“ศุภณัฐ” โวสกัด “คอนโดเพื่อคนจีน” สำเร็จ รัฐบาลแก้ประกาศคอนโด BOI โควตาคนไทยเท่านั้น
https://ch3plus.com/news/political/morning/434416
“ศุภณัฐ” โวสกัดคอนโดเพื่อคนจีนสำเร็จ หลังร้อง ป.ป.ช.ปีที่แล้ว บอกรัฐบาลยอมเติมข้อเสนอ-แก้ประกาศแล้ว ชี้ข้างในสอดไส้เต็มๆ เอื้อต่างชาติแย่งโควตาคนไทยจนคนจนไม่มีบ้านอยู่
วันที่ 4 มี.ค.2568 นาย
ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “สกัดคอนโดเพื่อคนจีนของรัฐบาลเพื่อจีนจนสำเร็จ ว่า
เมื่อ 17 มีนาคม 67 รัฐบาลเศรษฐา ได้ให้ BOI ออกมาตรการส่งเสริมลงทุน “โครงการที่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อย” โดยฟรีภาษี ให้ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ เพื่อแลกกับการผลิต “คอนโดราคาถูกพิเศษ ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท” (คนส่วนใหญ่รู้จักโครงการนี้ในนามคอนโดBOI)
ซึ่งฟังแล้วดูดี แต่ข้างในสอดไส้เต็มๆ เพราะปัญหาใหญ่ของนโยบายนี้ คือ การอนุญาตให้คนจีน -ต่างชาติ ซื้อคอนโดถูกๆ จากภาษีคนไทย ได้สูงสุด 49% ของตึก ทั้งที่ BOI ใช้ชื่อโครงการว่า ”โครงการที่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อย“ แต่ในความเป็นจริง ไม่ได้กำหนดไว้ว่า ห้ามขายต่างชาติ, ไม่ได้กำหนดว่า สำหรับคนไทยมีรายได้น้อย และไม่ได้กำหนด จำนวน 1 ห้องต่อ 1คน
ผลที่เกิดขึ้น 1.คนจีน-ต่างชาติ ได้สิทธิ แย่งคนมีรายได้น้อย ซื้อคอนโดราคาถูกจากภาษีคนไทย 2.คนไทย-คนรวย สามารถเข้าไปแย่งคนจน ซื้อคอนโดราคาถูกหลายห้อง ทำกำไร เอาไปปล่อยต่อ 3.ส่วนคนจน ที่ไม่มีบ้านจะอยู่ โดนทั้งจีน โดนทั้งไทยแย่งซื้อ แทบไม่มีใครได้คอนโดราคาถูก ซึ่งมาตรการ BOI นี้ เคยทำแล้วในสมัยรัฐบาลประยุทธ ตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งช่วงนั้น ได้ออกบัตรส่งเสริมให้คอนโด ราวๆ 30,000-40,000 ยูนิต ต่อมาปี 2567 รัฐบาลเพื่อจีน ได้กลับมาสานต่ออีกครั้ง
ซึ่งนโยบายนี้ ได้สร้างความเสียหายให้ประเทศ เขียนว่าจะผลิตคอนโดราคาถูกเพื่อ “ผู้มีรายได้น้อย” ซึ่งแน่นอนต้องหมายถึง ”คนไทยที่มีรายได้น้อย” แต่กลับปล่อยขาย “คนจีน คนต่างชาติ และคนรวย”
เรื่องนี้ ผมสู้มาตั้งแต่ปี 67 โดยพูดออกรายการคุณสรยุทธ์ ตั้งแต่เมษา 67 เพื่อเรียกร้องมาตรการช่วยเหลือประชาชน ที่อยู่อาศัยให้ผู้มีรายได้น้อย และได้เปิดเผยการ ทุจริตเชิงนโยบาย ของรัฐบาลเพื่อจีน และ BOI ต่อหน้าสส.เพื่อไทย ที่ร่วมรายการ และให้ไปจัดการตั้งแต่ เมษา 67 แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จนช่วงเดือน 7 ผมเรียก BOI มาตำหนิในห้องกรรมาธิการว่าทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง คุณจะออกมาตรการเอื้อคนจีนซื้อคอนโดไม่ได้ แต่ BOI อ้างว่า แก้ไขข้อกำหนดให้เฉพาะคนไทยซื้อไม่ได้
ในเมื่อไม่มีความคืบหน้า ผมจึงร้องเรียนไปยัง BOI อีกครั้ง ในเดือน พฤศจิกายน และเสนอข้อกำหนดหลายอย่าง ที่ต้องใส่เพื่อป้องคนไทยให้ได้คอนโดราคาถูก ทั้งการห้ามต่างชาติซื้อ, การจำกัด 1คน 1 สิทธิ, การกำหนดรายได้, การห้ามซื้อในนามบริษัท (นิติบุคคล), การห้ามขายต่อในอีก 5 ปี และอื่นๆ และใช้ไม้แข็ง คือการร้องไปยัง รองนายกพิชัย เมื่อธันวาคม โดยย้ำว่านี่เป็นการทำให้รัฐเสียหาย เป็นการละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ และให้รองนายกดำเนินการตรวจสอบและสอบสวน (ซึ่งนี่หมายถึง ถ้ารองนายกไม่จัดการ ผมก็ต้องร้อง ป.ป.ช.จัดการ)
ล่าสุดเดือนกุมภา ผมได้รับแจ้งว่า รัฐบาลและ BOI ยอมแก้ไขประกาศ และเติมข้อกำหนดตามที่ผมเสนอไปแล้ว
วันนี้ผมภูมิใจที่ได้ สกัดนโยบายคอนโดเพื่อคนจีน ของรัฐบาลเพื่อจีน และได้ปกป้องผลประโยชน์ภาษีของคนไทย และช่วยให้คนมีรายได้น้อย ได้เข้าถึงที่อยู่อาศัยได้อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ในส่วนของความเสียหาย จากโครงการที่ทำไปก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่สมัยรัฐบาลลุงตู่ โดยปล่อยปละไม่ใส่ข้อกำหนดต่างๆ ที่เหมาะสม และทำให้คอนโดราคาถูกจากภาษีประชาชนไปในมือคนจีนจำนวนมาก
