“Dahmer – Monster: The Jeffrey Dahmer Story” เป็นซีรีส์แนวชีวประวัติ-อาชญากรรมที่สร้างความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ให้กับวงการบันเทิงเมื่อเปิดตัวทาง Netflix ในปี 2022 ซีรีส์นี้นำเสนอเรื่องราวอันดำมืดและน่าสะพรึงกลัวของ Jeffrey Dahmer หรือที่รู้จักในชื่อ “Milwaukee Cannibal” หนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ผลงานนี้กำกับโดย Ryan Murphy และ Ian Brennan โดยมี Evan Peters รับบทนำเป็น Jeffrey Dahmer ซึ่งเขาแสดงออกมาได้อย่างเข้มข้นและสมจริงจนคว้ารางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำยอดเยี่ยมในประเภทมินิซีรีส์หรือโทรทัศน์เรื่องสั้น
เนื้อเรื่องย่อ:
ซีรีส์เล่าเรื่องราวชีวิตของ Jeffrey Dahmer ตั้งแต่วัยเด็กที่มีปัญหาครอบครัวและความรู้สึกถูกทอดทิ้ง จนเติบโตขึ้นมาเป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่โลกต้องสยดสยอง “Dahmer” ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การก่ออาชญากรรมของเขา แต่ยังขุดลึกลงไปถึงสภาพจิตใจที่บิดเบี้ยว สังคมที่เพิกเฉย และความล้มเหลวของหน่วยงานตำรวจที่ปล่อยให้ Jeffrey ดำเนินการฆาตกรรมต่อเนื่องได้นานถึง 13 ปี โดยไม่มีการจับกุม
เรื่องราวในซีรีส์ไม่ได้เพียงโฟกัสที่ตัว Dahmer แต่ยังให้เสียงแก่เหยื่อของเขา โดยเล่าถึงชีวิต พื้นเพ และความฝันของผู้ที่ถูกพรากไปอย่างโหดร้าย ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความสูญเสียและผลกระทบที่ตามมาหลังการกระทำอันชั่วร้ายของเขา
การแสดงและบทบาทที่น่าจดจำ:
Evan Peters ในบท Jeffrey Dahmer ถ่ายทอดความเยือกเย็น ความลึกลับ และด้านมืดของตัวละครได้อย่างน่าทึ่ง ตั้งแต่แววตาที่ไร้อารมณ์ไปจนถึงการพูดจาเชื่องช้าแต่ชวนขนลุก การแสดงของเขาทำให้ผู้ชมรู้สึกทั้งขยะแขยงและสงสารในเวลาเดียวกัน
Niecy Nash ในบท Glenda Cleveland เพื่อนบ้านผู้พยายามแจ้งความและเตือนตำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมแปลกประหลาดของ Dahmer เธอแสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัว ผิดหวัง และโศกเศร้าของผู้ที่ต้องอยู่ใกล้ชิดฆาตกรอย่างใกล้ชิด แต่ไม่มีใครรับฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเธอ
Richard Jenkins ในบท Lionel Dahmer พ่อของ Jeffrey ที่ต้องต่อสู้กับความรู้สึกผิดและความสับสนเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกชาย การแสดงของเขาถ่ายทอดอารมณ์ของพ่อที่ทั้งรักและรู้สึกผิดได้อย่างลึกซึ้ง
จุดเด่นของซีรีส์:
การเล่าเรื่องที่หนักแน่นและไม่หวือหวา:
ซีรีส์เน้นความจริงมากกว่าการบิดเบือนเพื่อความบันเทิง ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความกดดันและความอึดอัดในทุกฉาก แต่ก็ไม่ได้เน้นฉากความรุนแรงมากเกินไป กลับมุ่งเน้นไปที่จิตวิทยาและผลกระทบทางอารมณ์
มุมมองจากเหยื่อ:
“Dahmer” พยายามที่จะยกย่องและให้ความสำคัญกับเหยื่อมากกว่าฆาตกร ตัวซีรีส์เล่าถึงชีวิตและฝันที่ถูกทำลาย ทำให้ผู้ชมสัมผัสถึงความสูญเสียและไม่ลืมว่าเรื่องราวนี้เป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจริง
การวิพากษ์สังคม:
ซีรีส์วิจารณ์ความล้มเหลวของหน่วยงานตำรวจและการเหยียดเชื้อชาติ/เพศ ที่ทำให้ Dahmer สามารถลงมือก่ออาชญากรรมได้ต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่ถูกจับ นอกจากนี้ยังตั้งคำถามถึงระบบยุติธรรมที่มองข้ามเสียงของผู้ด้อยโอกาส
ข้อสังเกต:
แม้ว่าซีรีส์จะได้รับคำชมมากมาย แต่ก็มีเสียงวิจารณ์จากครอบครัวเหยื่อบางรายที่รู้สึกว่าการนำเรื่องราวนี้กลับมาฉายซ้ำเป็นการสร้างบาดแผลใหม่ให้พวกเขา แม้ผู้สร้างจะพยายามยกย่องเหยื่อ แต่หลายคนก็มองว่าสิ่งนี้เป็นการสร้างความเจ็บปวดซ้ำซ้อน
บางฉากในซีรีส์มีความกดดันสูงและอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ชมที่อ่อนไหวต่อเนื้อหาความรุนแรงหรืออาชญากรรมที่เกี่ยวกับมนุษย์กินคน
คะแนน (เต็ม 10): ⭐ 9/10
“Dahmer – Monster: The Jeffrey Dahmer Story” เป็นซีรีส์ที่ทำให้ผู้ชมทั้งสั่นสะท้านและสะเทือนใจในเวลาเดียวกัน การแสดงที่เข้มข้น การเล่าเรื่องที่ลึกซึ้ง และการขุดคุ้ยถึงด้านมืดของมนุษย์ทำให้ซีรีส์นี้เป็นหนึ่งในผลงานที่น่าจดจำที่สุดในปี 2022 แม้จะมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับจริยธรรมในการนำเรื่องราวมาเล่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือซีรีส์ที่สะท้อนถึงด้านมืดของสังคมและมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งและทรงพลัง
Dahmer – Monster: The Jeffrey Dahmer Story เมื่อมนุษย์กลายเป็นปีศาจในโลกจริง
“Dahmer – Monster: The Jeffrey Dahmer Story” เป็นซีรีส์แนวชีวประวัติ-อาชญากรรมที่สร้างความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ให้กับวงการบันเทิงเมื่อเปิดตัวทาง Netflix ในปี 2022 ซีรีส์นี้นำเสนอเรื่องราวอันดำมืดและน่าสะพรึงกลัวของ Jeffrey Dahmer หรือที่รู้จักในชื่อ “Milwaukee Cannibal” หนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ผลงานนี้กำกับโดย Ryan Murphy และ Ian Brennan โดยมี Evan Peters รับบทนำเป็น Jeffrey Dahmer ซึ่งเขาแสดงออกมาได้อย่างเข้มข้นและสมจริงจนคว้ารางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำยอดเยี่ยมในประเภทมินิซีรีส์หรือโทรทัศน์เรื่องสั้น
เนื้อเรื่องย่อ:
ซีรีส์เล่าเรื่องราวชีวิตของ Jeffrey Dahmer ตั้งแต่วัยเด็กที่มีปัญหาครอบครัวและความรู้สึกถูกทอดทิ้ง จนเติบโตขึ้นมาเป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่โลกต้องสยดสยอง “Dahmer” ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การก่ออาชญากรรมของเขา แต่ยังขุดลึกลงไปถึงสภาพจิตใจที่บิดเบี้ยว สังคมที่เพิกเฉย และความล้มเหลวของหน่วยงานตำรวจที่ปล่อยให้ Jeffrey ดำเนินการฆาตกรรมต่อเนื่องได้นานถึง 13 ปี โดยไม่มีการจับกุม
เรื่องราวในซีรีส์ไม่ได้เพียงโฟกัสที่ตัว Dahmer แต่ยังให้เสียงแก่เหยื่อของเขา โดยเล่าถึงชีวิต พื้นเพ และความฝันของผู้ที่ถูกพรากไปอย่างโหดร้าย ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความสูญเสียและผลกระทบที่ตามมาหลังการกระทำอันชั่วร้ายของเขา
