ศาสตราจารย์ ธานินทร์ กรัยวิเชียร (5 เมษายน พ.ศ. 2470 – 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568) เป็นนักกฎหมาย ผู้พิพากษา และนายกรัฐมนตรีคนที่ 14 ของประเทศไทย (พ.ศ. 2519–2520) ผู้ที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นทั้งผู้พิทักษ์ความมั่นคงของชาติในนามประชาธิปไตยและผู้นำที่นำพาประเทศสู่ยุคเผด็จการ ด้วยความภักดีอันแน่วแน่ต่อสถาบันกษัตริย์และการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างเด็ดเดี่ยว
ชีวิตของเขาคือการต่อสู้เพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศไทยในช่วงเวลาวิกฤต แม้วิธีการของเขาจะถูกตีความว่าเป็นการปกครองแบบเผด็จการก็ตาม ท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ในวัย 97 ปี ทิ้งมรดกที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงถึงบทบาทของเขาในฐานะผู้ปกป้องหรือผู้บงการระบอบการปกครอง
ธานินทร์ กรัยวิเชียร เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2470 ที่กรุงเทพมหานคร ในครอบครัวเชื้อสายจีนที่บิดาเป็นพ่อค้าและมารดาเป็นแม่บ้าน เขาเติบโตมาด้วยค่านิยมของการศึกษาและความซื่อสัตย์ ซึ่งหล่อหลอมให้เขามุ่งมั่นในเส้นทางกฎหมาย ธานินทร์สำเร็จการศึกษานิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อที่ London School of Economics (LSE) และฝึกอบรมเป็นทนายความที่ Gray’s Inn ในลอนดอน ที่นั่น เขาได้เรียนรู้หลักการประชาธิปไตยและระบบกฎหมายตะวันตก ซึ่งต่อมากลายเป็นรากฐานของความเชื่อของเขาในการสร้างระเบียบให้ประเทศไทย แม้ว่าเขาจะนำหลักการเหล่านั้นมาใช้ในรูปแบบที่เข้มงวดก็ตาม
เมื่อกลับสู่ประเทศไทย ธานินทร์เริ่มต้นอาชีพในฐานะทนายความและก้าวสู่การเป็นผู้พิพากษา เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาที่มีวินัยและยึดมั่นในกฎหมายอย่างเคร่งครัด เขาเชื่อว่าระเบียบและความยุติธรรมคือหัวใจของชาติที่เข้มแข็ง ผลงานเขียนของเขาเกี่ยวกับกฎหมายและการปกครองสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของสังคมที่มีระเบียบ ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นหนทางสู่การปกป้องประชาธิปไตยในระยะยาว แม้ว่าต่อมาวิธีการของเขาจะถูกวิจารณ์ว่าเป็นการบ่อนทำลายเสรีภาพก็ตาม
ในปี พ.ศ. 2519 ประเทศไทยเผชิญวิกฤตการเมืองครั้งใหญ่ หลังเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งนักศึกษาถูกสังหารจำนวนมาก ธานินทร์ได้รับการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชให้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เขารับหน้าที่ด้วยความตั้งใจที่จะปกป้องชาติจากภัยคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งกำลังคุกคามประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและลาว เขามองว่านี่คือการปกป้องรากฐานของประชาธิปไตยไทยในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การบริหารของธานินทร์กลับกลายเป็นยุคแห่งเผด็จการในสายตาของหลายคน เขาออกนโยบายเข้มงวด ห้ามพรรคการเมือง เซ็นเซอร์สื่อ และปราบปรามฝ่ายซ้ายอย่างเด็ดขาด พร้อมเสนอแผนพัฒนาประชาธิปไตย 12 ปี ซึ่งถูกมองว่าเป็นการยืดเวลาการปกครองแบบอำนาจนิยม สำหรับธานินทร์ มาตรการเหล่านี้คือการเสียสละชั่วคราวเพื่อความมั่นคง แต่สำหรับผู้วิจารณ์ เขาคือผู้นำที่บดขยี้เสรีภาพและนำพาประเทศสู่ระบอบเผด็จการเต็มรูปแบบ
ความขัดแย้งนี้ถึงจุดแตกหักเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 เมื่อกองทัพนำโดยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ โค่นล้มเขาด้วยรัฐประหาร ธานินทร์สิ้นสุดวาระนายกรัฐมนตรีเพียงหนึ่งปี ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งอันสั้นของเขายังคงเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ถกเถียงกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งมักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเผด็จการ แต่ก็ได้รับการจดจำจากการพยายามสร้างความมั่นคงให้กับชาติที่แตกแยกอย่างลึกซึ้ง
