10 ปีหุ้นไทย จากวิกฤติศรัทธา สู่ยุคมืด หุ้นไทยถึงทางตัน ?

KEY POINTS
ถอดบทเรียน 10 ปี ตลาดหุ้นไทยเผชิญวิกฤติหนัก นักลงทุนขาดความหวัง
ต่างชาติเทขายไม่มีหยุด กลายเป็นยุคมืดของตลาดหุ้นไทย
วิเคราะห์อนาคตการลงทุนฟื้นตัวได้หรือไม่ ? หรือกำลังเข้าสู่ยุคตกต่ำอย่างแท้จริง!

ตลาดหุ้นไทยเผชิญภาวะซบเซาที่ยืดเยื้อมากว่าทศวรรษ ดัชนีร่วงหนักจนกลายเป็นหนึ่งในตลาดที่ลดลงมากที่สุดในโลก จากปัญหาความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ถดถอย สู่ผลกระทบเชิงลึกที่ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวอย่างหนัก อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้หุ้นไทยไม่สามารถฟื้นตัวได้ ? 

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านี้ นับตั้งแต่ปี 2558 ถึงปี 2568 จุดเริ่มต้นแห่งหายนะ "ตลาดหุ้น" เกิดขึ้นเมื่อประสบปัญหา "ธรรมาภิบาล" ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์ในปี 2560 กรณีผู้สอบบัญชีตั้งข้อสังเกตงบการเงินของ "บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL" ส่งผลให้ราคาหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่อง จากนั้น "บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH" ประสบปัญหาด้านตลาดหุ้นกู้และการเข้าซื้อเหมืองจนเป็นเหตุให้ถูกเพิกถอน

ต่อมาในปี 2563 เกิด "วิกฤติโควิด-19" การอุบัติใหม่ของเชื้อโรคร้ายแพร่ระบาดหนัก สร้างความตื่นกลัวอย่างรุนแรงทั่วโลก ด้วยยังไม่มียารักษาและคร่าชีวิตผู้คนล้มตายจำนวนมาก เศรษฐกิจโลกหยุดชะงัก ตลาดหุ้นไทยร่วงจาก 1,600 จุด ลงไปแตะระดับ 969.08 จุด ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ และดีดกลับมายืนเหนือ 1,000 จุด รัฐบาลทั่วโลกต่างออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้ง แจกเงินเยียวยา, ลดอัตราดอกเบี้ย และอัดฉีดเงินเข้าระบบ ที่สำคัญเมื่อเริ่มมีการกระจายวัคซีนส่งผลให้หุ้นไทยกลับมายืนเหนือ 1,500 จุดได้
 
บรรยากาศเริ่มกลับมาดีขึ้น แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ฉาวโฉ่ "ปล้นเงินโบรกเกอร์ครั้งใหญ่" ในปี 2565 ของ "บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE" ในเดือนพฤศจิกายน 2565 ราคาหุ้น MORE ร่วงติดฟลอร์ถึงสองวันติดต่อกัน หลังจากมีคำสั่งซื้อขายหุ้นจำนวนมากผิดปกติในช่วงเปิดตลาด (ATO) ของวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 มีการซื้อขายกว่า 1,500 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.90 บาทต่อหุ้น มูลค่ารวมกว่า 4,350 ล้านบาท
โบรกเกอร์หลายแห่งต้องรับภาระความเสี่ยงจากการที่ผู้ซื้อไม่สามารถชำระค่าหุ้นได้ตามกำหนด T+2 จนต้องตั้งสำรองความเสียหาย 4,000 ล้านบาท แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมเกี่ยวพันกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินงาน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ร่วมกับโบรกเกอร์ตรวจสอบและดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเสถียรภาพของตลาดทุนไทย 

ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก! 
ต่อมาในปี 2566  "บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK" ที่เคยเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของไทย มีมูลค่าตลาดสูงสุดถึง 60,000 ล้านบาท และเคยอยู่ในดัชนี SET100 แน่นอนว่าความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับหนึ่ง แต่แล้วในปี 2565 กลับเริ่มส่งกลิ่นเน่าเสีย เมื่อ STARK เลื่อนการส่งงบการเงินหลายครั้ง เนื่องจากการเปลี่ยนผู้สอบบัญชีและความจำเป็นในการตรวจสอบเพิ่มเติม ทำให้นักลงทุนเริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของบริษัท
 
หลังจากได้ผู้บริหารชุดใหม่ของ STARK พบข้อผิดพลาดหลายประการในงบการเงินปี 2564 ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลายบัญชีและเป็นจำนวนเงินที่มีนัยสำคัญ ทำให้ต้องมีการปรับปรุงรายการทางบัญชีเพื่อแก้ไขความผิดพลาด 

สุดท้ายความก็แตก! เมื่อพบว่า STARK ทุจริตด้วยการตกแต่งตัวเลขทางบัญชีให้ดูมีกำไรเกินความเป็นจริง จากมูลค่าตลาดสูงสุดที่ 60,000 ล้านบาท เหลือเพียง 2,000 ล้านบาท จากกำไรพลิกเป็นขาดทุนในปี 2565 ถึง 6,651 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ 4,404 ล้านบาท แบกภาระหนี้สินรวม 38,566 ล้านบาท จนผิดนัดชำระหนี้และล้มละลาย สร้างความเสียหายกว่าหนึ่งแสนล้านบาท! 

จากเหตุที่เกิดขึ้นต่อเนื่องนอกจากสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนแล้ว เสมือนตบหน้าหน่วยงานที่ได้ชื่อว่าผู้คุมกฎตลาดทุนและแพลตฟอร์มซื้อขายบริษัทจดทะเบียนว่าเหตุใดถึงไม่เห็น ทั้งๆที่ข้อมูลต่างๆอยู่ใต้จมูกทั้งนั้น ความน่าเชื่อถือของหน่วยงานตลาดทุนที่สร้างไว้เรียกว่าติดลบ นักลงทุนต่างหันหลังให้กับตลาดหุ้นไทย
   
วิกฤติศรัทธาพาตลาดหุ้นดำดิ่ง!
ตลาดหุ้นออกอาการย่ำแย่สุดๆ นับตั้งแต่วิกฤติโควิด-19 เรื่อยมา ตลอด 5 ปีตั้งแต่ 5 มีนาคม 2563 - 4 มีนาคม 2568 ดัชนีหุ้นไทย ร่วงหนัก 200.97 จุด คิดเป็น -14.58% แตะระดับ 1,177.64 จุด มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1,211 วันแตะที่ระดับ 63,868.14 ล้านบาท โดยมีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 175,296.31 ล้านบาทในวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 และลดลงต่ำสุด 21,857.77 ล้านบาทในวันที่ 25 ธันวาคม 2566

ขณะที่ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ต แคป) 14,671,177,133,785.29 ล้านบาท ลดลง 159,369,641,633.71 ล้านบาท คิดเป็น -1.07% กำไรสุทธิต่อหุ้น(Earning Per Share : EPS) 73.42 บาท ลดลง -12.80 บาท คิดเป็น -14.85% อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E) 16.04 เท่า เพิ่มขึ้น 0.05 เท่า คิดเป็น +0.31% อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) 1.12 เท่า ลดลง 0.39 เท่า คิดเป็น -25.83% อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) 4.26% เพิ่มขึ้น 16.71% 

"ต่างชาติ" ขายสุทธิ 431,344.17 ล้านบาท อีกทั้ง "กองทุน" ขายสุทธิ 70,720.73 ล้านบาท ขณะที่ "นักลงทุนรายย่อย" ซื้อสุทธิ 482,365.61 ล้านบาท ผสานแรงซื้อจาก "โบรกเกอร์" ซื้อสุทธิ 19,699.29 ล้านบาท

วิกฤติยังไม่จบ เมื่อ "ทรัมป์" คัมแบ็ก!
การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่สองของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยนโยบาย "America First" สร้างความหวาดหวั่นการยกระดับสงครามการค้าอย่างสุดโต่งฉุดภาพเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีให้ย่ำแย่ลง