ในเมื่อประเทศไทยเสียหายแล้ว ผมก็ต้องเรื่องไปที่ ป.ป.ช. แล้ว ซึ่งร้องไปตั้งแต่ พฤษภาคม 67 เพราะนี่คือ “การปล่อยปละละเลย ทำให้ประเทศเสียหาย และการบิดเบือนวัตถุประสงค์ของนโยบาย” ซึ่งความผิดสำเร็จแล้ว
https://www.facebook.com/suphanat.minchaiynunt/posts/pfbid02j5vuwTXUgQMeqKbVWt1TigBgMGRX3ncQWSmh6VMzfzzpZrcm12bo4Z7iicQEBwY4l
ธุรกิจร้านทองขาลง แข่งขันสูง รายย่อยรายได้ถดถอย ทยอยเลิกกิจการ
https://www.matichon.co.th/economy/news_5076953
ธุรกิจร้านทองขาลง แข่งขันสูง รายย่อยรายได้ถดถอย ทยอยเลิกกิจการ
ฝ่ายวิจัยธุรกิจธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ วิเคราะห์ภาพรวมการเติบโตของธุรกิจร้านทอง โดยสถานการณ์ด้านผู้ประกอบการร้านทองจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่าปี 2567 มีผู้ประกอบการในธุรกิจร้านทองทั่วประเทศที่จดทะเบียนนิติบุคคลและยังคงดำเนินเนินกิจการอยู่จำนวนทั้งสิ้น 9,728 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีจำนวน 9,425 ราย สะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวของธุรกิจร้านทองในประเทศ โดยจำนวนผู้ประกอบการที่จัดตั้งใหม่มีจำนวน 491 ราย สูงขึ้นจากปี 2566 ที่มีจำนวน 457 ราย แสดงให้เห็นว่าธุรกิจร้านทองยังคงได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการรายใหม่ที่ต้องการเข้าสู่ตลาด
อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนร้านทองที่ดำเนินกิจการอยู่จะเพิ่มขึ้นขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้ประกอบการบางส่วนที่ต้องปิดกิจการ โดยปี 2567 มี 177 รายที่เลิกกิจการ สูงกว่าปี 2566 ที่มีจำนวน 163 ราย สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจ รวมถึงผลกระทบจากต้นทุนดำเนินงานที่สูงขึ้น และพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปซื้อขายทองทำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงานของธุรกิจร้านทองในช่วงที่ผ่านมาพบว่า รายได้รวมของผู้ประกอบการขนาดใหญ่และขนาดกลางยังมีทิศทางขยายตัว สะท้อนถึงความสามารถในการรักษาฐานลูกค้าและการปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มของตลาด
ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดเล็กมีแนวโน้มเผชิญกับภาวะถดถอยของรายได้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากแพลตฟอร์มออนไลน์ ประกอบกับการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปลงทุนในทองคำแท่งและทองคำล่วงหน้ามากกว่าการซื้อทองรูปพรรณ รวมถึงต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ทำให้ร้านทองขนาดเล็กต้องเผชิญกับแรงกดดันทางธุรกิจที่สูงขึ้น
สำหรับในปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัว จากแรงกดดันของภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ กำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศยังคงอ่อนแอจากค่าครองชีพที่สูงและปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการซื้อทองรูปพรรณลดลง
เนื่องจากทองรูปพรรณจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่มักได้รับผลกระทบโดยตรงจากกำลังซื้อที่ถดถอย โดยเฉพาะร้านทองขนาดเล็กซึ่งเป็นกลุ่มผู้เล่นที่มีจำนวนมากที่สุดในตลาดคิดเป็นสัดส่วนราว 80% ของจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมด จะได้รับผลกระทบมากที่สุด
เนื่องจากร้านทองกลุ่มนี้ดำเนินธุรกิจในรูปแบบดั้งเดิมที่เน้นการซื้อขายทองคำรูปพรรณเป็นหลัก ทำให้รายได้หลักของร้านทองขนาดเล็กมาจากค่ากำเหน็จในการขายทองรูปพรรณ ซึ่งมีแนวโน้มลดลงตามปริมาณการซื้อทองรูปพรรณใหม่ที่คาดว่าจะซบเชา
