หมอกข้างทาง (นิยายผีเล่มละบาท)

เสียงหอบหายใจของผมดังแข่งกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งไปบนหญ้า
ผมวิ่งสุดแรงเกิด ทั้งที่ขาเริ่มหมดแรง… หัวใจเต้นโครมคราม
 
หมอกหนาโคตร— หนาขนาดที่มองไปข้างหน้าก็แทบไม่เห็นอะไรเลย แต่ถึงมองไม่เห็น ผมก็รู้… รู้ว่ามีบางอย่างอยู่ข้างหลัง
 
เสียงฝีเท้าไม่ได้มีแค่ของผม มันอยู่ตรงนั้น... ดังอยู่ข้างหลัง… ใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
 
ตึก… ตึก… ตึก…
 
ผมกัดฟันวิ่งต่อ แต่เสียงนั่นก็เร่งจังหวะตามเหมือนกัน
 
ยิ้มเอ๊ย… ทำไมมันใกล้ขึ้นวะ
 
ความรู้สึกเย็นวาบแล่นขึ้นตามต้นคอ เหมือนมีลมหายใจร้อน ๆ เป่ารดอยู่ด้านหลัง
 
หันขวับไปมอง—


 
เรื่องผีส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นบนถนน— รถชนบ้าง วิญญาณโบกรถบ้าง เรื่องเล่าพวกนี้ได้ยินกันจนชิน
แต่ใครจะไปคิดว่า… แค่ข้างทางที่ผ่านทุกวัน ก็ทำให้ขนหัวลุกได้เหมือนกัน
 
"ผมจะเล่าให้ฟัง... เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผมเองเมื่อไม่นานมานี้"
 
ถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ พัฒนาเร็วมาก หมู่บ้านผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่ก็ยังมีที่ดินรกร้างแทรกอยู่เป็นระยะ ๆ พวกนายทุนคงรอให้เจริญกว่านี้อีกนิด แล้วค่อยสร้างบ้านขาย จะได้อัพราคาได้อีก
ถนนเส้นนั้น มีที่รกร้างจุดหนึ่งที่ผมต้องขับผ่านทุกเช้าวันทำงาน… ตรงนั้นจะมีหมอกหนาตลอด แทบทุกอาทิตย์ ผมเห็นหมอกไม่ต่ำกว่า 3-4 วัน ไม่ว่าอากาศจะเป็นยังไง ฤดูกาลไหน ที่แปลกคือ หมอกมันมีแค่ตรงนั้น รอบ ๆ ไม่มีเลย ถนนฝั่งตรงข้ามก็ดูปกติ ผ่านทีไรผมก็ได้แต่คิดว่า พิลึกชะมัด…
 
คืนนั้น ผมกลับจากงานเลี้ยงดึก ขับรถคนเดียวบนถนนที่เงียบสนิท
ดื่มเบียร์มานิดหน่อย 1 กระป๋องถ้วน เกือบจะถึงบ้านแล้ว ขับมาถึงจุดที่ทุกเช้ามีหมอก รู้สึกปวดฉี่ เพราะอั้นมาตั้งแต่ตอนขับรถออกจากที่จัดงาน เลยจอดรถข้างทาง
เดินเข้าไปในพงหญ้าริมถนนเพื่อปลดทุกข์ พอเกือบจะเสร็จธุระ  เพิ่งสังเกตว่าหมอกลงแล้ว เอ๊ะ...หมอกลงตอนนี้เลยเหรอ? คิดในใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็เห็นประจำทุกเช้า
 
สะบัดเล็กน้อยแล้วเก็บเข้าที่ มองไปบนฟ้า พระจันทร์เต็มดวงสวยมาก นึกสนุก จำได้ว่าหยิบเบียร์กระป๋องติดมือมาจากงานด้วย เลยเดินกลับไปเอาที่รถ นาน ๆ ทีจะมีฟีลแบบนี้...
 
