JJNY : 5in1 จีนยัน 40ชาวจีนถูกส่งกลับ│สภาหวิดวุ่น!│ศาลยกคำร้องขอไต่สวน│ผบ.ตร.รับ ส่งกลับชาวอุยกูร์│ชาวนาเตรียมบุกทำเนียบ

จีนยืนยัน 40 ชาวจีนลักลอบเข้าไทยถูกส่งกลับแล้ว ด้านฟูอาดี้ชี้ รัฐบาลส่งอุยกูร์กลับจีนอาจละเมิดอำนาจศาล-ขัดมาตรา 13 พ.ร.บ.อุ้มหาย
https://thestandard.co/china-40-illegal-migrants/
 
 
สำนักข่าว Xinhua รายงานข้อมูลจากกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ระบุว่า ชาวจีน 40 คนที่เกี่ยวข้องกับการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายถูกส่งตัวกลับจากประเทศไทยในวันนี้ (27 กุมภาพันธ์) โดยเป็นความพยายามร่วมกันในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดนและปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของพลเมืองจีน
 
รายงานระบุว่า ปฏิบัติการดังกล่าวดำเนินการตามกฎหมายของจีนและไทย ตลอดจนกฎระเบียบระหว่างประเทศและแนวปฏิบัติที่ได้รับการยอมรับ พร้อมทั้งชี้ว่าเป็นตัวอย่างของความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างไทยและจีนในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ
 
ทั้งนี้ ยังไม่แน่ชัดว่าชาวจีนทั้ง 40 คนที่ปรากฏในรายงานนั้นเป็นกลุ่มผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์หรือไม่ โดยรายงานดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ปรากฏรายงานข่าวรถบรรทุกของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ต้องสงสัยว่าได้ขนส่งกลุ่มผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กว่า 40 คนออกจากห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสวนพลูและอาจส่งตัวกลับไปจีน โดยมีเครื่องบินจากจีนเดินทางมารับที่สนามบินดอนเมือง 
 
ผลกระทบไทยส่ง อุยกูร์ ให้จีน
 
ด้าน ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ นักวิชาการจากสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ความเห็นต่อกรณีการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ให้ทางการจีน โดยมองว่า หากเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นการตัดสินใจของฝ่ายการเมือง ซึ่งในแง่ผลกระทบที่ตามมา อาจมองได้ 2 มิติ โดยในมุมกฎหมาย คืออาจเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ เนื่องจากการส่งตัวกลุ่มชาวอุยกูร์ให้จีน เกิดขึ้นในระหว่างที่ศาลพิพากษาของไทยกำลังพิจารณาคำร้องปล่อยตัวชาวอุยกูร์เหล่านี้ 
เขายังตั้งข้อสังเกตว่า กรณีนี้อาจขัดต่อมาตรา 13 ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ที่ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า บุคคลนั้นจะไปตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย
ขณะเดียวกันยังอาจเข้าข่าย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เรื่องการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งภาคประชาสังคมอาจมีการยื่นฟ้องรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร หากมีการกระทำผิดกฎหมายในเรื่องนี้
 
ทั้งนี้ ฟูอาดี้ชี้ว่าไทยยังมีหน้าที่ในฐานะภาคีของ 2 อนุสัญญาระหว่างประเทศ คือภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี และภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ 
 
ขณะที่ผลกระทบในมิติด้านการเมืองรวมถึงเรื่องภูมิรัฐศาสตร์นั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่เกี่ยวข้องกับหลายประเทศ โดยตุรกีและสหรัฐฯ ไม่ต้องการให้ไทยส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์เหล่านี้กลับไปยังจีน ซึ่งมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ก่อนเข้ารับตำแหน่ง และเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ให้ความสนใจ 
โดยการส่งชาวอุยกูร์กลับไปให้จีนนั้นเขามองว่า ในแง่หนึ่งอาจเป็นการสื่อความหมายว่าไทยเลือกข้างจีนแล้วหรือไม่ ทั้งที่สหรัฐฯ ก็มีการเตือนและแสดงท่าทีว่าไม่อยากให้ทางการไทยส่งชาวอุยกูร์ให้จีน
 