นอกจากนี้แนวโน้มราคาทองคำที่ทรงตัวในระดับสูงยังส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้เกิดแรงขายทองเพื่อทำกำไรมากกว่าการซื้อทองใหม่ ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันต่อรายได้ของร้านทองที่พึ่งพาค่ากำเหน็จเป็นหลัก
หากราคาทองคำยังคงมีความผันผวนสูงผู้บริโภคอาจชะลอการซื้อทองรูปพรรณและหันไปลงทุนในทองคำแท่งหรือผลิตภัณฑ์อนุพันธ์แทน ทำให้ยอดขายของร้านทองแบบดั้งเดิมลดลงต่อเนื่อง
อีกปัจจัยที่อาจส่งผลต่อรายได้ของร้านทองคือ รายได้จากบริการฝากทองคำ (Gold Pawning) ที่มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากมาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของโรงรับจำนำซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคเลือกใช้บริการโรงรับจำนำของภาครัฐหรือเอกชนที่คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าร้านทอง แทนการนำทองไปขายฝากกับร้านโดยตรง ส่งผลให้รายได้จากค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยของร้านทองลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มร้านทองขนาดเล็กที่พึ่งพาธุรกิจขายฝากเป็นแหล่งรายได้เสริม
นอกจากนี้ มาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้น เช่น กฎเกณฑ์ด้านการป้องกันการฟอกเงิน (AML) และการรายงานธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับทองคำ อาจเพิ่มต้นทุนทางธุรกิจให้กับร้านทอง โดยเฉพาะในด้านระบบการตรวจสอบธุรกรรมและการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายเล็กที่มีทรัพยากรจำกัด
อย่างไรก็ตาม ร้านทองขนาดใหญ่ที่สามารถปรับตัวเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์และให้บริการลงทุนทองคำแบบดิจิทัล จะยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ โดยเฉพาะธุรกิจออมทองออนไลน์, การซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold Futures),และ Gold ETFs ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากนักลงทุนที่ต้องการเข้ามาเก็งกำไรในช่วงราคาทองคำขาขึ้น หรือเพื่อกระจายความเสี่ยงในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน
นอกจากนี้ ตลาดส่งออกทองคำอาจเป็นอีกช่องทางที่ช่วยลดแรงกดดันของตลาดในประเทศ โดยร้านทองที่สามารถขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดที่มีอุปสงค์สูง เช่น อินเดีย จีน และตะวันออกกลาง อาจมีโอกาสสร้างรายได้เสริมจากการส่งออกทองคำแทนการพึ่งพาดลาดในประเทศเพียงอย่างเดียว
สำหรับราคาทองคำในปี 2568 คาดว่ามีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่ยังคงเผชิญกับความผันผวนจาก
ปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเงิน และภูมิรัฐศาสตร์ โดยปัจจัยที่สนับสนุนราคาทองคำให้ยังอยู่ในระดับสูง ได้แก่
แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งคาดว่าจะลดลง 2-3 ครั้งตลอดปี 2568 หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีสัญญาณชะลอตัว การลดอัดราดอกเบี้ยดังกล่าวจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลง ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับทองคำในฐานะ สินทรัพย์ปลอดลอดภัยที่ไม่มีดอกเบี้ยและกระตุ้นแรงซื้อจากนักลงทุนทั่วโลก ตลอดจนความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่อาจผลักดันราคาทองคำให้สูงขึ้น ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ความตึงเครียดในยุโรป และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน อาจเพิ่มความผันผวนให้กับตลาดการเงินโลก ทำให้นักลงทุนเพิ่มการถือครองทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง
ไทยตอนบนเกิดพายุฤดูร้อน 6-8 มี.ค.
