JJNY : ปชน. ชี้บริหารผิดพลาด│ส.ส.หญิง ปชน.ปลื้ม บี้สภาปลดล็อก│พายุถล่ม ต้นทุเรียนโค่นยับทั้งสวน│เดโมแครตประท้วง “ทรัมป์”

ปชน. ชี้ปัจจัยตลาดหุ้นตก ไม่ใช่เรื่องโง่หรือฉลาด แต่เป็นการบริหารผิดพลาด
https://www.matichon.co.th/politics/news_5077099
 
  
ปชน. ชี้ปัจจัยตลาดหุ้นตก ไม่ใช่เรื่องโง่หรือฉลาด แต่สะท้อนการบริหารผิดพลาด ขาดการกำกับดูแล
 
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม นายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้โพสต์ให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาเปิดเผยถึงกรณีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม หลุดจาก 1,200 จุด ถือเป็นการปิดตลาดทำจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปี ว่า คนที่ฉลาดจะมองเห็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจและมองเห็นสิ่งนี้เป็นโอกาส ส่วนคนที่ไม่ฉลาดก็จะตื่นเต้นและมองไม่เห็นโอกาส ก็แสดงว่าคุณมองไม่เห็นโอกาสในพื้นฐานเศรษฐกิจที่มีอยู่ กับราคาตลาดหลักทรัพย์ที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจหรือไม่

โดยระบุข้อความว่า 

“[ตลาดหุ้นตกไม่ใช่เรื่องโง่หรือฉลาด แต่คือการบริหารผิดพลาด และขาดการกำกับดูแล]
 
ตลาดหลักทรัพย์ไทยร่วงต่อเนื่องจนถึงระดับต่ำกว่า 1,200 จุด เท่ากับเมื่อ 13 ปีที่แล้ว หรือ พ.ศ.2555 แต่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง คุณเผ่าภูมิ โรจนสกุล กลับตอบว่า “คนไม่ฉลาดจะตื่นเต้นและมองไม่เห็นโอกาส” ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยบรรเทาสถานการณ์แล้ว กลับยิ่งทำลายความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทยให้ตกต่ำลงไปอีก
 
ทั้งที่ในฐานะรัฐบาลผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบาย ควรเริ่มต้นจากการยอมรับฟังข้อเสนอแนะและข้อวิจารณ์ต่อความผิดพลาดในการออกมาตรการของรัฐบาลเอง โดยเฉพาะโครงการ “แจกเงินหมื่น” ที่รัฐบาลดึงดันจะทำ แม้จะมีผู้ทักท้วงตั้งแต่ต้นว่าอาจไม่คุ้มกับต้นทุนทางการคลัง หลังจากนั้น ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วจากตัวเลขจีดีพีปี 2567 ทั้งปีที่โตขึ้นมาเพียง 2.5% รั้งท้ายอาเซียน แต่รัฐบาลกลับเพิกเฉย เลือกที่จะเดินหน้าต่อด้วยงบประมาณที่มากขึ้น จนทำให้ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทยถดถอยในสายตานักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากจะไม่เห็นโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ จากนโยบายรัฐบาลแล้ว อีกสาเหตุที่ทำให้เงินลงทุนหายไปจากตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง คือการที่รัฐบาลละเลยการกำกับตลาดทุนไทยให้เป็นธรรมกับนักลงทุน
 
ยกตัวอย่างเช่น สามเดือนที่แล้ว มีเรื่องใหญ่ๆ ที่สะท้อนปัญหา การคุ้มครองนักลงทุนหลายเรื่องที่กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่กรณี CPAXT ที่เอาบริษัทมหาชนไป ร่วมลงทุน กับ บริษัทในครอบครัว นอกธุรกิจหลัก โดย หน่วยงานกำกับ อยาง กลต. ก็รับรองว่า ไม่เข้าหลักเกณฑ์ รายการที่เกี่ยวโยงกัน เพราะมีช่องโหว่ทางกฎหมายเปิดช่องให้ทำได้ และ กรณีผู้บริหาร ขายหุ้น ก่อนประกาศข่าวใหญ่ ที่ทำให้หุ้นตก 19% โดยที่ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ จากหน่วยงานกำกับ และ ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในการทบทวน ESG Rating จากตลาดหลักทรัพย์
 
