รู้ไหมว่า บิล เกตส์ ผู้เป็น 'ไอดอลของการเรียนไม่จบ' ที่จริงเขาอยากเรียนมหาวิทยาลัยให้จบ และไม่สนับสนุนให้ใครดร็อปเรียน

หากย้อนไปในช่วงทศวรรษ 1990 และ 2000 อันเป็นยุคก่อนจะมีสมาร์ทโฟน น่าจะไม่มีบริษัท IT เจ้าไหนยิ่งใหญ่กว่า Microsoft และมหาเศรษฐีผู้ 'รวยที่สุดในโลก' ของยุคนั้นก็คือผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Microsoft อย่างยาวนานอย่าง ‘บิล เกตส์’ โดยเหตุผลที่ Microsoft ร่ำรวยขนาดนั้นก็เพราะบริษัทนี้ในยุคนั้นเป็นบริษัทที่เป็นเจ้าของสิ่งที่เรียกว่า 'ซอฟต์แวร์ที่มีทุกเครื่อง' คือคอมพิวเตอร์แทบทั้งหมดในยุคนั้นใช้ระบบปฏิบัติการของ Microsoft รวมถึงพวกโปรแกรมที่ใช้ทำงานมาตรฐานแบบ Microsoft Office

ทั้งหมดนี้ทำเงินให้ Microsoft มหาศาล และทั้งหมดน่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าบิล เกตส์ไม่ได้มองการณ์ไกลว่าในอนาคตโลกจะเต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ทุกเครื่องจะต้องการ 'ระบบปฏิบัติการ' ที่ใช้งานง่ายมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970

และการมองการณ์ไกลนี้ก็ทำให้เกตส์ต้องดร็อปเรียนจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดและออกมาตั้งบริษัทตั้งแต่ยุคนั้น จนสร้างตำนานให้กับคนรุ่นหลังมาเล่ากันว่า คนรวยที่สุดในโลก คือคนที่เรียนมหาวิทยาลัยไม่จบ และก็ไม่น่าแปลกที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยมักพูดกันว่าจะเลียนแบบเขา แม้ว่าส่วนใหญ่ที่ทำตามอาจไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากนักก็ตาม

อย่างไรก็ดี ในหนังสือชีวประวัติของเกตส์เล่มล่าสุดอย่าง ‘Source Code’ สิ่งที่จะเห็นก็คือ เกตส์ไม่ได้ 'ตั้งใจจะเรียนไม่จบ' รวมถึง 'เสียดายที่ตัวเองเรียนไม่จบ' ด้วยซ้ำและการใช้สัมภาษณ์กับ CNBC เขาก็เน้นย้ำประเด็นนี้มาก

ถ้าจะเล่าย่อๆ ก็คือ ในช่วงที่เขาเข้ามหาวิทยาลัยพอดี มันเป็นช่วงที่เขาเล็งเห็นอนาคตว่าคนในโลกนี้จะมี 'คอมพิวเตอร์' ตามบ้านมากมาย ซึ่งก็ต้องเข้าใจว่าในทศวรรษ 1970 สิ่งที่เรียกว่า 'คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล' (personal computer) แบบทุกวันนี้ยังไม่มี คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องจักรที่พวกบริษัทจะใช้กันเท่านั้น เพราะมันทั้งเครื่องใหญ่โตและราคาสูง และการจินตนาการว่ามันจะกลายเป็น 'สิ่งของจำเป็น' ระดับ 'ทีวีและตู้เย็น' ในยุคนั้น คนก็จะมองว่ามันเพ้อฝัน

แต่เกตส์ (และเพื่อนๆ) ไม่คิดแบบนั้น เขาคิดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า คอมพิวเตอร์จะเป็นสิ่งที่ทุกบ้านมี และถ้าเป็นแบบนั้น ทุกบ้านก็ต้องการ 'ซอฟต์แวร์' ที่จะทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ ซึ่งคนทั่วไปก็ต้องการซอฟต์แวร์ที่ทำงานแบบเป็นมิตรกับผู้ใช้ และทำงานกับซอฟต์แวร์อื่นๆ ได้ โดยในวันนั้น ถ้าพูดคำว่าระบบปฏิบัติการคนทั่วไปก็คงไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่ทุกวันนี้มันกลายเป็นคำง่ายๆ ที่ไม่ต้องการคำอธิบายม่กนักว่ามันคืออะไร

