เขาบอกว่าสุขที่สุด @ นครพนม 3วัน2คืนไม่พอจริง ๆ

สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ ผู้ชอบการเดินทางทุกท่าน 
วันนี้ได้มีโอกาสมาแบ่งปันประสบการณ์การเดินทางไปเที่ยวจังหวัดนครพนมแบบสั้น ๆ 3 วัน 2 คืนค่ะ 

จุดเริ่มต้นก็มาจากตั๋วเครื่องบินราคาไม่แพงมากเพราะจองตอนโปรแอร์เอเซียเป็นเหตุค่ะ ได้ไป-กลับมา 1,300บาท ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองแต่เช้าบินแป๊บเดียวก็ถึงสนามบินนครพนมแล้ว

เนื่องจากเป็นแก๊งค์เพื่อนสาวที่เลยคำว่าสาวมาพอประมาณ 3คน เราจึงเลือกเช่ารถขับเองโดยนัดให้รถมาส่งเราที่สนามบิน ได้โตโยต้ายาริสราคาวันละ 800บาท เช่า3วัน

รับรถแล้วก็เข้าเมืองก่อนเลย เพราะท้องมันร้องบอกว่าพวกเธอยังไม่ได้กินข้าวกันเด้อสาว 

ร้านพรเทพอาหารเช้าคือเป้าหมายในช่วงสายของวันนี้

ด้วยความหิวโหยพวกเราโซ้ยต้มเส้นและข้าวจี่กันรวดเดียวหมดแล้วตบท้ายด้วยกาแฟเวียดนามรสชาติเข้มข้น สำหรับมื้อเช้าก็เพียงพอให้ไปต่อได้ 

มาถึงนครพนมจะไม่ไปสักการะพระธาตุพนมได้อย่างไร ยิ่ง จขกท. เกิดปีวอกด้วยแล้วต้องไปกราบให้ได้ 

มุ่งหน้า อ.ธาตุพนมไม่นานก็มาถึง งานประจำปีเพิ่งจบไปร้านค้าต่างๆ กำลังเก็บของกลับกัน คนบางตาไปมากอาจเพราะเป็นวันธรรมดาด้วย เราเลยได้กราบพระธาตุกันสบาย ๆ 


กราบพระธาตุทำบุญแล้วก็ออกจากวัดจะไปหาอาหารกลางวันกับร้านที่ใคร ๆ ก็บอกว่าเมนูปลาแม่น้ำเด็ดมาก ร้านเป๋นปลาเป็นคือเป้าหมายของพวกเราค่ะ

ระหว่างขับรถจากอำเภอธาตุพนม มุ่งหน้าไปอำเภอท่าอุเทนก็เล่าประวัติคร่าวของพระธาตุพนมให้เพื่อนสาวฟังว่ามีฐานของพระธาตุองค์เดิมที่หน้าวัดแต่เราไม่ได้เดินไปดู ขณะนั้นเองเพื่อนสาวของเราเริ่มรู้สึกตัวว่าโทรศัพท์หาย จึงโทรเข้าเครื่องโชคดีที่มีเจ้าหน้าที่ของวัดรับสายบอกว่าเก็บโทรศัพท์ได้ เราจึงต้องย้อนกลับไปที่วัดกันอีกครั้งกับระยะทางที่ไกลออกมา30กว่ากิโลเมตร แต่ก็โชคดีที่ได้โทรศัพท์คืนค่ะ

กว่าจะไปถึงร้าน เป๋นปลาเป็นก็เกือบบ่ายสาม เมนูเด็ดจุ่มปลาเผาะจัดมา1ชุด

อิ่มเอมกับอาหารอร่อยและบรรยากาศริมโขงที่สวยสงบพวกเราชาวแก๊งค์ก็ไปวัดพระธาตุท่าอุเทนกันต่อ

พระธาตุท่าอุเทนเป็นพระธาตุประจำวันศุกร์เราจึงพาเพื่อนสาว2คนที่เกิดวันศุกร์ทั้งคู่มาไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล

ตอนนี้องค์พระธาตุกำลังบูรณะทาสีใหม่เลยมีนั่งร้านอยู่แบบนี้



ออกจากวัดท่าอุเทนก็เอาของไปเก็บที่โรงแรมแล้วมาเดินเที่ยวรับลมเย็นและแวะไหว้พระยาศรีสัตตนาคราช แลนด์มาร์คสำคัญของเมืองนครพนม


บรรยากาศยามค่ำที่นครพนมเหมาะแก่การนั่งชิลล์เป็นอย่างยิ่ง ผู้คนมาออกกำลังกายบ้างเดินเล่นบ้างคุยกันบ้าง เดินเล่นเพลิน ๆ แป็บเดียวก็2ทุ่ม พวกเราก็ย้ายตัวเองกลับไปนอนพัก จบไปหนึ่งวัน

วันที่ 2 พวกเรานัดกันที่ห้องอาหารเช้าเวลา 6.30น. เพราะเราจะไปถ้ำนาคา อุทยานแห่งชาติภูลังกา
จ.บึงกาฬ กันค่ะ 

เช้านี้อากาศดี ลมเย็น เมฆครึ้มนิดหน่อย ภาวนาอย่าให้ฝนตกเลยค่ะ เวลาเดินขึ้นจะได้ไม่ยากเกินไป

 ขับรถออกจากนคนพนมมุ่งหน้า อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ ถึงถ้ำนาคาเกือบสิบโมง มาแบบวอร์คอินเพราะคิดว่าวันธรรมดาคนคงไม่เยอะ แต่มาถึงก็เห็นรถจอดอยู่เต็มลาน เสียค่าจอด 20 บาท แล้วไปลงทะเบียนเข้าชมถ้ำคนละ 30 บาท 

ที่นี่ห้ามเดินขึ้นเองต้องมีไกด์นำทางโดยมีค่าบริการ 500บาทต่อ 1 กลุ่ม ไม่เกิน 5 คน 

เมื่อติดต่อไกด์แล้วซื้อข้าวเหนียวหมูติดกระเป๋าพร้อมน้ำดื่มและลูกอมนิดหน่อย เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยแล้วก็เดินขึ้นกันเลย 

ระหว่างทางไกด์ก็จะคอยอธิบายถึงจุดสำคัญต่าง ๆ  พร้อมทั้งดูแลหากเรามีอาการเหนื่อยล้าหน้ามืดเป็นลม ยาหอมยาลม น้ำดื่มหรือเครื่องดื่มชูกำลังจะมีเตรียมพร้อมในเป้บนหลังไกด์อยู่เสมอ


พวกเราเดินขึ้นบันไดขั้นแล้วขั้นเล่าในที่สุดก็ขึ้นมาถึงด้านบนจนได้
 


จุดนี้คือเศียรที่ 1 ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ บวกกับตำนานท้องถิ่นความเชื่อเกี่ยวกับเมืองรัตภานครที่มีท่านอือลือราชาเป็นเจ้าเมือง ทำให้สถานที่นี้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ่น


หลังจากใช้เวลาด้านบนกันจนพอแล้ว พวกเราจึงเดินลง ขาขึ้นว่าเหนื่อยแล้ว ขาลงไม่เหนื่อยเท่าแต่เล่นเอาขาสั่นเข่าอ่อนเลยทีเดียว ลงมาถึงด้านล่างใช่เวลาไปเกือบ5ชั่วโมง เราก็กลับสู่จังหวัดนครพนม

ก่อนเข้าสู่ตัวเมืองขอแวะชมสะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่ 3 สักครู่


ความเงียบสงบไม่วุ่นวาย ต่างคนต่างดำเนินชีวิตตามวิถีของตัวเองเป็นภาพที่มองแล้วสบายตาสบายใจ