https://www.innnews.co.th/news/news-general/news_850026
ประเทศไทยตอนบนเกิดพายุฤดูร้อน 6-8 มี.ค. 68 เตือนระวังฝนตกหนัก ฟ้าผ่า ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง
วันที่ 5 มีนาคม 2568 พยากรณ์[อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ทั้งนี้เนื่องจากความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัด
โดยหลีกเลี่ยงการทำงานหรือการประกอบกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นระยะเวลานาน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนอง กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง
ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงไว้ด้วย สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังอ่อน ทำให้ภาคใต้มีฝนน้อยในระยะนี้
อนึ่ง บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางได้แผ่ลงมาถึงประเทศจีนตอนใต้แล้ว คาดว่าจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ในวันพรุ่งนี้ (6 มี.ค. 68) ส่งผลทำให้มีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน
JJNY : “ศุภณัฐ” โวสกัด “คอนโดเพื่อคนจีน”สำเร็จ│ธุรกิจร้านทองขาลง│ไทยตอนบนเกิดพายุ 6-8 มี.ค.│ยูเครนย้ำพร้อมลงนามกับสหรัฐ
https://ch3plus.com/news/political/morning/434416
“ศุภณัฐ” โวสกัดคอนโดเพื่อคนจีนสำเร็จ หลังร้อง ป.ป.ช.ปีที่แล้ว บอกรัฐบาลยอมเติมข้อเสนอ-แก้ประกาศแล้ว ชี้ข้างในสอดไส้เต็มๆ เอื้อต่างชาติแย่งโควตาคนไทยจนคนจนไม่มีบ้านอยู่
วันที่ 4 มี.ค.2568 นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “สกัดคอนโดเพื่อคนจีนของรัฐบาลเพื่อจีนจนสำเร็จ ว่า
เมื่อ 17 มีนาคม 67 รัฐบาลเศรษฐา ได้ให้ BOI ออกมาตรการส่งเสริมลงทุน “โครงการที่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อย” โดยฟรีภาษี ให้ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ เพื่อแลกกับการผลิต “คอนโดราคาถูกพิเศษ ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท” (คนส่วนใหญ่รู้จักโครงการนี้ในนามคอนโดBOI)
ซึ่งฟังแล้วดูดี แต่ข้างในสอดไส้เต็มๆ เพราะปัญหาใหญ่ของนโยบายนี้ คือ การอนุญาตให้คนจีน -ต่างชาติ ซื้อคอนโดถูกๆ จากภาษีคนไทย ได้สูงสุด 49% ของตึก ทั้งที่ BOI ใช้ชื่อโครงการว่า ”โครงการที่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อย“ แต่ในความเป็นจริง ไม่ได้กำหนดไว้ว่า ห้ามขายต่างชาติ, ไม่ได้กำหนดว่า สำหรับคนไทยมีรายได้น้อย และไม่ได้กำหนด จำนวน 1 ห้องต่อ 1คน
ผลที่เกิดขึ้น 1.คนจีน-ต่างชาติ ได้สิทธิ แย่งคนมีรายได้น้อย ซื้อคอนโดราคาถูกจากภาษีคนไทย 2.คนไทย-คนรวย สามารถเข้าไปแย่งคนจน ซื้อคอนโดราคาถูกหลายห้อง ทำกำไร เอาไปปล่อยต่อ 3.ส่วนคนจน ที่ไม่มีบ้านจะอยู่ โดนทั้งจีน โดนทั้งไทยแย่งซื้อ แทบไม่มีใครได้คอนโดราคาถูก ซึ่งมาตรการ BOI นี้ เคยทำแล้วในสมัยรัฐบาลประยุทธ ตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งช่วงนั้น ได้ออกบัตรส่งเสริมให้คอนโด ราวๆ 30,000-40,000 ยูนิต ต่อมาปี 2567 รัฐบาลเพื่อจีน ได้กลับมาสานต่ออีกครั้ง
ซึ่งนโยบายนี้ ได้สร้างความเสียหายให้ประเทศ เขียนว่าจะผลิตคอนโดราคาถูกเพื่อ “ผู้มีรายได้น้อย” ซึ่งแน่นอนต้องหมายถึง ”คนไทยที่มีรายได้น้อย” แต่กลับปล่อยขาย “คนจีน คนต่างชาติ และคนรวย”