หรือ ตัวอย่างล่าสุด เดือนที่แล้ว กรณี AOT ที่ ประกาศข่าว การช่วยเจ้าสัว Duty Free เลื่อนเงื่อนไขการชำระเงินตามสัญญา ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้ที่สูงถึง 33% ของรายได้รวม โดยที่ AOT ประกาศข่าวสำคัญแบบนี้ ล่าช้าไปเกือบเดือน หลังจากที่บอร์ดมีมติไป ที่ทำให้หุ้นตกลงไป 20% หลังประกาศข่าว แต่หน่วยงานรัฐ ออกมายืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎระเบียบ โดยไม่สนใจถึงสาระสำคัญของการตัดสินใจที่สำคัญแบบนี้
 
หรือ เรื่องพื้นฐานที่ กมธ การเงินการคลัง ร่วมกับ สมาคมนักลงทุนรายย่อย เสนอไปหลายครั้ง ให้มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนว่า การให้ข้อมูลกับนักวิเคราะห์หรือนักลงทุนรายใหญ่ ก่อนที่บริษัทมหาชนจะประกาศผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์ ควรจะเป็นเรื่องผิดกฎ Insider Trading (หรือการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน) ได้แล้ว เพราะไม่เป็นธรรมกับนักลงทุนรายย่อยที่เข้าถึงข้อมูลสำคัญล่าช้ากว่านักลงทุนรายใหญ่ แต่ประเด็นนี้ ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
แต่เพราะ ครม. และ รัฐบาล เป็นคนแต่งตั้งกรรมการและกำกับ กลต. และ คณะกรรมการ กลต. ก็เป็นคนแต่งตั้ง กรรมการ ตลท. และ กำกับการทำงานของ ตลท. ดังนั้น รัฐบาล และ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง จึงไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบต่อการกำกับดูแลตลาดทุนไปได้
 
สุดท้าย ผมยังอยากเห็น ตลาดหุ้นไทย ยังคงเป็นความหวังในการอนาคตให้กับ นักลงทุนไทย ได้อยู่บ้าง ในยามที่ เศรษฐกิจไทยเอง ดูไม่ค่อยมีอนาคตซักเท่าไหร่ จึงต้องขอให้ประชาชนและนักลงทุนรายย่อยช่วยกันผลักดันให้ รัฐบาลและ รมช.คลัง กำกับ และเข้มงวด กับการคุ้มครองนักลงทุนรายย่อยให้มากขึ้น อย่างน้อยก็ขอให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่เคยประกาศไว้ด้วย”

https://www.facebook.com/TleWoraphop/posts/pfbid0QihLy6P2dm5pMfYJ2vEMZe4XEnCNS7c9fApU4WC84SxeBi6X7Pm3vEvMCaVEqBWHl



ส.ส.หญิง ปชน. ปลื้ม บี้สภาปลดล็อกอนุญาต ขรก.-จนท. ใส่กางเกงมาทำงานได้สำเร็จ ฉลองวันสตรีสากล
https://www.matichon.co.th/politics/news_5077183

ส.ส.หญิง ปชน. ปลื้ม บี้สภาปลดล็อกอนุญาต ขรก.-จนท. ใส่กางเกงมาทำงานได้สำเร็จ ฉลองวันสตรีสากล หวังหน่วยงานอื่นเอาด้วย
 
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 5 มีนาคม ที่รัฐสภา น.ส.ภัสริน รามวงศ์ สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) แถลงกรณีการแต่งกายผู้ปฏิบัติงานหญิงของรัฐสภาว่า เนื่องในวันที่ 8 มีนาคม ซึ่งเป็นวันสตรีสากล ตนขอแสดงความยินดีกับเจ้าหน้าที่ และข้าราชการรัฐสภา เนื่องจากที่ตนเคยหารือและเรียกร้องในที่ประชุม เรื่องสิทธิในการเลือกแต่งกายของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการในรัฐสภา สามารถใส่กางเกงระหว่างปฏิบัติหน้าที่ได้ วันนี้ได้รับทราบว่า ได้มีการออกหนังสือเวียนถึงข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทั้งฝั่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฏร และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ ข้าราชการสภาทั้งที่เป็นสตรี และสตรีข้ามเพศ สามารถใส่กางเกงมาปฏิบัติงานได้ ถือเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งของการเรียกร้องเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานในร่างกาย ที่รัฐสภาควรเป็นต้นแบบของความก้าวหน้าดังกล่าว
 