อ้างอิง:
 
https://english.news.cn/20250227/ba8b7427bd9549e398ad4bf238fb0bb4/c.html



สภาหวิดวุ่น! รอมฎอน เสนอญัตติส่งกลับชาวอุยกูร์ ด้านอดิศร ลุกนับองค์สวน ทำปธ.รีบสั่งพักประชุม
https://www.matichon.co.th/politics/news_5069268

สภาหวิดวุ่น หลัง ‘รอมฎอน’ เสนอญัตติศึกษาผลกระทบชาวอุยกูร์ ด้าน ‘อดิศร’ มองเป็นเรื่องใหญ่ ขอนับองค์ประชุม ‘โรม’ โต้ จุดประสงค์ชัดไม่ต้องการให้อภิปรายต่อ ไล่ไปรวมคนให้ครบ ลั่น จะไม่เป็นองค์ให้ ก่อน ‘ไชยวัฒนา’ ขอเปลี่ยนเป็นผู้ลี้ภัยกลับจีน ‘ณัฐวุฒิ’ ถามเป็น ส.ส.ไทยหรือจีน ทำ ‘รองแบด’ รีบไกล่เกลี่ยเดินหน้าประชุม
 
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 เป็นประธานการประชุม นายรอมฎอน ปันจอร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาข้อเท็จจริงและผลกระทบกรณีการผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับไปเผชิญการประหัตประหารในประเทศจีน
 
โดยภายหลัง นายรอมฎอนกล่าวเปิดญัตติเสร็จ มีการถกเถียงกันเล็กน้อย เนื่องจากไม่มีความชัดเจนว่าญัตติจะเป็นไปในทิศทางใด สุดท้ายขอให้ส่งญัตติไปที่รัฐบาลดำเนินการต่อ ก่อนจะเปิดสมาชิกอภิปราย โดยช่วงหนึ่งระหว่าง น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว ส.ส.ปทุมธานี พรรค ปชน. กำลังอภิปรายอยู่นั้น นายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ลุกขึ้นประท้วงว่า ถือว่าปัญหาที่พูดอยู่นี้เป็นปัญหาที่ใหญ่หลวง ต้องมีองค์ประชุมครบ ฉะนั้นจึงขอให้ประธานสภานับองค์ประชุม หรือมีการประชุมลับต่อไป
 
ทำให้ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ทักท้วงว่า คิดว่าเรากำลังจะเดินกันอย่างเรียบร้อย และได้มีการประสานกันในวิปทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว หากเสนอนับองค์ประชุม ถ้าทำกันแบบนี้ จุดประสงค์ชัดเจนว่า ไม่ต้องการให้พวกเราอภิปรายต่อ ซึ่งถ้าจะทำกันเช่นนี้พวกท่านอยู่กันให้ครบ เสนอว่าให้ท่านไปรวมคนให้พอ ท่านแบกเลย พวกเราเดินกันดีๆ อยู่แล้ว และมีเพียง 2 คนที่อภิปรายเพื่อรวบรวมเอาความคิดเหล่านั้นให้ไปยังรัฐบาล ตอนนี้อยู่ระหว่างการอภิปราย ยังไม่จบ แต่กลับมีการยกมือประท้วงแล้วพยายามเสนอให้มีการนับองค์ แต่บอกไว้ว่า ฝ่ายค้านเราไม่เป็นองค์ประชุมให้ท่าน เพราะเราได้เห็นแล้วว่า ความจริงใจของท่านที่ไม่แคร์ต่อผลกระทบของประเทศเรา
 
