งานนี้ขอเอามาปิดฉากเป็นชิ้นสุดท้ายของการชมหอศิลป์บอร์เกเซ ซึ่งเหตุผลของมันก็สุดแสนจะเหมาะสม นั่นก็คือมันเป็นสุดยอดในบรรดางานที่สุดยอดทั้งหมดของที่นี่ ซึ่งหลังจากที่คุณได้ชมแล้วจะไม่อยากไปชมอะไรอันใดอีกต่อไปแล้ว

นี่คือ อะพอลโลและนางไม้แดฟนี (Apollo and Daphne) มองเห็นภาพแล้วคงจะไม่ต้องเล่าก็ได้มั้งว่างานนี้มีดีอะไร เพราะมันสุดแสนจะมหัศจรรย์ออกซะอย่างนั้น คนอะไรหนอสามารถจะสร้างหินให้กลายเป็นร่างเทพที่พุ่งทะยานกายแปลงร่างเป็นต้นไม้กิ่งใบไหวกระเจิงได้ขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ Bernini แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่ามหัศจรรย์แล้วจะให้เรียกอย่างไรกัน
เทพอะพอลโลที่กำลังไล่ตามเทพีแดฟนีผู้ซึ่งกำลังจะวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว แม่นางกลัวอะไรนะเหรอ อะพอลโลออกจะหล่อ ก็มันมีเรื่องมีราวที่จะขอเล่าดังนี้ละ
เรื่องมันเกิดขึ้นตอนวันหนึ่ง อะพอลโลเห็นคิวปิดซึ่งก็คือกามเทพน้อยถือคันศรอยู่ก็หัวเราะบอกว่าอาวุธเธอกระจอกจัง ลูกศรของฉันน่ะทรงพลังกว่าเยอะ สังหารอสุรกายมาได้หลายครั้งแล้ว แต่ของเธอเหมือนอาวุธเด็ก ๆ สังหารใครก็ไม่เคยได้
กามเทพน้อยได้ยินก็ออกจะขุ่นเคืองคิดในใจว่า ไม่รู้อะไรซะแล้ว เดี๋ยวจะแสดงให้ดูแล้วจะสำนึกว่ามันร้ายแรงขนาดไหน ว่าแล้วก็ยิงธนูทองแห่งความรักไปที่อะพอลโล แล้วก็ยิงอีกดอกไปที่นางแดฟนี ทว่าธนูของแดฟนีเป็นลูกธนูตะกั่วซึ่งมันไม่ได้ทำให้เกิดความรักแต่เป็นการสาปให้เกิดความเกลียดชังแทน

กามเทพผู้มีศรรักเป็นอาวุธ งานนี้ฝีมือแบร์นินี่เช่นกัน แต่อยู่ที่โบสถ์ Santa Maria della Vittoria ในกรุงโรม
ด้วยเหตุนี้ผลจึงกลายเป็นว่าอพอลโลต้องคำสาปของคิวปิดอย่างถอนใจไม่ได้ ในขณะที่แดฟนีก็เกิดความเกลียดอะพอลโลจนหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน
และเมื่อวันหนึ่งมาถึงขณะที่แดฟนีกำลังล่าสัตว์อยู่ในป่า อพอลโลเห็นเข้าก็วิ่งเข้าไปหา แดฟนีก็เลยวิ่งหนีสุดชีวิตด้วยความเกลียดและความกลัว จนในที่สุดนางก็ไปจนตรอกตรงลำธารที่ขวางทางเธอให้เธอไปไหนไม่ได้ เมื่ออะพอลโลวิ่งมาจนเกือบจะประชิดตัว เธอก็คิดได้ว่าเธอคือธิดาของเทพพีนูส เทพแห่งลำธาร จึงร้องว่าท่านพ่อช่วยข้าที จงเปลี่ยนร่างไม่ให้อะพอลโลจับได้บัดนี้เถิด