หลังจากพ้นตำแหน่ง ธานินทร์หันไปรับใช้สถาบันกษัตริย์อย่างเงียบๆ โดยได้รับการแต่งตั้งเป็นองคมนตรีในปี พ.ศ. 2523 เขายังคงยึดมั่นในความเชื่อว่าสถาบันกษัตริย์และระเบียบคือรากฐานของชาติ เขาให้คำปรึกษาในช่วงวิกฤตต่างๆ และเขียนงานวิชาการต่อไป โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปกครองที่มีวินัย แม้ในวัยชรา เขายังคงวิจารณ์การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป โดยเห็นว่ามันอาจทำลายความมั่นคงที่เขาพยายามปกป้อง
นอกเหนือจากบทบาทที่ปรึกษาแล้ว ธานินทร์ยังคงเขียนและบรรยายเกี่ยวกับกฎหมายและการปกครอง โดยเป็นพี่เลี้ยงให้กับคนรุ่นใหม่ของนักกฎหมายและนักวิชาการไทย มุมมองอนุรักษนิยมของเขาเกี่ยวกับการเมืองและสังคมยังคงมีอิทธิพล โดยเฉพาะในหมู่กลุ่มราชวงศ์และนักอนุรักษนิยม
ธานินทร์สมรสกับนางกะรน กรัยวิเชียร และทั้งคู่มีครอบครัวด้วยกัน เขาเป็นที่รู้จักจากความเรียบง่ายและวินัย ธานินทร์ใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างสงบเงียบ นอกเหนือจากหน้าที่สาธารณะ เขานับถือศาสนาพุทธอย่างลึกซึ้งและมักอ้างถึงการปกครองที่ยึดมั่นในศีลธรรมและจริยธรรมว่าเป็นรากฐานของสังคมที่มั่นคง
ศาสตราจารย์ ธานินทร์ กรัยวิเชียร ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ในวัย 97 ปี เขาทิ้งมรดกที่สะท้อนความขัดแย้งของยุคสมัย สำหรับบางคน เขาคือผู้พิทักษ์ประชาธิปไตยในอนาคต ผู้เสียสละเสรีภาพชั่วคราวเพื่อความมั่นคงของชาติ แต่สำหรับคนอื่น เขาคือผู้นำเผด็จการที่ระงับการพัฒนาการเมืองไทย ชื่อของเขายังคงเป็นหัวข้อถกเถียงถึงเส้นแบ่งระหว่างการปกป้องและการกดขี่
ชีวิตของเขาคือภาพสะท้อนของประเทศไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน—การต่อสู้เพื่อรักษาความสมดุลระหว่างประเพณีและความทันสมัย ธานินทร์จากไปพร้อมกับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ: เขาคือผู้พิทักษ์หรือผู้ทำลายประชาธิปไตยกันแน่?
อำลาศาสตราจารย์ ธานินทร์ กรัยวิเชียร ผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย?
ชีวิตของเขาคือการต่อสู้เพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศไทยในช่วงเวลาวิกฤต แม้วิธีการของเขาจะถูกตีความว่าเป็นการปกครองแบบเผด็จการก็ตาม ท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ในวัย 97 ปี ทิ้งมรดกที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงถึงบทบาทของเขาในฐานะผู้ปกป้องหรือผู้บงการระบอบการปกครอง
ธานินทร์ กรัยวิเชียร เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2470 ที่กรุงเทพมหานคร ในครอบครัวเชื้อสายจีนที่บิดาเป็นพ่อค้าและมารดาเป็นแม่บ้าน เขาเติบโตมาด้วยค่านิยมของการศึกษาและความซื่อสัตย์ ซึ่งหล่อหลอมให้เขามุ่งมั่นในเส้นทางกฎหมาย ธานินทร์สำเร็จการศึกษานิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อที่ London School of Economics (LSE) และฝึกอบรมเป็นทนายความที่ Gray’s Inn ในลอนดอน ที่นั่น เขาได้เรียนรู้หลักการประชาธิปไตยและระบบกฎหมายตะวันตก ซึ่งต่อมากลายเป็นรากฐานของความเชื่อของเขาในการสร้างระเบียบให้ประเทศไทย แม้ว่าเขาจะนำหลักการเหล่านั้นมาใช้ในรูปแบบที่เข้มงวดก็ตาม
เมื่อกลับสู่ประเทศไทย ธานินทร์เริ่มต้นอาชีพในฐานะทนายความและก้าวสู่การเป็นผู้พิพากษา เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาที่มีวินัยและยึดมั่นในกฎหมายอย่างเคร่งครัด เขาเชื่อว่าระเบียบและความยุติธรรมคือหัวใจของชาติที่เข้มแข็ง ผลงานเขียนของเขาเกี่ยวกับกฎหมายและการปกครองสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของสังคมที่มีระเบียบ ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นหนทางสู่การปกป้องประชาธิปไตยในระยะยาว แม้ว่าต่อมาวิธีการของเขาจะถูกวิจารณ์ว่าเป็นการบ่อนทำลายเสรีภาพก็ตาม