ชมสะพานที่สวยงามแล้วก็เข้าเมืองไปหามื้อเย็นกันดีกว่า มื้อเย็นก็หนีไม่พ้นเมนูปลา ก็ของเขาดีสดอร่อย


กินมื้อเย็นที่ร้านคิดเช่นโขง ร้านอยู่ใกล้วัดมหาธาตุบรรยากาศดีบังเอิญมีที่นั่งที่ระเบียงชั้น 2ว่างเราเลยได้นั่งชมวิวและสีสันฝั่งลาวไปด้วย หมดแรงแล้ววันนี้กลับไปนอนยืดเส้นยืดสายที่โรงแรมกันเถอะ

เช้าวันที่ 3 และด้วยความหาทำของพวกเราแม้เมื่อวานจะเหนื่อยล้าปานใด เช้านี้เราตื่นตีห้าเพื่อมารอใส่บาตรพระหน้าวัดมหาธาตุกันค่ะ
แสงแรกเริ่มฉาย พระคุณเจ้าก็เริ่มปฏิบัติกิจเดินโปรดญาติโยมที่มารอใส่บาตร อยากบอกว่านี่เป็นการรอใส่บาตรที่อิ่มตาอิ่มใจมากค่ะ


ใส่บาตรเสร็จเราก็แวะช๊อปผักสดกันต่อค่ะ ผักต่างปลูกอยู่ริมโขงตัดมาขายกันสดๆ ราคาไม่แพง ทั้งกะหล่ำปลี คะน้า ถั่วต่าง ๆ 


ช๊อปเสร็จกลับโรงแรมทานอาหารเช้าแล้วรีบเช็คเอาท์เพราะพวกเราก็หาทำอยากข้ามไปฝั่งลาวกันอีก

ฝั่งตรงข้ามคือเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สามารถข้ามเรือด้วยบัตรผ่านแดนชั่วคราวได้ โดยใช้เพียงบัตรประชาชนใบเดียวทำเอกสารเสียค่าธรรมเนียมนิดหน่อย ค่าข้ามเรือไปกลับและค่าผ่านด่านลาวเข้าและออก เบ็ดเสร็จคนละ 260 บาท

เมื่อออกมาหน้าด่านลาวก็เช่าเหมารถตุ๊กๆ ให้พาเราไปถ้ำนางแอ่น และท่าฝรั่ง ราคา1000บาทไทย ถ้าไม่ได้แลกเงินมาก็บอกคนขับให้พาไปร้านแลกเงินได้ หรือจะใช้เงินไทยจ่ายก็ได้ แต่จะขาดทุนนิดหน่อย

ถ้ำนางแอ่นมีค่าเข้าชม 50,000กีบ และสามารถล่องเรือเที่ยวในถ้ำได้มีค่าบริการเพิ่มคนละ 150,000กีบ อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 1บาท:600กีบ ถ้ำใหญ่และสวยมาก เดินชมเสร็จก็ไปแวะท่าฝรั่งทานอาหารกลางวันเบา ๆ ที่นี่คล้ายกับเรือนแพแถวกาญจนบุรีมากค่ะ



ออกจากท่าฝรั่งก็บ่ายโมงพวกเราก็ข้ามกลับมาฝั่งไทย ตอนบ่ายสามเราต้องไปสนามบินกัน

ดังนั้นเวลาเหลือนิดหน่อยก็แวะไปซื้อของฝากติดมือกลับกรุงเทพกันก่อน

รถเช่าของเราคืนที่สนามบินได้เลย 

ได้เวลาบอกลานครพนม เมืองที่ตั้งอยู่ริมโขงที่สวยงามอีกเมืองหนึ่งตามสโลแกนของจังหวัดที่บอกว่า

"สุขที่สุด@นครพนม"

ใครมีความประทับใจในจังหวัดนี้อย่างไรบ้างมาร่วมแชร์กันได้นะคะ 

แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางครั้งหน้าค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่