และคำอธิษฐานก็ได้ผล ขณะที่อะพอลโลกำลังจะมา ร่างของแดฟนีก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ผิวกลายเป็นเปลือกไม้ แขนกลายเป็นกิ่งไม้ มือและเส้นผมกลายเป็นใบไม้ไป พออะพอลโลมาถึงขาสองข้างของนางก็หยั่งลงดินตรึงไว้ตรงนั้น กลายเป็นต้นลอเรลไปซะแล้ว

อะพอลโลสุดแสนจะเศร้า ใจจวนจะขาด และสำนึกผิดต่อตนเองที่ทำให้แดฟนีหวาดกลัว ด้วยความอาลัยและอาวรณ์นี้เอง อพอลโลจึงตั้งจิตอธิษฐานให้ต้นลอเรลเป็นพืชที่มีความเขียวชอุ่มในทุกฤดูกาล และได้นำเอาช่อลอเรลมาเป็นมงกุฎสวมใส่ ประกาศว่าต่อแต่นี้ไปขอให้ลอเรลเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะและความยินดี ซึ่งหลังจากนั้นเราจะได้เห็นช่อลอเรลในโอกาสเฉลิมฉลองต่างๆอย่างเช่นเป็นพวงมาลาให้กับนักกีฬา เป็นสิ่งประดับในงานสำเร็จการศึกษาของอิตาลี และเรายังได้เห็นช่อลอเรลอยู่ในสถาปัตยกรรมและงานศิลปะต่างๆอีกด้วย
เอาละ กล่าวถึงโศกนาฏกรรมแห่งความรักและความสูญเสียไปตั้งนานแล้ว คราวนี้ก็มาทัศนางานชิ้นเลิศที่สุดของบอร์เกเซซะที
แบร์นินี่แสดงฝีมือออกมาสุดตัวในงานชิ้นนี้ จากหินเพียงก้อนเดียวเนรมิตมาเป็นเทพเจ้าที่ราวกับว่าจะโดนสาปให้แช่แข็งภายในเสี้ยววินาทีนั้นตลอดกาล ความเคลื่อนไหวของร่างกายรุนแรงรวดเร็ว แดฟนีกำลังจะทะยานหนีอะพอลโลซึ่งวิ่งเข้ามาตระกองกอด แต่ก็ไม่สามารถจะถูกต้องตัวแดฟนีได้เลย แม้แต่มือที่ได้ไปสัมผัสก็แตะต้องได้เพียงเปลือกไม้

แดฟนีพุ่งตัวออกไปด้วยใบหน้าที่กำลังตกใจสุดขีด ขณะที่สีหน้าของอะพอลโลกำลังประหลาดใจและตกใจไปพร้อมกัน ริ้วผ้าของทั้งคู่ปิดปลิวไปตามแรงวิ่งราวกับจะหลุดออกมาจากตัว เช่นเดียวกับเส้นผมซึ่งปลิวออกไปตามแรงเหวี่ยงด้วยเช่นกัน ปลายเท้าซึ่งกลายเป็นรากฝังลึกลงในพื้นดิน มือของเธอก็กำลังกลายเป็นกิ่งใบแตกสาขาออกไปในบัดนั้น และที่สุดยอดก็คือใบไม้ที่บางเฉียบเสียจนไม่อยากจะเชื่อว่ามันแกะมาจากหิน มันบอบบางดูราวกับว่าถ้าฉันเอามือไปแตะอาจจะหลุดลงมาเสียหาย

เท้าของเธอกลายเป็นรากหยั่งลึกลงพื้นดิน