นายอดิศรจึงตอบกลับว่า อย่าเอาไม้มาสอนขวัญ ตนขออนุญาตนับองค์ประชุมเพราะเป็นเรื่องใหญ่ เรามองคนละมุม มวยคนละชั้น ทำให้นายภราดรขอพักการประชุม 10 นาที ก่อนจะกลับมาเปิดประชุมอีกครั้งในเวลา 16.30 น. นายภราดรกล่าวว่า จากที่มีการหารือที่มีข้อเสนอจากประธานสภา เรื่องชื่อญัตติจึงอยากให้ผู้เสนอได้เปลี่ยนชื่อเพื่อได้เดินหน้าต่อไปและมีการประชุมต่อ แต่ยังติดญัตติของนายอดิศรที่ขอให้นับองค์ประชุม ซึ่งนายอดิศรยอมถอนญัตตินับองค์ประชุมออก เพื่อให้ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างเป็นเหตุเป็นผล
 
จากนั้น นายรอมฎอนเปลี่ยนชื่อญัตติเพื่อให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยเสนอเปลี่ยนชื่อญัตติเป็นขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาข้อเท็จจริง และผลกระทบกรณีการผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ไปประเทศจีนเพื่อส่งต่อให้รัฐบาลพิจารณา ทำให้ นายไชยวัฒนา ตินรัตน์ ส.ส.มหาสารคาม พรรค พท. ลุกขึ้นประท้วงว่า คำว่าชาวอุยกูร์ละเอียดอ่อนหรือไม่ เขาก็เป็นคนจีน ให้ใช้คำว่าเป็นผู้ลี้ภัยกลับประเทศจีนดีกว่า ก่อนที่ นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ลุกประท้วงว่า ถ้ายุ่งยากมากก็นับองค์ประชุมดีกว่า ท่านเป็นตัวแทน ส.ส.จีน หรือ ส.ส.ไทย ถ้าประธานสภาจะเดินหน้าก็ให้เดินหน้าไป ไม่ใช่ประท้วงกันเช่นนี้ ขัดกันตลอด เราก็ถอนให้แล้ว แต่ชีวิตคนก็ถอนไม่ได้ ทำให้นายไชยวัฒนาไม่พอใจและตอบโต้ว่า เป็นผู้แทนของคนไทย ท่านอย่าฉวยโอกาสแบบนี้ ท่านกล่าวหาใครว่าเป็น ส.ส.จีนหรือ ส.ส.ไทย เกียรติยศศักดิ์ศรีเราอยู่ที่นี่ ตนให้เกียรติตลอด จากนั้นนายภราดรจึงไกล่เกลี่ยยุติการโต้เถียง และให้ น.ส.ชลธิชาอภิปรายต่อ



ศาลยกคำร้อง มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ขอไต่สวนนายกฯ ส่งอุยกูร์กลับจีน ชี้ ไม่มีอำนาจ
https://www.matichon.co.th/local/news_5069243

ศาลยกคำร้อง ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ยื่นขอไต่สวนนายก-ผบ.ตร. กรณีส่งอุยกูร์ 48 คนกลับประเทศ ชี้ไม่มีอำนาจในส่วนนี้ ด้านเจ้าตัวเผยเตรียมปรึกษาทีมทนายอีกครั้ง
 
เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ภายหลัง นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และนักสิทธิมนุษยชน เข้ายื่นคำร้องต่อศาลอาญาให้ไต่สวนฉุกเฉิน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 1 และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกร้องที่ 2 กรณีละเมิดพ.ร.บ.ป้องกันปราบปรามการทรมานและบังคับสูญหาย จากกรณีที่มีการบังคับส่งชาวอุยกูร์จำนวน 48 คน กลับไปยังประเทศจีน โดยใช้เครื่องบินจากประเทศจีนที่สนามบินดอนเมือง
 