และนั่นเอง เกตส์คือคนที่เล็งเห็นว่าโลกจะเปลี่ยนแปลง และเขามองว่าถ้าเขาสร้างระบบปฏิบัติการที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องได้ เขาจะร่ำรวยใหญ่โตสุดๆ และนั่นคือไอเดียในการก่อตั้ง Microsoft

อย่างไรก็ดี ด้วยจังหวะชีวิต เกตส์ก็ผุดวิสัยทัศน์ที่ว่านี้ตอนเขาเพิ่งเข้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างฮาร์เวิร์ดพอดี และเขาก็มองแล้วว่าถ้าเขารอจนเรียนจบแล้วค่อยมาตั้ง Microsoft ทุกอย่างจะไม่ทันการณ์ สิ่งที่เขาทำจึงเป็นการตั้ง Microsoft ไปพร้อมๆ กับเรียน แต่ผลสุดท้ายก็คือ งานของ Microsoft กินเวลาเขาเกินไป เขาต้องดร็อปเรียน และก็ไม่ได้กลับไปเรียนจนกระทั่งหมดสถานะนักศึกษา

แต่กลับกัน Microsoft ก็โตวันโตคืน จนในที่สุดโลกก็ได้ 'คนรวยที่สุดในโลก ผู้เรียนปริญญาตรีไม่จบ' อย่างที่เรารู้กัน และที่เหลือก็คือประวัติศาสตร์

สิ่งที่คนไม่ค่อยรู้ก็คือจริงๆ แล้วบิล เกตส์ ไม่สนับสนุนให้ใคร 'เรียนไม่จบ' แบบเขา เพราะเขาตระหนักดีว่าโลกธุรกิจมันโหดแค่ไหน คุณมีไอเดียดีแค่ไหนมันมีจังหวะให้คุณพลาดได้หมด และถ้าคุณดันล้มและไม่มีปริญญา ถ้าคุณตั้งธุรกิจใหม่ไม่ได้ ชีวิตคุณจะหายนะทันที

ว่ากันตรงๆ ถ้าดูรายละเอียดในชีวประวัติเล่มใหม่ของเขา สิ่งที่เราจะเห็นเลยก็คือ เขาพยายามจะหาคนมาช่วยงาน Microsoft เพื่อเขาจะได้กลับไปเรียนให้จบ ประเด็นคือ พวกเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันที่เขาไว้ใจ ไม่มีใครมาช่วยเขาได้เลย ทุกคนพยายามจะเรียนให้จบกันหมด แม้หลายคนจะเรียนจบกลับมาช่วยเขาที่ Microsoft ในภายหลังก็จริง แต่ตอน Microsoft ตั้งไข่ เกตส์คือคนที่ต้อง 'เสียสละ' เรียนไม่จบ เพื่อพัฒนาบริษัททำระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ก่อนที่โลกจะเข้าใจว่าจะทำบริษัทแบบนี้ไปทำไมก่อนใครอื่น

ดังนั้นไม่มีตรงไหนที่ บิล เกตส์ สนับสนุนให้คนเรียนไม่จบ หรือกระทั่งให้ดร็อปเรียนมาตั้งบริษัท และชีวประวัติของเขาก็ชี้ชัด

คำถามสุดท้าย ที่ CNBC น่าจะถามแทนใจหลายคนก็คือ เกตส์คิดว่าถ้าเขาตัดสินใจเรียนให้จบ แล้วค่อยทำ Microsoft แล้ว ประวัติศาสตร์จะต่างไปหรือไม่ Microsoft จะกลายมาเป็นบริษัทซอฟต์แวร์อันดับ 1 แห่งยุคที่ส่งเกตส์ให้เป็นคนรวยที่สุดในโลกได้หรือไม่? หรือเกตส์จะพลาดโอกาสเดียวในชีวิตที่จะสร้างบริษัทระดับนั้นไปเลย

คำตอบคือเขาก็ไม่รู้ มันไม่มีใครตอบได้ คำถามสไตล์ 'What if?’ เป็นคำถามที่เราสงสัยได้ไม่สิ้นสุดในประวัติศาสตร์ แต่จากมุมของเกตส์เอง เขาย้ำเสมอถึงคุณค่าของการเรียน และเขาก็พูดถึงบรรยากาศทางปัญญาในมหาวิทยาลัยที่นำมาสู่ไอเดียทางธุรกิจมากมาย และน่าจะไม่เคยพูดเลยแม้แต่ครั้งเดียวว่าเขาบรรลุสิ่งที่เขาทำได้ เพราะเขาเรียนไม่จบ

ที่มา : BrandThink
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่