การแสดงและบทบาทที่น่าจดจำ:
Evan Peters ในบท Jeffrey Dahmer ถ่ายทอดความเยือกเย็น ความลึกลับ และด้านมืดของตัวละครได้อย่างน่าทึ่ง ตั้งแต่แววตาที่ไร้อารมณ์ไปจนถึงการพูดจาเชื่องช้าแต่ชวนขนลุก การแสดงของเขาทำให้ผู้ชมรู้สึกทั้งขยะแขยงและสงสารในเวลาเดียวกัน
Niecy Nash ในบท Glenda Cleveland เพื่อนบ้านผู้พยายามแจ้งความและเตือนตำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมแปลกประหลาดของ Dahmer เธอแสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัว ผิดหวัง และโศกเศร้าของผู้ที่ต้องอยู่ใกล้ชิดฆาตกรอย่างใกล้ชิด แต่ไม่มีใครรับฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเธอ
Richard Jenkins ในบท Lionel Dahmer พ่อของ Jeffrey ที่ต้องต่อสู้กับความรู้สึกผิดและความสับสนเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกชาย การแสดงของเขาถ่ายทอดอารมณ์ของพ่อที่ทั้งรักและรู้สึกผิดได้อย่างลึกซึ้ง
จุดเด่นของซีรีส์:
การเล่าเรื่องที่หนักแน่นและไม่หวือหวา:
ซีรีส์เน้นความจริงมากกว่าการบิดเบือนเพื่อความบันเทิง ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความกดดันและความอึดอัดในทุกฉาก แต่ก็ไม่ได้เน้นฉากความรุนแรงมากเกินไป กลับมุ่งเน้นไปที่จิตวิทยาและผลกระทบทางอารมณ์
มุมมองจากเหยื่อ:
“Dahmer” พยายามที่จะยกย่องและให้ความสำคัญกับเหยื่อมากกว่าฆาตกร ตัวซีรีส์เล่าถึงชีวิตและฝันที่ถูกทำลาย ทำให้ผู้ชมสัมผัสถึงความสูญเสียและไม่ลืมว่าเรื่องราวนี้เป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจริง
การวิพากษ์สังคม:
ซีรีส์วิจารณ์ความล้มเหลวของหน่วยงานตำรวจและการเหยียดเชื้อชาติ/เพศ ที่ทำให้ Dahmer สามารถลงมือก่ออาชญากรรมได้ต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่ถูกจับ นอกจากนี้ยังตั้งคำถามถึงระบบยุติธรรมที่มองข้ามเสียงของผู้ด้อยโอกาส
ข้อสังเกต:
แม้ว่าซีรีส์จะได้รับคำชมมากมาย แต่ก็มีเสียงวิจารณ์จากครอบครัวเหยื่อบางรายที่รู้สึกว่าการนำเรื่องราวนี้กลับมาฉายซ้ำเป็นการสร้างบาดแผลใหม่ให้พวกเขา แม้ผู้สร้างจะพยายามยกย่องเหยื่อ แต่หลายคนก็มองว่าสิ่งนี้เป็นการสร้างความเจ็บปวดซ้ำซ้อน
บางฉากในซีรีส์มีความกดดันสูงและอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ชมที่อ่อนไหวต่อเนื้อหาความรุนแรงหรืออาชญากรรมที่เกี่ยวกับมนุษย์กินคน
คะแนน (เต็ม 10): ⭐ 9/10
“Dahmer – Monster: The Jeffrey Dahmer Story” เป็นซีรีส์ที่ทำให้ผู้ชมทั้งสั่นสะท้านและสะเทือนใจในเวลาเดียวกัน การแสดงที่เข้มข้น การเล่าเรื่องที่ลึกซึ้ง และการขุดคุ้ยถึงด้านมืดของมนุษย์ทำให้ซีรีส์นี้เป็นหนึ่งในผลงานที่น่าจดจำที่สุดในปี 2022 แม้จะมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับจริยธรรมในการนำเรื่องราวมาเล่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือซีรีส์ที่สะท้อนถึงด้านมืดของสังคมและมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งและทรงพลัง