ต่อมาเวลา 16.30 น. นางสาวพรเพ็ญ เปิดเผยว่า ศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องโดยให้เหตุผลว่า ผู้ร้องยังไม่ได้เป็นบุคคลผู้มีอำนาจในการกระทำเเทนตาม มาตรา 26(6) ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายฯ หลังจากนี้ตนก็จะไปปรึกษากับทีมทนายความในเรื่องการจะยื่นอุทธรณ์คำสั่ง หรือยื่นคำร้องใหม่ เพราะศาลมองว่าเราไม่ได้กลายเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือเป็นผู้เเทน เเต่ถ้าไปดูในตัวบทกฎหมายไม่ได้เขียนว่าจะต้องเป็นผู้เเทน ตามมาตรา 29 เขียนว่าเป็นผู้คำนึง หรือผู้พบเห็นก็ได้ซึ่งวันนี้ทางเราไม่ได้ยื่นมาตรานี้เข้าไป
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับมาตรา 29 บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดพบเห็นหรือทราบการทรมาน การกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือการกระทำให้บุคคลสูญหาย ให้แจ้งพนักงานฝ่ายปกครอง พนักงานอัยการ พนักงานสอบสวน คณะกรรมการ หรือคณะอนุกรรมการที่ได้รับมอบหมายโดยไม่ชักช้าผู้แจ้งตามวรรคหนึ่ง ถ้าได้กระทำโดยสุจริต ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย แม้ภายหลังปรากฏว่า ไม่มีการกระทำความผิดตามที่แจ้ง



ผบ.ตร. รับส่งกลับชาวอุยกูร์ ตามหนังสือขอรบ.จีน ให้คำมั่นความปลอดภัย ยันไม่มีการบังคับ
https://www.matichon.co.th/local/crime/news_5069374

ผบ.ตร. รับส่งกลับชาวอุยกูร์ ตามหนังสือขอรบ.จีน ให้คำมั่นความปลอดภัย ยันไม่มีการบังคับ
 
เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่เครือข่าย NGO นำเรื่องการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศต้นทาง ยื่นขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน ว่า เรื่องดังกล่าวตนยังไม่ทราบรายละเอียด แต่ยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการร่วมกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีหนังสือเป็นทางการจากรัฐบาลจีนมารัฐบาลไทย โดยยืนยันว่าชาวอุยกูร์ทั้งหมดที่ส่งกลับมีทั้งหมด 40 คน ส่วนอีก 8 คน เป็นชาวจีนที่ทำผิดกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งชาวอุยกูร์ 40 คน ถูกจับกุมเมื่อ 11 ปีที่แล้ว และมีการควบคุมตัวอยู่ในความดูแลของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมาโดยตลอด โดยทางการจีนได้ทำหนังสือแสดงความจริงใจและเจตจำนงว่าชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับทั้งหมดจะได้รับความปลอดภัย โดยมีคณะกรรมการจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร. ไปกำกับดูแล ซึ่งขณะนี้ชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คน ได้เดินทางถึงประเทศจีนแล้ว ซึ่งทั้งหมดได้รับการตรวจสุขภาพและเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งทางการจีนรับปากทั้งเรื่องความปลอดภัย ที่อยู่ และให้ญาติมารอรับที่มณฑลซินเจียง โดยหลังจากนี้ก็จะมีวงรอบในการตรวจสอบความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ทั้งหมดเพื่อความมั่นใจ
 
เมื่อถามว่า กระบวนการส่งต่อชาวอุยกูร์ออกจาก ตม.สวนพลู ทำไมถึงต้องปิดทึบรอบคันรถและมีการปิดบังโลโก้ รวมถึงยานพาหนะที่ใช้ ซึ่งไม่ใช่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าวว่า ขบวนการทั้งหมดเป็นเทคนิคและยุทธวิธีเพื่อความปลอดภัย ความเรียบร้อย รวมถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน ที่เห็นได้ว่าขบวนการทั้งหมดทำให้ชาวอุยกูร์ปลอดภัยและถึงปลายทางอย่างปลอดภัย รวมถึงการส่งตัวในช่วงกลางดึกเพื่อไม่ให้กระทบกับการจราจรของประชาชนและสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ถึงแม้ว่าชาวอุยกูร์ที่อยู่กับเรามานานกว่า 10 ปี แต่ก็เป็นภ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่