นี่คือสุดยอดของงานประติมากรรมของโลกแบบไม่ต้องสงสัยเลย แบรีนี่ทำได้อย่างไรนะ ช่างไม่น่าเชื่อเลย เขาต้องเป็นมากกว่าอัจฉริยะ เขาต้องเป็นพ่อมดแน่ๆ ท่านไหนมีโอกาสได้มาที่หอศิลป์โบเกเช ขอให้ใช้เวลาไปกับการพินิจพิจารณาหนุ่มสาวคู่นี้ให้นานเต็มอิ่มนะ นี่คือบุญตา เป็นบุญแท้
ส่วนท่านไหนยังไม่ได้ไปเห็นของจริง มาเห็นที่บล็อกนี้ก็เป็นบุญตาบุญใจเหมือนกันแหละ ถ้ามีโอกาสได้ไปดูด้วยตัวเองจะคุ้มค่าต่อการเป็นมนุษย์มากจ้า
เอาละ หลังจากเล่าเรื่องงานศิลปะในบอร์เกเซมาหลายชิ้นแล้ว ก็ถึงเวลาพักของผมซะที จริงๆในนี้ยังมีงานดีๆอีกเยอะ หลายๆอันคิดว่าจะเขียนถึงแต่ก็ไม่ไหวแล้ว เพราะเดี๋ยวเราจะยังมีโปรแกรมพาไปไหนต่อไหนอีกมากมาย
ถึงเวลา สองชั่วโมงผ่านไป เจ้าหน้าที่ของหอศิลป์ก็ทำการขับไล่ คนที่มาชมออกไปพลัน เพื่อให้ผู้ชมกลุ่มใหม่เข้ามาชมงานในสถานที่แคบๆนี้ต่อไป หลายคนทำท่าอิดออดเหมือนยังดูไม่เสร็จ แต่เราคิดว่าพอแล้วละ อิ่มเอมและหิวข้าวไปพร้อมกัน
เดินออกมาจากบอร์เกเช ก็มาสู่สวนสาธารณะที่ร่มรื่น (จริงๆคือหนาวมาก) กระรอกน้อยวิ่งมาทักทายอีกแล้ว เดินเฉื่อยๆในสวนออกมาถึงถนน พลางคิดว่า ฉันอยากจะเกิดมาเป็นคนอิตาเลียนจังเลย ช่างน่าอิจฉา
ยามเย็นโพล้เพล้ ยังพอมีเวลาไปเดินเล่นแถวๆเมืองเก่า ไปดูอะไรเพลินๆกันก่อนกลับบ้าน ตามผมมาเรื่อยๆละกัน
การไขว่คว้าที่สิ้นหวังของอพอลโล : (Apollo and Daphne)
นี่คือ อะพอลโลและนางไม้แดฟนี (Apollo and Daphne) มองเห็นภาพแล้วคงจะไม่ต้องเล่าก็ได้มั้งว่างานนี้มีดีอะไร เพราะมันสุดแสนจะมหัศจรรย์ออกซะอย่างนั้น คนอะไรหนอสามารถจะสร้างหินให้กลายเป็นร่างเทพที่พุ่งทะยานกายแปลงร่างเป็นต้นไม้กิ่งใบไหวกระเจิงได้ขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ Bernini แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่ามหัศจรรย์แล้วจะให้เรียกอย่างไรกัน
เทพอะพอลโลที่กำลังไล่ตามเทพีแดฟนีผู้ซึ่งกำลังจะวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว แม่นางกลัวอะไรนะเหรอ อะพอลโลออกจะหล่อ ก็มันมีเรื่องมีราวที่จะขอเล่าดังนี้ละ
เรื่องมันเกิดขึ้นตอนวันหนึ่ง อะพอลโลเห็นคิวปิดซึ่งก็คือกามเทพน้อยถือคันศรอยู่ก็หัวเราะบอกว่าอาวุธเธอกระจอกจัง ลูกศรของฉันน่ะทรงพลังกว่าเยอะ สังหารอสุรกายมาได้หลายครั้งแล้ว แต่ของเธอเหมือนอาวุธเด็ก ๆ สังหารใครก็ไม่เคยได้