เรื่องนี้ ผมสู้มาตั้งแต่ปี 67 โดยพูดออกรายการคุณสรยุทธ์ ตั้งแต่เมษา 67 เพื่อเรียกร้องมาตรการช่วยเหลือประชาชน ที่อยู่อาศัยให้ผู้มีรายได้น้อย และได้เปิดเผยการ ทุจริตเชิงนโยบาย ของรัฐบาลเพื่อจีน และ BOI ต่อหน้าสส.เพื่อไทย ที่ร่วมรายการ และให้ไปจัดการตั้งแต่ เมษา 67 แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จนช่วงเดือน 7 ผมเรียก BOI มาตำหนิในห้องกรรมาธิการว่าทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง คุณจะออกมาตรการเอื้อคนจีนซื้อคอนโดไม่ได้ แต่ BOI อ้างว่า แก้ไขข้อกำหนดให้เฉพาะคนไทยซื้อไม่ได้
ในเมื่อไม่มีความคืบหน้า ผมจึงร้องเรียนไปยัง BOI อีกครั้ง ในเดือน พฤศจิกายน และเสนอข้อกำหนดหลายอย่าง ที่ต้องใส่เพื่อป้องคนไทยให้ได้คอนโดราคาถูก ทั้งการห้ามต่างชาติซื้อ, การจำกัด 1คน 1 สิทธิ, การกำหนดรายได้, การห้ามซื้อในนามบริษัท (นิติบุคคล), การห้ามขายต่อในอีก 5 ปี และอื่นๆ และใช้ไม้แข็ง คือการร้องไปยัง รองนายกพิชัย เมื่อธันวาคม โดยย้ำว่านี่เป็นการทำให้รัฐเสียหาย เป็นการละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ และให้รองนายกดำเนินการตรวจสอบและสอบสวน (ซึ่งนี่หมายถึง ถ้ารองนายกไม่จัดการ ผมก็ต้องร้อง ป.ป.ช.จัดการ)
ล่าสุดเดือนกุมภา ผมได้รับแจ้งว่า รัฐบาลและ BOI ยอมแก้ไขประกาศ และเติมข้อกำหนดตามที่ผมเสนอไปแล้ว
วันนี้ผมภูมิใจที่ได้ สกัดนโยบายคอนโดเพื่อคนจีน ของรัฐบาลเพื่อจีน และได้ปกป้องผลประโยชน์ภาษีของคนไทย และช่วยให้คนมีรายได้น้อย ได้เข้าถึงที่อยู่อาศัยได้อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ในส่วนของความเสียหาย จากโครงการที่ทำไปก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่สมัยรัฐบาลลุงตู่ โดยปล่อยปละไม่ใส่ข้อกำหนดต่างๆ ที่เหมาะสม และทำให้คอนโดราคาถูกจากภาษีประชาชนไปในมือคนจีนจำนวนมาก
ในเมื่อประเทศไทยเสียหายแล้ว ผมก็ต้องเรื่องไปที่ ป.ป.ช. แล้ว ซึ่งร้องไปตั้งแต่ พฤษภาคม 67 เพราะนี่คือ “การปล่อยปละละเลย ทำให้ประเทศเสียหาย และการบิดเบือนวัตถุประสงค์ของนโยบาย” ซึ่งความผิดสำเร็จแล้ว
https://www.facebook.com/suphanat.minchaiynunt/posts/pfbid02j5vuwTXUgQMeqKbVWt1TigBgMGRX3ncQWSmh6VMzfzzpZrcm12bo4Z7iicQEBwY4l
ธุรกิจร้านทองขาลง แข่งขันสูง รายย่อยรายได้ถดถอย ทยอยเลิกกิจการ
https://www.matichon.co.th/economy/news_5076953
ธุรกิจร้านทองขาลง แข่งขันสูง รายย่อยรายได้ถดถอย ทยอยเลิกกิจการ
ฝ่ายวิจัยธุรกิจธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ วิเคราะห์ภาพรวมการเติบโตของธุรกิจร้านทอง โดยสถานการณ์ด้านผู้ประกอบการร้านทองจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่าปี 2567 มีผู้ประกอบการในธุรกิจร้านทองทั่วประเทศที่จดทะเบียนนิติบุคคลและยังคงดำเนินเนินกิจการอยู่จำนวนทั้งสิ้น 9,728 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีจำนวน 9,425 ราย สะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวของธุรกิจร้านทองในประเทศ โดยจำนวนผู้ประกอบการที่จัดตั้งใหม่มีจำนวน 491 ราย สูงขึ้นจากปี 2566 ที่มีจำนวน 457 ราย แสดงให้เห็นว่าธุรกิจร้านทองยังคงได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการรายใหม่ที่ต้องการเข้าสู่ตลาด
อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนร้านทองที่ดำเนินกิจการอยู่จะเพิ่มขึ้นขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้ประกอบการบางส่วนที่ต้องปิดกิจการ โดยปี 2567 มี 177 รายที่เลิกกิจการ สูงกว่าปี 2566 ที่มีจำนวน 163 ราย สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจ รวมถึงผลกระทบจากต้นทุนดำเนินงานที่สูงขึ้น และพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปซื้อขายทองทำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงานของธุรกิจร้านทองในช่วงที่ผ่านมาพบว่า รายได้รวมของผู้ประกอบการขนาดใหญ่และขนาดกลางยังมีทิศทางขยายตัว สะท้อนถึงความสามารถในการรักษาฐานลูกค้าและการปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มของตลาด
ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดเล็กมีแนวโน้มเผชิญกับภาวะถดถอยของรายได้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากแพลตฟอร์มออนไลน์ ประกอบกับการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปลงทุนในทองคำแท่งและทองคำล่วงหน้ามากกว่าการซื้อทองรูปพรรณ รวมถึงต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ทำให้ร้านทองขนาดเล็กต้องเผชิญกับแรงกดดันทางธุรกิจที่สูงขึ้น
สำหรับในปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัว จากแรงกดดันของภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ กำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศยังคงอ่อนแอจากค่าครองชีพที่สูงและปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการซื้อทองรูปพรรณลดลง
เนื่องจากทองรูปพรรณจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่มักได้รับผลกระทบโดยตรงจากกำลังซื้อที่ถดถอย โดยเฉพาะร้านทองขนาดเล็กซึ่งเป็นกลุ่มผู้เล่นที่มีจำนวนมากที่สุดในตลาดคิดเป็นสัดส่วนราว 80% ของจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมด จะได้รับผลกระทบมากที่สุด
เนื่องจากร้านทองกลุ่มนี้ดำเนินธุรกิจในรูปแบบดั้งเดิมที่เน้นการซื้อขายทองคำรูปพรรณเป็นหลัก ทำให้รายได้หลักของร้านทองขนาดเล็กมาจากค่ากำเหน็จในการขายทองรูปพรรณ ซึ่งมีแนวโน้มลดลงตามปริมาณการซื้อทองรูปพรรณใหม่ที่คาดว่าจะซบเชา
นอกจากนี้แนวโน้มราคาทองคำที่ทรงตัวในระดับสูงยังส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้เกิดแรงขายทองเพื่อทำกำไรมากกว่าการซื้อทองใหม่ ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันต่อรายได้ของร้านทองที่พึ่งพาค่ากำเหน็จเป็นหลัก
หากราคาทองคำยังคงมีความผันผวนสูงผู้บริโภคอาจชะลอการซื้อทองรูปพรรณและหันไปลงทุนในทองคำแท่งหรือผลิตภัณฑ์อนุพันธ์แทน ทำให้ยอดขายของร้านทองแบบดั้งเดิมลดลงต่อเนื่อง
อีกปัจจัยที่อาจส่งผลต่อรายได้ของร้านทองคือ รายได้จากบริการฝากทองคำ (Gold Pawning) ที่มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากมาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของโรงรับจำนำซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคเลือกใช้บริการโรงรับจำนำของภาครัฐหรือเอกชนที่คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าร้านทอง แทนการนำทองไปขายฝากกับร้านโดยตรง ส่งผลให้รายได้จากค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยของร้านทองลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มร้านทองขนาดเล็กที่พึ่งพาธุรกิจขายฝากเป็นแหล่งรายได้เสริม
นอกจากนี้ มาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้น เช่น กฎเกณฑ์ด้านการป้องกันการฟอกเงิน (AML) และการรายงานธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับทองคำ อาจเพิ่มต้นทุนทางธุรกิจให้กับร้านทอง โดยเฉพาะในด้านระบบการตรวจสอบธุรกรรมและการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายเล็กที่มีทรัพยากรจำกัด