ผมนั่งบนฝากระโปรงรถ จิบเบียร์มองพระจันทร์ไปเรื่อย ๆ ลืมเรื่องยุ่ง ๆ ที่ผ่านมาในวันนี้ หมอกยังอยู่แค่ข้างถนน แต่พอจิบไปสักพัก หมอกเริ่มเข้ามาปกคลุมถนน ใกล้รถขึ้นเรื่อย ๆ มันหนาขึ้นจนแสงไฟจากหน้ารถแทบจะไม่เห็นทาง
แปลก ๆ นะ มันดูเหมือนสีขาวขุ่นกำลังล้อมรอบรถ แต่ยังคิดว่า มันก็แค่หมอก พยายามทำใจให้สงบ กำลังจะยกเบียร์อึกสุดท้าย เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น...
 
เสียงร้องลอยมาตามลมแรงๆ ทำให้ผมสะดุ้ง เบียร์ในมือเกือบหล่น เห็นเงารางๆ ในหมอกหนาที่กำลังไหลคลุมถนน  หนาววูบเลย...  รถจอดอยู่ใกล้ๆ แต่หมอกหนามาก  เหมือนกำแพงกั้นอยู่  เสียงดังอีกที  คราวนี้ฟังแล้วเจ็บปวด  เหมือนขอความช่วยเหลือ  ผมลังเล  อยากรู้ก็อยากรู้  กลัวก็กลัว  เหมือนคุยกับตัวเอง
 
"อันตรายนะเว้ย ดึกขนาดนี้  เรื่องแบบนี้ในหนังก็มีบ่อยๆ นะ" 
 
"ช่างเถอะ  ที่นี่ไม่กว้างมากหรอก  เดินแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว  เผื่อใครเดือดร้อนจริงๆ  ปล่อยไว้ก็ไม่ดี"

ผมคิด  เหมือนจะเป็นคนดี แต่จริง ๆ แล้วแค่อยากรู้มากกว่า ตอนนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องผีหรอกครับ คนไม่เคยเจอนี่นา  ก็เลยเดินเข้าไปในหมอก


 
เสียงร้องแผ่วเบา ลอยมาจากไม่ไกล แต่หมอกหนาจนแทบมองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง เงยหน้าก็เห็นเพียงเงารางของพระจันทร์ ผมเดินตามเสียงไปเรื่อย ๆ ยิ่งเดินลึกเข้าไป หมอกยิ่งทึบ หนาแน่น  ปกคลุมไปทั่ว  ผมรีบก้มหน้าเดินต่อ  เพราะรู้สึกขนลุก  และใจเริ่มไม่ดี  เสียงกรีดร้องดังมาเป็นระยะ   รู้สึกว่าดังอยู่ใกล้ ๆ และชัดเจนขึ้น  ผมพยายามเร่งฝีเท้า  แต่ก็เดินลำบาก  เพราะหญ้ารก  หมอกก็หนา 
 
ผมยังเดินไปตามเสียงร้อง ก้าวเท้าแต่ละก้าวลงไปบนหญ้าสูงประมาณหน้าแข้ง บางทีเห็นอะไรแว่บๆ ผ่านหางตา แต่พอหันไปมองก็ไม่เห็นอะไร เดินไปก็คิดในใจ  แปลกๆ นะ  มองจากถนน  พื้นที่ตรงนี้ดูไม่ใหญ่มาก  แต่พอเดินเข้ามา  กลับรู้สึกเหมือนเดินไม่ถึงเสียงซะที  หมอกก็ปกคลุมทั่วไปหมด ขาวขุ่นจนมองอะไรไม่เห็นมากกว่าเดิม ความอยากรู้เริ่มถูกแทนที่ด้วยความกลัว
 
กลับรถดีกว่า ช่างเสียงนั่นมันเถอะ ผมคิด 
แต่… หมอกมันหนาขึ้นเร็วมาก  เหมือนมีชีวิต ล้อมรอบผมแบบแปลก ๆ ตาฝาดไปเองหรือเปล่านะ ผมเห็นสีขาวขุ่นรูปร่างเหมือนมือ จะยื่นมาจับผม
กำลังจะออกวิ่ง แต่รู้สึกว่ามีอะไรมาพันขาไว้ วิ่งไม่ค่อยออก…