ขณะที่ "การเมืองในประเทศไทย" กลับไร้ซึ่งเสถียรภาพ ข่าวของการแตกคอระหว่างพรรคร่วมมีออกมาเป็นระยะๆ ยิ่งกดดันดัชนีตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบัน (ระหว่างวันที่ 2 มกราคม - 4 มีนาคม 2568) ดัชนีหุ้นไทยร่วงลง 222.57 จุด คิดเป็น -15.90% แตะที่ระดับ 1,177.64 จุด มาร์เก็ต แคป แตะระดับ 14,671,177,133,785.29 ล้านบาท ลดลง 2,762,576,321,167.89 ล้านบาท คิดเป็น -15.58%

"ต่างชาติ" ขายสุทธิ 20,548.35 ล้านบาท "กองทุน" ขายสุทธิ 8,956.50 ล้านบาท และ "โบรกเกอร์" ขายสุทธิ 2,792.16 ล้านบาท ขณะที่ "นักลงทุนรายย่อย" ซื้อสุทธิ 32,297 ล้านบาท 

ก่อนที่ดัชนีหุ้นไทยจะฟื้นกลับมาปิดการซื้อขายในวันที่ 5 มีนาคม 2568 แตะระดับ 1,206.96 จุด เพิ่มขึ้น 29.32 จุด คิดเป็น +2.49% มูลค่าการซื้อขาย 50,778.04 ล้านบาท ระหว่างวันดัชนีลดลงต่ำสุด 1,183.21 จุด และเพิ่มขึ้นสูงสุด 1,208.76 จุด

ในวิกฤติ มีโอกาส จริงหรือ ? อมยิ้ม19
ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ผันผวนและได้รับผลกระทบจากวิกฤติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลก, การเมือง, โรคระบาด หรือปัจจัยทางการเงิน ดังนั้นนักลงทุนควรมีแผนรับมือเพื่อลดความเสี่ยงและรักษาโอกาสในการเติบโตของพอร์ตลงทุน

สิ่งที่รับมือในช่วงตลาดวิกฤติ คือ การกระจายการลงทุน, มีเงินสดสำรอง (Cash Reserve), ปรับพอร์ตให้เหมาะสม (Rebalancing), ใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar-Cost Averaging), ติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน อย่าตื่นตระหนกตามกระแส
ควรศึกษาข้อมูล มองระยะยาว ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคและพื้นฐานเพื่อดูแนวโน้มของตลาด รวมถึงลงทุนอย่างมีวินัย คือกุญแจสำคัญในการรับมือกับความผันผวน

เมื่อพิจารณาทุกปัจจัยทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังไม่สดใส กำไรบริษัทจดทะเบียนที่ไม่เติบโต และเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่ยังไม่กลับมา คำถามสำคัญ คือ "ตลาดหุ้นไทยตอนนี้เป็นโอกาสที่ควรคว้า หรือเป็นกับดักที่ควรหลีกเลี่ยง ?"
หากราคาหุ้นลดลง แต่กำไรยังไม่ฟื้น ตลาดจะกลับมาได้จริงหรือ ?
เศรษฐกิจไทยจะมีปัจจัยหนุนให้เติบโตหรือยังคงติดอยู่ในวัฏจักรชะลอตัว ? ในเมื่อเงินทุนมีทางเลือกมากขึ้น ทำไมนักลงทุนควรเลือกตลาดไทยแทนที่จะไปลงทุนที่อื่น ?

ท้ายที่สุดแล้วตลาดหุ้นไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยราคาที่ถูกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมี "กำไรที่เติบโต" เป็นแรงผลักดัน หากปัจจัยพื้นฐานยังไม่แข็งแกร่งพอคุณแน่ใจหรือยังว่าตอนนี้คือจังหวะที่เหมาะสมในการกลับมาลงทุน ? ปูเสื่อ

Cr. https://www.posttoday.com/business/stockholder/720559


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่