อย่างไรก็ตาม ร้านทองขนาดใหญ่ที่สามารถปรับตัวเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์และให้บริการลงทุนทองคำแบบดิจิทัล จะยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ โดยเฉพาะธุรกิจออมทองออนไลน์, การซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold Futures),และ Gold ETFs ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากนักลงทุนที่ต้องการเข้ามาเก็งกำไรในช่วงราคาทองคำขาขึ้น หรือเพื่อกระจายความเสี่ยงในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน
นอกจากนี้ ตลาดส่งออกทองคำอาจเป็นอีกช่องทางที่ช่วยลดแรงกดดันของตลาดในประเทศ โดยร้านทองที่สามารถขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดที่มีอุปสงค์สูง เช่น อินเดีย จีน และตะวันออกกลาง อาจมีโอกาสสร้างรายได้เสริมจากการส่งออกทองคำแทนการพึ่งพาดลาดในประเทศเพียงอย่างเดียว
สำหรับราคาทองคำในปี 2568 คาดว่ามีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่ยังคงเผชิญกับความผันผวนจาก
ปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเงิน และภูมิรัฐศาสตร์ โดยปัจจัยที่สนับสนุนราคาทองคำให้ยังอยู่ในระดับสูง ได้แก่
แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งคาดว่าจะลดลง 2-3 ครั้งตลอดปี 2568 หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีสัญญาณชะลอตัว การลดอัดราดอกเบี้ยดังกล่าวจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลง ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับทองคำในฐานะ สินทรัพย์ปลอดลอดภัยที่ไม่มีดอกเบี้ยและกระตุ้นแรงซื้อจากนักลงทุนทั่วโลก ตลอดจนความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่อาจผลักดันราคาทองคำให้สูงขึ้น ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ความตึงเครียดในยุโรป และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน อาจเพิ่มความผันผวนให้กับตลาดการเงินโลก ทำให้นักลงทุนเพิ่มการถือครองทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง
ไทยตอนบนเกิดพายุฤดูร้อน 6-8 มี.ค.
https://www.innnews.co.th/news/news-general/news_850026
ประเทศไทยตอนบนเกิดพายุฤดูร้อน 6-8 มี.ค. 68 เตือนระวังฝนตกหนัก ฟ้าผ่า ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง
วันที่ 5 มีนาคม 2568 พยากรณ์[อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ทั้งนี้เนื่องจากความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัด
โดยหลีกเลี่ยงการทำงานหรือการประกอบกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นระยะเวลานาน ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนอง กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง
ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงไว้ด้วย สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังอ่อน ทำให้ภาคใต้มีฝนน้อยในระยะนี้
อนึ่ง บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางได้แผ่ลงมาถึงประเทศจีนตอนใต้แล้ว คาดว่าจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ในวันพรุ่งนี้ (6 มี.ค. 68) ส่งผลทำให้มีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน