JJNY : 5in1 รักชนกชวนจับตา│ปารมีถามเดือด ศธ.│ม็อบชาวนาประชิดทำเนียบ│หุ้นร่วง 10.77จุด│รมต.ต่างประเทศญี่ปุ่นโวยรัสเซียแบน

สส.รักชนก เผย “ประกันสังคม” พร้อมเปิดข้อมูลประชุมใน 7 วัน ชวนจับตา ลั่น ถึงเวลาโกรธต้องโกรธให้หนัก
https://ch3plus.com/news/political/morning/434412
  
 
“รักชนก” นำทีม สส.พรรคประชาชน เข้าพบผู้บริหารสำนักงานประกันสังคม หารือนาน 2 ชม. ก่อนที่ สปส.ยินดีเปิดเผยผลประชุมของ 4 บอร์ดประกันสังคม ภายใน 7 วัน เจ้าตัวลั่น ขอให้จับตาสิทธิประโยชน์บำนาญมาตรา 39 ฝากถึงประชาชนถึงเวลาโกรธ ต้องโกรธให้มากกว่านี้
 
น.ส.รักชนก ศรีนอก ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ พร้อมด้วยทีม สส.พรรคประชาชน เดินทางเข้าพบ นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสปส. และผู้บริหาร เพื่อหารือแนวทางการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการบริหารจัดการประกันสังคม โดยเปิดให้สื่อเก็บภาพก่อนประชุม แต่ไม่อนุญาตให้เข้าฟังการประชุม
 
หลังหารือร่วมกัน นานกว่า 2 ชั่วโมง ทั้ง 2 ฝ่ายได้ออกมาแถลงร่วมกัน เลขาธิการประกันสังคม กล่าวว่า การหารือวันนี้ เป็นการคุยประเด็นหลักๆ ประเด็นแรก เป็นเรื่องของหนังสือที่ผู้อำนวยการกองกฎหมาย ได้ออกหนังสือกำชับเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูล ในส่วนนี้ทาง สปส. ยืนยันว่า เป็นการกำชับตามหน้าที่ปกติ ในฐานะผู้บังคับบัญชาให้เจ้าหน้าที่ทุกคน ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. 2 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร
ส่วนประเด็นที่ 2 เป็นการหารือถึงการเผยแพร่ผลการประชุมหรือมติของบอร์ดต่างๆ ทั้ง 4 บอร์ด ได้แก่ บอร์ดประกันสังคม (บอร์ดใหญ่) บอร์ดแพทย์ ,บอร์ดตรวจสอบ และบอร์ดอุทธรณ์ ให้เผยแพร่บนเว็บไซต์ ซึ่งทางเลขาธิการ สปส. ยืนยันว่า ในส่วนนี้สามารถทำได้ แต่อาจจะขอเวลาภายในสัปดาห์หน้า หรือ ประมาณ 7 วัน เพื่อไปดำเนินการ
 
ส่วนประเด็นที่ 3 หารือถึงสิทธิการรักษา ที่จะรวม กองทุนประกันสังคม เข้ากับสิทธิการรักษาของ สปสช. เลขาธิการ สปส.กล่าวว่า ในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำมาระยะหนึ่ง และต้องไปดำเนินการต่อ แต่ต้องขับเคลื่อนร่วมกันว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร จากนั้น ส.ส.รัชนก ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงหนังสือเวียนของผอ.กองกฎหมาย ยืนยันว่า เป็นหนังสือเวียนปกติ แต่เท่าที่อ่านครบทุกฉบับแล้ว ทั้ง 3 ฉบับ คือ การไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้ประกันตน 

การห้ามส่งข้อมูลที่ยังไม่เป็นทางการเข้าไปในแอปพลิเคชั่น และฉบับที่ 3 คือหนังสือล่าสุด คุณรัชนก กล่าวว่า ถ้าพูดกันตรงๆก็ยืนยันว่า เป็นหนังสือที่ไม่ปกติ แต่เข้าใจทางเลขาธิการสปส. ว่า อาจจะมีคนสั่งมาอีกที ทางเลขาฯก็ต้องทำตามคำสั่ง แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า ใครบอกมา จึงต้องรับจบเอง  แต่จากการพูดคุย ยืนยันว่า หนังสือฉบับดังกล่าวไม่มีกฎหมายอะไรรองรับ ข้อมูลบางอย่างถูกบังคับทางกฎหมายให้เปิดเผยอยู่แล้ว
 