ยืนยันว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องแฟชั่น แต่เป็นสิทธิทางร่างกายขั้นพื้นฐาน เพราะการกำหนดหลักเกณฑ์การแต่งกายข้าราชการที่ผ่านมานั้นไม่มีเหตุผลและไม่ควรถูกนำไปใช้ให้เป็นเครื่องมือบังคับเรื่องการแต่งตัว ที่นำไปสู่การกดทับความไม่เท่าเทียมทางเพศ ดิฉันจึงหวังว่าเราจะเห็นการปลดล็อกให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานได้มีอิสระในการแต่งกายเหมือนต้นแบบรัฐสภาด้วย” น.ส.ภัสริน กล่าว
 
ด้านนายปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. กล่าวว่า พรรคตระหนักในเรื่องสิทธิในร่างกาย เสื้อผ้า หน้า ผม ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานมาก ทุกคนควรได้เลือกการแต่งกายตามอัตลักษณ์ของตัวเอง และตามความเหมาะสมในการทำงาน โดยเฉพาะแวดวงการศึกษา จึงขอเรียกร้องผู้บังคับบัญชาทุกสังกัดให้พิจารณาสิทธิขั้นพื้นฐาน ครูผู้หญิงและครูผู้หญิงข้ามเพศที่เขาแสดงเจตจำนงจะอยู่ในอัตลักษณ์ของผู้หญิง ให้สามารถใส่กางเกงไปสอนหนังสือได้ เพราะการใส่กางเกงที่สุภาพเหมาะสมสามารถทำให้เกิดความคล่องตัวในการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน โดยเฉพาะการเรียนการสอนแบบ Active Learning ที่ต้องลุก นั่ง เดิน เต้น ทำกิจกรรมและรับฟังความเห็นตลอดทั้งคาบไปกับนักเรียนด้วย
 
”ดังนั้น ขอให้ครูผู้หญิงและหญิงข้ามเพศทุกสังกัด ได้ใส่กางเกง ถือเป็นการปักธงความคิดและเฉลิมฉลองเดือนแห่งวันสตรีสากล ซึ่งสิ่งนี้ควรรวมถึงหญิงข้ามเพศที่เพศกำเนิดเป็นผู้ชาย แต่ต้องการแสดงเจตจำนงเป็นผู้หญิง ก็ควรได้ใส่กางเกงด้วยชุดสุภาพแบบผู้หญิงและหากต้องการ ใส่กระโปรง ก็ควรได้ดำเนินการตามเจตจำนง“ นายปารมี กล่าว
  


พายุฤดูร้อนถล่ม ชาวสวนครบุรีเข่าอ่อน ต้นทุเรียนหักโค่นยับทั้งสวน เสียหายกว่าร้อยต้น สูญรายได้นับล้าน
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9660419

นครราชสีมา เจ้าของสวนครบุรี ถึงกับเข่าอ่อน พายุฤดูร้อนพัดถล่มรุนแรง ต้นทุเรียน ติดดอกออกผล หักโค่นยับทั้งสวน เสียหายกว่าร้อยต้น สูญรายได้นับล้านบาท
 
5 มี.ค. 68 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากเหตุการณ์พายุฤดูร้อนพัดถล่มพื้นที่ ต.ลำเพียก อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา
 
นายไสว สายปัญญา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลลำเพียก อ.ครบุรี ได้เร่งนำทีมเจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบต.ลำเพียก พร้อม เจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอครบุรี และฝ่ายปกครองอำเภอครบุรี ออกสำรวจพื้นที่ความเสียหายพายุพัดถล่ม เพื่อเตรียมดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามระเบียบของทางราชการ
 
ซึ่งเบื้องต้นพบว่า มีบ้านเรือนราษฎรได้รับความเสียหายบ้างเล็กน้อย แต่สวนผลไม้ของเกษตรกรหลายหมู่บ้าน ถูกลมพายุพัดหักโค่นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสวนทุเรียนในหมู่บ้านซับระวิง และบ้านไร่แหลมทอง ต.ลำเพียก ซึ่งช่วงนี้ต้นทุเรียนที่กำลังติดดอกออกผล กลับถูกพายุพัดหักโค่นเสียหายไปเกือบ 300 ต้น
 