มองลงไปเห็นมือเย็นๆ แข็งๆ เหมือนกระดูก คว้าเอาข้อเท้าไว้ ร่างกายกระแทกพื้น ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมา แต่ก็จมหายไปในความกลัว
ผมมองไล่ตามมือขึ้นไป  เห็นแค่ถึงข้อศอก  ไม่เห็นส่วนต่อจากนั้น  ผิวหนังแห้งกร้านเป็นสีเทาคล้ำ  เหมือนหนังที่ถูกแดดเผาจนไหม้เกรียม  เส้นเลือดปูดโปนไหลเยิ้ม รอยขาดของแขนเหมือนถูกของมีคมบาด
 
ได้ยินเสียงแปลก หันมองรอบ ๆ สิ่งที่เห็นคือเงา หลายๆ เงา  ค่อยๆ  ปรากฏชัดขึ้น  เป็นรูปร่างของสุนัข  หลายสิบตัว  พวกมันเดินออกมาจากหมอกอย่างช้าๆ ล้อมรอบผม  ขนเปียกโชก  ติดโคลน  ผอมโซ  ซี่โครงเห็นได้ชัด  ดวงตาสีแดงก่ำถลนออกมา บางตัวมีแผลฉกรรจ์  เนื้อเน่าเปื่อย  ได้กลิ่นเหม็นลอยเข้าจมูก  เหมือนสุนัขที่ตายข้างถนน พวกมันเดินโซเซ  ไม่มีเสียงเห่า  แต่มีเสียงครางเบา ๆ ลากยาวเหมือนเสียงแหบของคน อย่างกับอดอยากมานาน
 
"หิว.............. หิว................"
 
ผมกลัวจนไม่รู้ว่า สะบัดเท้าออกมาจากมือนั่นได้ยังไง ใจชื้นขึ้นมาบ้าง ลุกขึ้นวิ่งก่อนสมองจะสั่งการ  หมอกหนามาก  มองไม่เห็นอะไรเลย  ไม่มีจุดหมาย ไม่มีอะไรเป็นหลักให้ยึดเหนี่ยว  ทุกอย่างขาวโพลนไปหมด  ไม่อยากเชื่อว่าผมจะหลงทางในนี้ 
 


ขาเริ่มหนัก  เหนื่อยมาก  หายใจแรง  ไม่ไหวแล้ว  ผมต้องหยุดพัก  ตัดสินใจได้ก็นั่งลงบนพื้นที่เย็นชื้น  ชันเข่าก้มหน้าซบลง  นั่งอยู่แบบนั้น  พยายามหายใจให้มากที่สุด  หมอกยังคงหนาแน่น  มองไม่เห็นทางออก  ไม่มีอะไรเลยนอกจากสีขาวขุ่น  และความเงียบที่น่ากลัวกว่าเสียงใดๆ 
 
ตุบ.......
 
เหนื่อยจนไม่ได้ยินเสียงนั้นในตอนแรก จนมันดังถี่ขึ้นทุกที
 
ตุบ.......ตุบ........ตุบ
 
เหลียวหน้าขึ้นมองข้างตัว สิ่งนั้นก็ตกมาที่ไหล่ผมพอดี
ไส้.... ไส้เน่าๆ เหม็นๆ เห็นชัดเจนถึงเลือดที่ไหลออกมา
มันมาจากไหน? คิดพลางเงยหน้ามอง แล้วก็เห็นเป็นภาพช้าๆ....