ดังนั้นจากนี้ จะได้รับความร่วมมือที่ดีหาก คณะกรรมาธิการฯ ขอข้อมูลมา- คุณรัชนก กล่าวถึงการหารือมติที่ประชุมของบอร์ดสปส.ทั้ง 4 ชุด ที่ต้องเปิดเผยกับประชาชน ตาม พรบ.ข้อมูลข่าวสาร ที่ทางเลขาธิการ สปส. ยืนยันแล้วว่า จะเปิดเผยผ่านทางเว็บไซต์ ภายใน 7 วัน โดยจะเริ่มเปิดผลการประชุมและมติของบอร์ดใหญ่ ภายหลังมีคณะกรรมการบอร์ดที่มาจากการเลือกตั้ง ในสัดส่วนผู้ประกันตน จากนั้นจะทยอยเปิดมติ และผลการประชุมในช่วงเวลาอื่นตามมา ซึ่งคุณรัชนก ยืนยันว่า จะจับตาในเรื่องนี้ หากพบว่า ยังไม่เปิดเผย อาจจะมีเรื่อง ที่ทำให้สำนักงานประกันสังคมรู้สึกไม่สบายใจ ก็ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้า ส่วนการควบรวมสิทธิการรักษา เข้าด้วยกัน คุณรัชนก กล่าวว่า เข้าใจ สปส.ว่า ไม่สามารถตัดสินใจได้ เพราะเป็นเรื่องนโยบาย ระหว่างกระทรวงฯ
แต่ถ้ารอถามกันไปมา รวมแล้ว 23 ปี แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ดังนั้น ต้องไปถามนายกรัฐมนตรีให้ตัดสินใจ เพราะทั้ง 2 กระทรวงตัดสินใจไม่ได้ วันนี้นายกฯต้องทำให้เรื่องนี้พร้อม และต้องกำหนดระยะเวลามาเลยว่า จะศึกษาในระยะเวลาเท่าไร และอีกกี่ปี เรื่องการควบรวมจะเกิดขึ้น
 
ในช่วงท้าย เลขาธิการประกันสังคม ได้ชี้แจง ประเด็น ที่มีการนำเสนอว่า จะนำกองทุนประกันสังคมออกนอกระบบ นั้นว่า จากการสำรวจความเห็นราชการประมาณ 2,000 คน ที่อยู่ภายในสปส. มีทั้งผู้ที่เห็นด้วย และคนไม่เห็นด้วย คิดเป็นครึ่งต่อกัน โดยเฉพาะคนที่ไม่เห็นด้วย ถึงความชัดเจนเรื่อง ส่วนงาน สวัสดิการ และเงินเดือน ดังนั้นต้องมีความชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร
 
ด้านคุณรัชนก ให้สัมภาษณ์หลังแถลงข่าวว่า การพูดคุยครั้งนี้ เรื่องมติและรายงานผลการประชุมบอร์ดประกันสังคม ถือว่านับเป็นความสำเร็จมากที่สุด เพราะตั้งแต่มีบอร์ด ไม่เคยมีการเปิดเผยออกมา พร้อมขอให้จับตาสิทธิประโยชน์บำนาญมาตรา 39 ลั่น ถึงเวลาโกรธ ต้องโกรธให้มากกว่านี้



ปารมี ถามเดือด ศธ.จะเปลี่ยนอีกแล้วหรือ หลังเล็งดึงโอเน็ตเป็นเกณฑ์สอบเข้ามหา’ลัย
https://www.matichon.co.th/politics/news_5076153

ปารมี ถามเดือด จะเปลี่ยนรูปแบบการสอบเข้ามหา’ลัยอีกแล้วหรือ หลังรมช.ศธ.เล็งใช้โอเน็ตเป็นเกณฑ์เข้ามหา’ลัย-เลื่อนสอบเร็วขึ้น ซัดยิ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษามากขึ้นไปอีก
 
จากกรณี นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ออกมาเปิดเผยว่า การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอเน็ต เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่ามีชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งขาดแรงจูงใจ เนื่องจากไม่สามารถนำคะแนนสอบไปใช้ในการเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ ศธ.จึงคิดแนวทางในการแก้ปัญหา 2 วิธี คือ 
1. ปรับปฏิทินการสอบโอเน็ตของนักเรียนม.6 จากเดิม สอบในภาคเรียนที่ 2 มาเป็นสอบในภาคเรียนที่ 1 
และ 2. นำคะแนนโอเน็ตในวิชาที่เทียบเคียงกับการทดสอบความถนัดทั่วไปหรือ TGAT และการทดสอบความถนัดทางวิชาการ/วิชาชีพ เช่น การสอบวิชาภาษาอังกฤษซึ่งมีมาตรฐาน เดียวกับข้อสอบภาษาอังกฤษของ TGAT-TPAT มาใช้ในการเข้ามหาวิทยาลัย
 
โดยจะเตรียมหารือ กับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ ทปอ. ในวันที่ 5 มีนาคม ตามที่เป็นข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ปารมี ไวจงเจริญ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับ
 
กรณีนี้ดิฉันติดใจว่าจะเปลี่ยนรูปแบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกแล้วเหรอคะ ตามหลักการแล้วควรต้องแจ้งนักเรียนล่วงหน้า 3 ปีนะคะ เพื่อให้นักเรียนได้เตรียมตัวตั้งแต่ ม.4 และอยากเตือนความจำกระทรวงศึกษาธิการว่า เพิ่งเลิกใช้คะแนน ONET เมื่อตอน TCAS 65 นี่เองนะคะ TCAS รอบหน้าคือ TCAS 69 จะเปลี่ยนกันอีกแล้วเหรอคะ เปลี่ยนกลับไปกลับมาบ่อยมาก นโยบายไม่เคยคงที่เลย
 
และถ้ากระทรวงศึกษา จะนำ ONET มาใช้เป็นองค์ประกอบในการเข้ามหาวิทยาลัย ท่านก็ต้องเลิกสอบ TGAT TPAT และ A-Level ค่ะ เพราะ 1.นักเรียนจะเครียดค่ะ สอบซ้ำซ้อนมากมายเกินไป และ 2.ยิ่งสอบซ้ำซ้อน นักเรียนและผู้ปกครองจะยิ่งเดือดร้อนเพราะมีค่าใช้จ่ายสูง ไม่ใช่แค่ค่าสมัครสอบ แต่ค่าเดินทาง ค่ากิน ค่าเช่าหอพัก (เพราะสนามสอบมักอยู่แต่ในเมืองใหญ่หรือในอำเภอเมือง) เงินทั้งนั้นนะคะ และยิ่งจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษา มากๆ ยิ่งขึ้นไปอีก ทุกวันนี้ก็เหลื่อมล้ำมากจนไม่รู้จะมากยังไงแล้วค่ะ
 
ทุกวันนี้ ระบบ TCAS รอบที่ 1 (รอบ Portfolio) ซึ่งมีข้อดีคือ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับนักเรียนที่เบื่อกับการสอบมากมายหลายอย่างยุบยับ แต่มีข้อที่ทุกฝ่ายควรต้องคำนึงถึงให้มากๆ คือ รอบ Portfolio มีความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงที่สูงมาก เพราะกว่าที่เด็ก ม.6 หนึ่งคนจะได้มาซึ่ง Portfolio ที่จะใช้ยื่น เด็กคนนั้นจะต้องมีต้นทุนที่จ่ายในระหว่างทางที่สูงมากทีเดียว เพราะผลงานใน Portfolio ต้องเป็นผลงานที่มีมาตรฐานสูง (อาจต้องถึงผลงานระดับประเทศ) จึงจะฟันฝ่าชนะนักเรียนคนอื่นที่ร่วมยื่นมาด้วยกัน ซึ่งนักเรียนที่ฐานะทางบ้านไม่ดีนัก จะขาดโอกาสตรงนี้ไปอย่างแน่นอน และยังมีประเด็นว่าค่าสมัครรอบ Portfolio ของหลายๆ มหาวิทยาลัยราคาแพงมากอีกด้วยค่ะ
 
ดิฉันจึงอยากให้กระทรวงศึกษา, กระทรวง อว. และ ทปอ. ร่วมกันคิดทบทวนให้ละเอียดรอบคอบ บนหลักการที่ให้นักเรียนสอบน้อยที่สุด แต่ยุติธรรมมากที่สุด และอยู่บนพื้นฐานของการเปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้อย่างเสมอภาค
 