ในปี พ.ศ. 2519 ประเทศไทยเผชิญวิกฤตการเมืองครั้งใหญ่ หลังเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งนักศึกษาถูกสังหารจำนวนมาก ธานินทร์ได้รับการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชให้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2519 เขารับหน้าที่ด้วยความตั้งใจที่จะปกป้องชาติจากภัยคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งกำลังคุกคามประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและลาว เขามองว่านี่คือการปกป้องรากฐานของประชาธิปไตยไทยในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การบริหารของธานินทร์กลับกลายเป็นยุคแห่งเผด็จการในสายตาของหลายคน เขาออกนโยบายเข้มงวด ห้ามพรรคการเมือง เซ็นเซอร์สื่อ และปราบปรามฝ่ายซ้ายอย่างเด็ดขาด พร้อมเสนอแผนพัฒนาประชาธิปไตย 12 ปี ซึ่งถูกมองว่าเป็นการยืดเวลาการปกครองแบบอำนาจนิยม สำหรับธานินทร์ มาตรการเหล่านี้คือการเสียสละชั่วคราวเพื่อความมั่นคง แต่สำหรับผู้วิจารณ์ เขาคือผู้นำที่บดขยี้เสรีภาพและนำพาประเทศสู่ระบอบเผด็จการเต็มรูปแบบ
ความขัดแย้งนี้ถึงจุดแตกหักเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 เมื่อกองทัพนำโดยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ โค่นล้มเขาด้วยรัฐประหาร ธานินทร์สิ้นสุดวาระนายกรัฐมนตรีเพียงหนึ่งปี ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งอันสั้นของเขายังคงเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ถกเถียงกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งมักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเผด็จการ แต่ก็ได้รับการจดจำจากการพยายามสร้างความมั่นคงให้กับชาติที่แตกแยกอย่างลึกซึ้ง
หลังจากพ้นตำแหน่ง ธานินทร์หันไปรับใช้สถาบันกษัตริย์อย่างเงียบๆ โดยได้รับการแต่งตั้งเป็นองคมนตรีในปี พ.ศ. 2523 เขายังคงยึดมั่นในความเชื่อว่าสถาบันกษัตริย์และระเบียบคือรากฐานของชาติ เขาให้คำปรึกษาในช่วงวิกฤตต่างๆ และเขียนงานวิชาการต่อไป โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปกครองที่มีวินัย แม้ในวัยชรา เขายังคงวิจารณ์การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป โดยเห็นว่ามันอาจทำลายความมั่นคงที่เขาพยายามปกป้อง
นอกเหนือจากบทบาทที่ปรึกษาแล้ว ธานินทร์ยังคงเขียนและบรรยายเกี่ยวกับกฎหมายและการปกครอง โดยเป็นพี่เลี้ยงให้กับคนรุ่นใหม่ของนักกฎหมายและนักวิชาการไทย มุมมองอนุรักษนิยมของเขาเกี่ยวกับการเมืองและสังคมยังคงมีอิทธิพล โดยเฉพาะในหมู่กลุ่มราชวงศ์และนักอนุรักษนิยม
ธานินทร์สมรสกับนางกะรน กรัยวิเชียร และทั้งคู่มีครอบครัวด้วยกัน เขาเป็นที่รู้จักจากความเรียบง่ายและวินัย ธานินทร์ใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างสงบเงียบ นอกเหนือจากหน้าที่สาธารณะ เขานับถือศาสนาพุทธอย่างลึกซึ้งและมักอ้างถึงการปกครองที่ยึดมั่นในศีลธรรมและจริยธรรมว่าเป็นรากฐานของสังคมที่มั่นคง
ศาสตราจารย์ ธานินทร์ กรัยวิเชียร ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ในวัย 97 ปี เขาทิ้งมรดกที่สะท้อนความขัดแย้งของยุคสมัย สำหรับบางคน เขาคือผู้พิทักษ์ประชาธิปไตยในอนาคต ผู้เสียสละเสรีภาพชั่วคราวเพื่อความมั่นคงของชาติ แต่สำหรับคนอื่น เขาคือผู้นำเผด็จการที่ระงับการพัฒนาการเมืองไทย ชื่อของเขายังคงเป็นหัวข้อถกเถียงถึงเส้นแบ่งระหว่างการปกป้องและการกดขี่
ชีวิตของเขาคือภาพสะท้อนของประเทศไทยในช่วงเปลี่ยนผ่าน—การต่อสู้เพื่อรักษาความสมดุลระหว่างประเพณีและความทันสมัย ธานินทร์จากไปพร้อมกับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ: เขาคือผู้พิทักษ์หรือผู้ทำลายประชาธิปไตยกันแน่?