ไส้แล้วไส้เล่า ลอยมาเรื่อยๆ พวกหมาผีพวกนั้น บางตัวกัดไส้ตัวเอง บางตัวกัดไส้ของตัวอื่น แล้วก็โยนมาให้ ไส้ไหนที่ร่วงจากปากก็กองอยู่ตามพื้น พวกมันยิ้มเยาะ สะใจ บางตัวที่โดนกัดไส้ ร้องครวญครางพลางหอนอย่างเจ็บปวด  แต่ดันฉีกปากกว้างเหมือนยิ้ม ดีใจที่นาน ๆ ทีได้เจอเหยื่อ
 
พักยังไม่ทันจะหายเหนื่อย ก็ต้องกัดฟันวิ่งต่อ ไส้ห้อยที่ไหล่ส่ายไปมา--- ใครจะอยู่ละครับ
เสียงหอบหายใจแข่งกับฝีเท้าบนหญ้า ผมวิ่งสุดแรง ขาล้ามากขึ้นทุกที หัวใจเต้นโครมคราม หมอกหนาจนแทบมองไม่เห็น แต่รู้ว่ามีอะไรตามหลัง เสียงมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  ตึก… ตึก… ตึก… ผมกัดฟันวิ่ง  แต่เสียงนั้นก็เร่งตาม  ความเย็นวาบขึ้นต้นคอ  เหมือนลมหายใจร้อนๆ ด้านหลัง  หันขวับไปมอง—



เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่  ร่างกายบิดเบี้ยวผิดรูป คล้ายถูกแรงกระแทกอย่างรุนแรง แขนข้างหนึ่งขาดไป  แขนขาอื่นๆ หักงอผิดธรรมชาติ เนื้อเยื่อฉีกขาด มีเลือดไหลซึมออกมาตามรอยแผล เสื้อผ้าขาดวิ่น เปื้อนเลือดและเศษดิน  ดวงตาที่เจ็บปวด ยื่นมือมาหาผม
 
อยากจะสวดมนต์แต่จำไม่ได้สักบท จะไปจำได้ยังไงล่ะ เกิดมาไม่เคยคิดจะสวดสักครั้ง นึกด่าตัวเองในใจ จังหวะนั้นคิดบทไหนออก ผมก็สวดออกไปก่อน
 
"นโมตัสสะ ภะคะวะโต สัพเพสัตตา..." บทสวดตีกันมั่วในหัวของผม 
 
มือซีดเผือดแทรกผ่านม่านหมอก นิ้วเรียวยาวสั่นไหวก่อนจะแตะลงบนแขนของผม 
 
"ช่วยด้วย…"
 
เสียงนั้นเบาหวิว แต่แฝงไปด้วยความสิ้นหวัง 
 
ช่วยอะไร?
 
คิดได้แค่นั้น ร่างกายเธอก็เคลื่อนเข้าใกล้โดยไม่รู้ตัว ผมมองผ่านหมอกที่ยังหนาทึบ ค่อย ๆ เห็นเงาร่างของหญิงสาว ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาเต็มไปด้วยร่องรอยความทรมาน
 
"ได้สิ… ได้สิ… ผมจะช่วย…"
 
เผลอพูดไปโดยไม่ทันคิด
แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น—
 
แกร๊ก…
 
บางอย่างหล่นกระทบพื้นข้างเท้า ผมก้มมองผ่านหมอกหนา กุญแจรถของผมเอง มันร่วงจากกระเป๋ากางเกงได้ยังไง?
เวลานี้หาเหตุผลไปก็เท่านั้น มือสั่นขณะผมคว้ากุญแจขึ้นมาอย่างลืมตัว นิ้วกดปุ่มมั่วไปหมด—
 
ปี๊น!
 
แตรรถแผดเสียงก้องสะท้อนในความเงียบ ไฟหน้ารถสว่างวาบ เจาะทะลุม่านหมอกจนเห็นพื้นดินเปียกชื้น ร่างซีดเผือดของหญิงสาวถอยห่างออกไป ผมได้สติ รีบวิ่งไปตามแสงไฟหน้ารถทันที  เห็นเงารถของตัวเองชัดขึ้นเรื่อย ๆ แล้วผมก็ทะลุหมอกออกมาได้



ภาพแรกที่เห็น คือตำรวจกำลังเดินมองรอบรถผม น่าจะเป็นสายตรวจตอนกลางคืน
 
"เฮ้! น้อง มาจอดรถทำไมตรงนี้?"
 