และในส่วนของกระทรวงศึกษา ที่ต้องการใช้คะแนน ONET เพื่อนำมาพัฒนาคุณภาพการศึกษา ดิฉันคิดว่าเป็นคนละประเด็นกัน ถ้ากระทรวงศึกษาต้องการจะพัฒนาการศึกษาไทยให้ดีขึ้นจริงๆ ท่านควรไปแก้ที่ปัญหาคุณภาพครูและระบบที่ดึงครูออกจากห้องเรียน, หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนที่ต้องสอดคล้องกับโลกยุคใหม่และตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน รวมทั้งกระบวนการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ค้นพบตัวเอง ได้แสดงตัวตนที่แท้จริงและฉายพลังแห่งความสามารถที่แท้จริงของตัวเองออกมา กระทรวงศึกษาอย่าทำสิ่งที่ผิดฝาผิดตัวซ้ำซากอีกเลยค่ะ

https://www.facebook.com/ajarnjuang/posts/pfbid027ybgAWjnJQYnyEDVch6gzY1kYL9FxVUpvaarZC2y8p1wPcYFXnpF9BhbqDPpGWksl



ม็อบชาวนาประชิดทำเนียบ ทวงประกันราคาข้าว 11,000 บาท ถ้า 7 วันไม่คืบจะมาใหม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_5075800

‘ม็อบชาวนา’ ทวงข้อเรียกร้องประกันราคาข้าว 11,000 บาท ยื่นรัฐตั้ง กก.สอบ ‘พิชัย’ บริหารจัดการผิดพลาด ทำชาวนาเสียหายแสนสาหัส ลั่น 7 วันมาอีก หากไม่คืบหน้า
 
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 4 มีนาคม กลุ่มเครือข่ายชาวนาจากหลายจังหวัด อาทิ จ.พิจิตร นครปฐม สุพรรณบุรี อ่างทอง ลพบุรี และพระนครศรีอยุธยา  กว่า 200 คน ได้รวมตัวกันที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก่อนเคลื่อนขบวนมาปักหลักชุมนุมที่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ใกล้กับทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือข้อเรียกร้องถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถึงปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวนา โดยมี นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับมอบหนังสือ
 
นายณัฐธชลัยย์ มยูรศักดิ์ ในฐานะผู้ประสานงานกลุ่มชาวนา เปิดเผยว่า วันนี้ที่เดินทางมาเพื่อร่วมกันยื่นหนังสือถึงนายกฯ กลั่นจากใจและน้ำตาของชาวนา ขอให้รัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา โดยการประกันราคาข้าวอยู่ที่ตันละ 11,000 บาท ในค่าความชื้น 15% หากเกรงว่าจะเป็นการทำผิดกฎหมายนั้นก็ขอออกเป็นพระราชกำหนด ซึ่งตนได้เตรียมรายชื่อชาวนา 50,000 ชื่อ พร้อมที่จะมอบให้กับรัฐบาล
 
นายณัฐธชลัยย์กล่าวว่า นอกจากนี้ ขอให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการละเมิดต่อชาวนาของ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ในการบริหารจัดการที่ผิดพลาด ทำให้ชาวนาได้รับความเสียหายอย่างแสนสาหัสในทุกวันนี้ ซึ่งมองว่าอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย พวกตนกำลังรวบรวมรายชื่อเพื่อไปแจ้งความด้วยเช่นกัน แต่อยากให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้นก่อน ส่วนจะถึงขั้นจะล่ารายชื่อเพื่อขอให้นายกฯถอดถอนนายพิชัยออกจากตำแหน่งหรือไม่นั้น ตนไม่ขอออกความเห็น
 
เมื่อถามว่า ได้กำหนดกรอบระยะเวลาการดำเนินการของรัฐบาลอย่างไร นายณัฐธชลัยย์กล่าวว่า หากวันนี้รัฐบาลได้รับหนังสือแล้ว ภายใน 7 วัน ตนจะมาติดตามทวงถาม แต่จะมาเพียงแค่แกนนำก่อน โดยยืนยันว่าจะมาอย่างสันติ อยากให้รัฐบาลมีความเห็นอกเห็นใจกับชาวนา ที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติ ซึ่งเป็นประเทศกสิกรรม เกษตรกรล้วนๆ ที่ถือว่าเป็นส่วนพัฒนา และขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศ หากภายใน 7 วัน ยังไม่มีความคืบหน้า อาจจะมีการยกระดับการชุมนุม เพราะมาตรการที่รัฐบาลออกมาก่อนหน้านี้ไม่ตอบสนองความต้องการในการแก้ไขปัญหาของชาวนาอย่างจริงจัง มีหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่ยากที่ชาวนาจะทำได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่