กามเทพน้อยได้ยินก็ออกจะขุ่นเคืองคิดในใจว่า ไม่รู้อะไรซะแล้ว เดี๋ยวจะแสดงให้ดูแล้วจะสำนึกว่ามันร้ายแรงขนาดไหน ว่าแล้วก็ยิงธนูทองแห่งความรักไปที่อะพอลโล แล้วก็ยิงอีกดอกไปที่นางแดฟนี ทว่าธนูของแดฟนีเป็นลูกธนูตะกั่วซึ่งมันไม่ได้ทำให้เกิดความรักแต่เป็นการสาปให้เกิดความเกลียดชังแทน
กามเทพผู้มีศรรักเป็นอาวุธ งานนี้ฝีมือแบร์นินี่เช่นกัน แต่อยู่ที่โบสถ์ Santa Maria della Vittoria ในกรุงโรม
ด้วยเหตุนี้ผลจึงกลายเป็นว่าอพอลโลต้องคำสาปของคิวปิดอย่างถอนใจไม่ได้ ในขณะที่แดฟนีก็เกิดความเกลียดอะพอลโลจนหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน
และเมื่อวันหนึ่งมาถึงขณะที่แดฟนีกำลังล่าสัตว์อยู่ในป่า อพอลโลเห็นเข้าก็วิ่งเข้าไปหา แดฟนีก็เลยวิ่งหนีสุดชีวิตด้วยความเกลียดและความกลัว จนในที่สุดนางก็ไปจนตรอกตรงลำธารที่ขวางทางเธอให้เธอไปไหนไม่ได้ เมื่ออะพอลโลวิ่งมาจนเกือบจะประชิดตัว เธอก็คิดได้ว่าเธอคือธิดาของเทพพีนูส เทพแห่งลำธาร จึงร้องว่าท่านพ่อช่วยข้าที จงเปลี่ยนร่างไม่ให้อะพอลโลจับได้บัดนี้เถิด
และคำอธิษฐานก็ได้ผล ขณะที่อะพอลโลกำลังจะมา ร่างของแดฟนีก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ผิวกลายเป็นเปลือกไม้ แขนกลายเป็นกิ่งไม้ มือและเส้นผมกลายเป็นใบไม้ไป พออะพอลโลมาถึงขาสองข้างของนางก็หยั่งลงดินตรึงไว้ตรงนั้น กลายเป็นต้นลอเรลไปซะแล้ว
อะพอลโลสุดแสนจะเศร้า ใจจวนจะขาด และสำนึกผิดต่อตนเองที่ทำให้แดฟนีหวาดกลัว ด้วยความอาลัยและอาวรณ์นี้เอง อพอลโลจึงตั้งจิตอธิษฐานให้ต้นลอเรลเป็นพืชที่มีความเขียวชอุ่มในทุกฤดูกาล และได้นำเอาช่อลอเรลมาเป็นมงกุฎสวมใส่ ประกาศว่าต่อแต่นี้ไปขอให้ลอเรลเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะและความยินดี ซึ่งหลังจากนั้นเราจะได้เห็นช่อลอเรลในโอกาสเฉลิมฉลองต่างๆอย่างเช่นเป็นพวงมาลาให้กับนักกีฬา เป็นสิ่งประดับในงานสำเร็จการศึกษาของอิตาลี และเรายังได้เห็นช่อลอเรลอยู่ในสถาปัตยกรรมและงานศิลปะต่างๆอีกด้วย
เอาละ กล่าวถึงโศกนาฏกรรมแห่งความรักและความสูญเสียไปตั้งนานแล้ว คราวนี้ก็มาทัศนางานชิ้นเลิศที่สุดของบอร์เกเซซะที
แบร์นินี่แสดงฝีมือออกมาสุดตัวในงานชิ้นนี้ จากหินเพียงก้อนเดียวเนรมิตมาเป็นเทพเจ้าที่ราวกับว่าจะโดนสาปให้แช่แข็งภายในเสี้ยววินาทีนั้นตลอดกาล ความเคลื่อนไหวของร่างกายรุนแรงรวดเร็ว แดฟนีกำลังจะทะยานหนีอะพอลโลซึ่งวิ่งเข้ามาตระกองกอด แต่ก็ไม่สามารถจะถูกต้องตัวแดฟนีได้เลย แม้แต่มือที่ได้ไปสัมผัสก็แตะต้องได้เพียงเปลือกไม้
แดฟนีพุ่งตัวออกไปด้วยใบหน้าที่กำลังตกใจสุดขีด ขณะที่สีหน้าของอะพอลโลกำลังประหลาดใจและตกใจไปพร้อมกัน ริ้วผ้าของทั้งคู่ปิดปลิวไปตามแรงวิ่งราวกับจะหลุดออกมาจากตัว เช่นเดียวกับเส้นผมซึ่งปลิวออกไปตามแรงเหวี่ยงด้วยเช่นกัน ปลายเท้าซึ่งกลายเป็นรากฝังลึกลงในพื้นดิน มือของเธอก็กำลังกลายเป็นกิ่งใบแตกสาขาออกไปในบัดนั้น และที่สุดยอดก็คือใบไม้ที่บางเฉียบเสียจนไม่อยากจะเชื่อว่ามันแกะมาจากหิน มันบอบบางดูราวกับว่าถ้าฉันเอามือไปแตะอาจจะหลุดลงมาเสียหาย
เท้าของเธอกลายเป็นรากหยั่งลึกลงพื้นดิน
นี่คือสุดยอดของงานประติมากรรมของโลกแบบไม่ต้องสงสัยเลย แบรีนี่ทำได้อย่างไรนะ ช่างไม่น่าเชื่อเลย เขาต้องเป็นมากกว่าอัจฉริยะ เขาต้องเป็นพ่อมดแน่ๆ ท่านไหนมีโอกาสได้มาที่หอศิลป์โบเกเช ขอให้ใช้เวลาไปกับการพินิจพิจารณาหนุ่มสาวคู่นี้ให้นานเต็มอิ่มนะ นี่คือบุญตา เป็นบุญแท้
ส่วนท่านไหนยังไม่ได้ไปเห็นของจริง มาเห็นที่บล็อกนี้ก็เป็นบุญตาบุญใจเหมือนกันแหละ ถ้ามีโอกาสได้ไปดูด้วยตัวเองจะคุ้มค่าต่อการเป็นมนุษย์มากจ้า
เอาละ หลังจากเล่าเรื่องงานศิลปะในบอร์เกเซมาหลายชิ้นแล้ว ก็ถึงเวลาพักของผมซะที จริงๆในนี้ยังมีงานดีๆอีกเยอะ หลายๆอันคิดว่าจะเขียนถึงแต่ก็ไม่ไหวแล้ว เพราะเดี๋ยวเราจะยังมีโปรแกรมพาไปไหนต่อไหนอีกมากมาย
ถึงเวลา สองชั่วโมงผ่านไป เจ้าหน้าที่ของหอศิลป์ก็ทำการขับไล่ คนที่มาชมออกไปพลัน เพื่อให้ผู้ชมกลุ่มใหม่เข้ามาชมงานในสถานที่แคบๆนี้ต่อไป หลายคนทำท่าอิดออดเหมือนยังดูไม่เสร็จ แต่เราคิดว่าพอแล้วละ อิ่มเอมและหิวข้าวไปพร้อมกัน
เดินออกมาจากบอร์เกเช ก็มาสู่สวนสาธารณะที่ร่มรื่น (จริงๆคือหนาวมาก) กระรอกน้อยวิ่งมาทักทายอีกแล้ว เดินเฉื่อยๆในสวนออกมาถึงถนน พลางคิดว่า ฉันอยากจะเกิดมาเป็นคนอิตาเลียนจังเลย ช่างน่าอิจฉา
ยามเย็นโพล้เพล้ ยังพอมีเวลาไปเดินเล่นแถวๆเมืองเก่า ไปดูอะไรเพลินๆกันก่อนกลับบ้าน ตามผมมาเรื่อยๆละกัน