เสียงเข้มของเขาดังขึ้น ผมยืนหอบ เหงื่อซึมไปทั้งตัว พยายามพยุงตัวพิงฝากระโปรงรถ 
สายตรวจมองผมนิ่ง ๆ ไม่เร่งถามต่อ ปล่อยให้ผมได้พักและตั้งสติ ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
 
"หน้าซีดเชียวน้อง… ไปเจออะไรมาเรอะ?"
 
ผมเงยหน้ามองเขา ถามเหมือนตาเห็น แต่ยังพูดอะไรไม่ถูก ภาพในหัวตีกันยุ่งไปหมด สุดท้ายก็พยายามเรียบเรียงเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา—แบบสั่น ๆ เท่าที่จะทำได้
 
เขาฟังเงียบ ๆ พยักหน้าเบา ๆ ท่าทางไม่ได้แปลกใจนัก ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า
 
"ตรงนี้น่ะ เคยเป็นที่ที่คนเอาหมาถูกรถชนตายข้างถนนมาโยนทิ้งไว้ ตอนแรกมีแค่ตัวสองตัว แต่พอมีคนนึงทำ คนอื่นก็ทำตาม สุดท้ายกองรวมกันหลายสิบตัว ส่งกลิ่นเหม็นไปหมด ต้องขึ้นป้ายห้าม แต่ก็ยังมีคนแอบเอามาทิ้งอยู่ดี"
 
หยุดไปนิดนึง มองเลยไปทางพงหญ้าที่หมอกเริ่มบางลง แล้วพูดต่อช้า ๆ
 
"แล้วเมื่อสองสามเดือนก่อน… มีผู้หญิงคนนึงถูกรถบรรทุกชน ร่างกระเด็นไปตกตรงโน้น" เขาพูดเสียงเรียบ ชี้ไปจุดที่ผมเพิ่งออกมา "ตอนเก็บศพ ยังหาแขนอีกข้างไม่เจอ"
 
ขนลุกวาบขึ้นมา เมื่อคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเจอไป
 
"ตอนแรกพี่นึกว่าน้องเป็นพวกขโมย จะมาขึ้นหมู่บ้านแถวนี้ นี่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว กลับบ้านดี ๆ ล่ะ" 

เขาตบไหล่ผมเบา ๆ คงอยากให้ผ่อนคลายขึ้น ซึ่งก็ได้ผล 
ผมขอบคุณสายตรวจ เดินอย่างอ่อนล้าขึ้นรถ แต่ก่อนจะปิดประตู เห็นสายตรวจทำสีหน้าดูเป็นห่วง แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นช้า ๆ
 
"รับปากอะไรไว้… ก็รีบทำซะนะน้อง อย่าให้เขารอนาน"
 
ผมยิ้มให้ พยักหน้ารับ ก่อนปิดประตู 
 
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหมอกหรือเปล่า ที่ทำให้วิญญาณพวกนั้นไปสู่สุขติไม่ได้ หรือจริง ๆ แล้วพวกมันเป็นต้นเหตุของหมอกกันแน่
ส่ายหัวสะบัดความคิดทิ้งไป ช่างเถอะ...รอดมาได้ก็บุญแล้ว
ผมขับรถออกจากข้างทาง พลางดูกระจกมองข้างและกระจกมองหลัง เป็นความเคยชินที่ทำทุกครั้งก่อนขับรถ สะดุ้งสุดตัวกับภาพที่เห็น...
 
สายตรวจคนนั้น ยืนอยู่ข้างผู้หญิงที่ผมเจอในหมอก
มือของเขาลูบหัวหมาตัวหนึ่ง--ไส้ไหลอยู่กับพื้น
พวกเขาทั้งหมดกำลังยิ้มให้ผม
ได้ยินเสียงกระซิบกึ่งหลอกกึ่งเย้าข้างหู 
 
"อย่าลืมนะ...ฮิฮิ"

(จบ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่