อย่างเช่น สวนศรสวัสดิ์ บ้านไร่แหลมทอง หมู่ที่ 5 ต.ลำเพียก อ.ครบุรี ของนางบัวสอน ชมตา อายุ 61 ปี ที่ปลูกทุเรียนมายาวนานเกือบ 15 ปี แต่มาถูกลมพายุพัดถล่มวันเดียว หักโค่นได้รับความเสียหายไป 102 ต้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่าล้านบาท
 
นางบัวสอน เปิดเผยว่า เกิดลมพายุและฝนกระหน่ำอย่างรุนแรงนานนับชั่วโมง พอพายุสงบ ฝนหยุดตก ตนรีบขับรถจากบ้านพักที่อยู่ในตัวหมู่บ้าน ออกมาดูทุเรียนที่สวน และเมื่อมาถึงสาวน ก็ถึงกับเข้าอ่อน จะเป็นลม เพราะพายุพัดต้นทุเรียนหักโค่นเสียหายเกือบทั้งสวน
 
ซึ่งส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด จะเป็นทุเรียนที่ปลูกเอาไว้นานเกือบ 15 ปีแล้ว แต่กลับมาถูกลมพายุพัดถล่มหักโค่นเสียหาย ซึ่งมีทั้งหักโค่นทั้งต้น หักโค่นกลางต้น และกิ่งก้านหักฉีกขาด รวม 102 ต้น จากจำนวนต้นทุเรียนที่มีอยู่ทั้งหมด 400 ต้น และทุกต้นกำลังติดดอกออกผล เตรียมจะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนบำรุงผลแล้ว

หากคิดเป็นมูลค่าเฉพาะผลผลิตที่จะได้ในแต่ละปี ก็จะอยู่ที่ประมาณต้นละ 4 หมื่นบาท ยังไม่รวมมูลค่าอายุของต้นที่ดูแลประคบประหงมมานานเกือบ 15 ปี ที่ให้ผลผลิตประมาณ 80 ลูก ซึ่งแต่ละลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 4 กิโลกรัม เมื่อเก็บผลผลิตในสวนออกขาย จะมีรายได้กว่าล้านบาทเลยทีเดียว
 
แต่พอมาเห็นต้นทุเรียนหักเสียหายแบบนี้ ทำใจไม่ได้ มันเหนื่อย หมดแรงจริงๆ ต้นที่หักโค่นทั้งต้นก็ต้องตัดตอทิ้งเท่านั้น ส่วนต้นที่หักเล็กน้อย หรือยอดหัก ก็ยังพออยู่ได้ แต่ต้องบำรุงดูแลใหม่ กว่าจะฟื้นให้ผลผลิตก็ต้องใช้เวลานานหลายปี”
 
ด้านนายกฤษฏิ์ พูนเกษม หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ตอนนี้มีการรายงานพื้นที่ความเสียหายจากพายุฤดูร้อนมาให้ทราบเพียงบางอำเภอเท่านั้น โดยวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นมา มีบ้านเรือนราษฎรได้รับความเสียหาย จำนวน 1 หลัง ที่ อ.เมืองยาง
 
ส่วนที่ อ.สูงเนิน มีรายงานเข้ามาวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 บ้านเรือนราษฎรได้รับความเสียหาย จำนวน 14 หลัง และวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ อ.ชุมพวง มีบ้านเรือนเสียหาย จำนวน 8 หลัง ซึ่งพื้นที่อื่นๆ อาทิ อ.ปากช่อง วังน้ำเขียว สีคิ้ว ปักธงชัย เป็นต้น
 
ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะเข้าดูแลสำรวจความเสียหายเพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นก่อนตามอำนาจหน้าที่ แต่ถ้าเกินกำลัง ท้องถิ่นมีงบประมาณช่วยเหลือไม่เพียงพอ ก็จะร้องขอความช่วยเหลือขอใช้งบทำรองราชการหรือเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของทางจังหวัด เพื่อเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามระเบียบของทางราชการต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่