนึ่ง แต่ในฐานะที่ฟังมาจากประชาชน ถ้าทำมาถึงขนาดนี้แล้วก็ทำให้ต่อให้จริง
 
เมื่ถามว่า ที่ระบุว่ามีการพูดคุยกันนั้นหมายถึงใคร นางอังคณากล่าวว่า ตามข่าวที่ว่า นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไปพบกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรื่องนี้มีการพูดกันเยอะในหน้าสื่อและโซเชียล
 
ต่อข้อถามว่า เชื่อหรือไม่ว่ามีการไปพูดคุยเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์กัน นางอังคณากล่าวว่า ส่วนตัวไม่เชื่อ และคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องคดีนี้ด้วยถือเป็นเรื่องสำคัญ
 
เมื่อถามว่า ในส่วนของ ส.ว.อาจมีการยื่นอภิปรายรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153 ส่วนตัวจะร่วมด้วยหรือไม่ นางอังคณากล่าวว่า โดยส่วนตัวตนยืนยันมาตลอดว่าไม่เห็นด้วย เนื่องจากมองว่าการตอบโต้ในลักษณะนี้เป็นการฟ้องปิดปาก และตนก็คัดค้านเรื่องการฟ้องปิดปาก หรือฟ้องเพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมสาธารณะ คงไม่ร่วมด้วย แต่ก็เคารพความคิดเห็นของ ส.ว.ส่วนใหญ่
 
ท่านมีสิทธิที่จะทำได้ แต่ก็อยากให้ทุกฝ่ายทำงานกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นกรมสอบสวนพิเศษ ​(ดีเอสไอ) หรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อย่างไรก็ตาม ดิฉันเป็น 1 ใน 199 คน ที่จะต้องถูกตรวจสอบ ซึ่งก็พร้อมถูกตรวจสอบ” นางอังคณากล่าว
 
เมื่อถามว่า มองว่าคดีที่เป็นการฮั้วที่ กกต.ทำอยู่จะทันหรือไม่ นางอังคณากล่าวว่า ขอย้อนว่าเรื่องของตนมีการสอบถามว่ามีประสบการณ์ 10 ปีจริงหรือไม่ ซึ่งถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ค้นในเว็บไซต์ก็เจอ ยังใช้เวลากว่า 7 เดือน และตอนที่ กกต.ออกหมายเรียกไปให้ข้อมูลตอนนั้นก็ถามเจ้าหน้าที่ว่าแล้วเรื่องที่มีการซับซ้อนมากกว่านี้ รวมถึงใช้เวลามากกว่านี้จะดำเนินการอย่างไร ซึ่งก็ได้ทราบจากเจ้าหน้าที่ว่าคงจะมีการขอขยายเวลา แต่ไม่ทราบว่าจะขอขยายไปได้อีกเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่วันแรกที่มีการประกาศรายชื่อของ ส.ว.ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์มาตลอด ฉะนั้น กกต.ควรจะรีบเร่งในการดำเนินการ ไม่ควรปล่อยให้ล่าช้า และคลุมเครือไปเรื่อยๆ
 
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าสุดท้ายเรื่องนี้อาจจะหายไปหรือทำไม่ทัน นางอังคณา กล่าวว่า ในกระบวนการยุติธรรม หากมีการกล่าวหาว่ากระทำความผิด กว่าจะมีกระบวนการส่งฟ้องหรือสืบพยานนั้น แล้วเหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่ เผลอๆ อาจจะหมดวาระไปแล้ว
 
เมื่อถามถึงกรณีที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุว่าหากมีการอั้งยี่กันก็สามารถสอบต่อไปได้ มองว่าจะมีการนำการ์ดใบนี้ออกมาเล่นเกมการเมืองกันอีกในช่วงไหน นางอังคณากล่าวว่า กังวลว่าอย่าให้เป็นเกมการต่อรอง เพราะหากมีการสืบจากคดีฟอกเงินแล้วพบว่าเป็นการอั้งยี่ แล้วใช้ข้อเท็จจริงเป็นเครื่องต่อรองนั้น สังคมจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่หากพบว่าเป็นการอั้งยี่จริงและมีการดำเนินการต่อก็จะทำให้สังคมเกิดความชัดเจนและจะเป็นการพิสูจน์การทำงานว่าดีเอสไอทำงานภายใต้แรงกดดันทางการเมืองหรือไม่ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลแต่ละสมัยก็พบว่าดีเอสไอถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง มีอดีตอธิบดีเคยติดคุก
 
นางอังคณากล่าวต่อว่า บทบาทที่สำคัญที่สุดของ ส.ว.คือการเห็นชอบและพิจารณาคุณสมบัติขององค์กรอิสระ โดยเฉพาะปีนี้ที่ กกต.จะหมดวาระกันหลายคน หากเป็นความจริงว่า ส.ว. 199 คน หรือจะเป็น 138+2 คน มาโดยไม่ชอบ ตรงนี้จะเป็นการทำลายรากฐานของระบอบประชาธิปไตย ทำลายความโปร่งใสและกลไกตรวจสอบทั้งหมด ฉะนั้น ขอให้มีการดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ดีเอสไอก็ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าไม่เป็นเครื่องมือทางการเมือง
 
เมื่อถามว่า หาก ส.ว.แต่งตั้ง กกต.ชุดใหม่ก็จะเป็นคนของตัวเองใช่หรือไม่ นางอังคณากล่าวว่า ถูก และจะมีผลต่อการเลือกตั้งครั้งถัดไปด้วย รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือศาลรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่ง ส.ว.จะตกเป็นเป้าในการเลือกองค์กรอิสระต่างๆ โดยเฉพาะ กกต.ที่มีความสำคัญอย่างมาก แล้วต่อไปสังคมจะไว้วางใจได้อย่างไรว่าเราจะมีองค์กรอิสระที่เป็นอิสระ ผู้แทนข
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่