วันกะหล่ำปลี 17 กุมภาพันธ์ (National Cabbage Day)
วันกะหล่ำปลีที่สหรัฐอเมริกาจัดขึ้น ทุกวันที่ 17 กุมภาพันธ์ของทุกปี
เพื่อเปลี่ยนโฉมหน้าผักที่อาจดูธรรมดาๆ ให้ทุกคนเห็นคุณประโยชน์มากขึ้น
และอักทั้งยังให้รสชาติที่หลากหลายในการนำไปปรุงอาหาร
: ถ้าเพื่อนๆ ชอบแบบรับชมรับฟัง สามารถเปิดไปได้ที่ Youtube: @lookatevent
...
กะหล่ำปลี ผักที่ดูพื้นๆนี้ แต่กลับมีประวัติยาวนานนับพันปีมาแล้ว โดยมีต้นกำเนิดจากแถบเอเชียตอนเหนือของจีน และแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกของยุโรป อีกทั้งผักในตระกูลเดียวกันอย่าง บรอกโคลี กะหล่ำดอก ผักกาดขาว โคห์ลราบี และเคล ต่างก็เป็นญาติกันกับกะหล่ำปลีทั้งสิ้น!
กะหล่ำปลีไม่ใช่แค่ผักที่ใช้ทำโคลสลอว์หรือนำไปหมักเป็นกิมจิเท่านั้น! แต่ยังเป็นแหล่งของใยอาหารและวิตามินที่ยอดเยี่ยม ทำให้เป็นที่นิยมไปทั่วโลก 🌍
.
แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าใครเป็นผู้ก่อตั้งวันนี้ แต่กะหล่ำปลีสามารถย้อนประวัติศาสตร์ได้ถึง 3-2,500 ปีก่อนคริสตกาล หรือราว 5-4,500 ปีที่แล้ว
โลกโบราณอารยธรรมแรกที่รุ่งเรืองนั้นอยู่ในยุคเมโสโปเตเมีย ที่ถือได้ว่าเป็นอารยธรรมแรกของโลก นับแต่มีการสืบค้นได้ของประวัติศาสตร์โบราณ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกอยู่ในยุค "หินใหม่" (Neolithic Age) และเริ่มเข้าสู่ ยุคทองแดง (Chalcolithic Age) ในช่วงเวลานี้เองที่มนุษย์เรานั้นเริ่มพัฒนาเกษตรกรรม การเลี้ยงสัตว์มากขึ้น ทำให้เกิดการตั้งถิ่นฐาน และวิวัฒนาการไปสู่การสร้างเมือง รวมถึงอารยธรรมต่างๆ และยังเป็นแหล่งกำเนิดของอารยธรรมซูเมอร์ ที่มีการพัฒนาระบบชลประทานและเกษตรกรรมขนาดใหญ่ขึ้น อีกทั้งชูเมอร์นั้นเป็นผู้คิดค้นอักษรลิ่ม ที่เป็นระบบเขียนแรกของโลก
.
กะหล่ำปลี หลักฐานทางประวัติศาสตร์ และพฤกษศาสตร์ชี้ว่า มีต้นกำเนิดจากแถบเมดิเตอร์เรเนียมตะวันออก หรือระหว่าง (กรีซ-ตุรกี-อียิปต์) และเอเชียตะวันออก ในแทบจีนตอนเหนือ ซึ่งมีแนวโน้มถึงการใช้กะหล่ำปลีป่า รวมทั้งมีหลักฐานว่ามีการปลูกพืชในตระกูลเดียวกัน
ส่วนกะหล่ำปลีในรูปแบบคล้ายกับที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ น่าจะถูกพัฒนาในยุค กรีกโบราณ ประมาณ 1,100 ปีก่อนคริสตกาล ช่วงเวลานี้นั้นถูกเรียกว่ายุคกรีกมึด เป็นช่วงที่อารยธรรมซบเซา เมืองหลายแห่งถูกทิ้งร้าง และไม่มีบันทึกทางประวัติศาสตร์มากนัก อย่างไรก็ตาม ชาวกรีกยังคงทำเกษตรกรรม พวกเขาน่าจะรู้จักและใช้กะหล่ำปลีป่า แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดเกี่ยวกับการปลูกเป็นพืชหลัก
.
ต่อมายุคคลาสสิก ประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อกรีกเข้าสู่ยุครุ่งเรือง เมืองใหญ่อย่างเอเธนส์ และสปาร์ตาเจริญขึ้น การค้า วิทยาศาสตร์ และการแพทย์ก้าวหน้าอย่างมาก ในช่วงเวลานี้เองที่บันทึกเกี่ยวกับกะหล่ำปลีเริ่มปรากฏ
กรีกโบราณถือว่ากะหล่ำปลีเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์และมีสรรพคุณทางยา โดยแพทย์ชื่อดัง ฮิปโปเครตีส (Hippocrates) ผู้เป็นบิดาแห่งการแพทย์ ได้บันทึกไว้ว่า "กะหล่ำปลีช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้" รวมทั้งกวีและนักปรัชญาชาวกรีก เช่น เธโอฟราสตัส (Theophrastus) ก็ได้กล่าวถึงกะหล่ำปลีในงานเขียนด้านพฤกษศาสตร์
หากมองในยุคนั้นกะหล่ำปลียังไม่ใช่มีลักษณะที่หัวแน่นๆ เหมือนที่เรากินกันในทุกวันนี้ แต่อาจคล้ายกับเคล หรือกะหล่ำปลีใบหยักมากกว่า
.
ส่วนหลักฐานในประวัติศาสตร์ของจีน มีบันทึกเก่าแก่ในตำรา "เซินหนงเปิ่นเฉาจิง" “Shennong Ben Cao Jing” (神农本草经) เป็นตำราสมุนไพรจีนโบราณที่เชื่อว่าถูกเขียนขึ้นในช่วง ราชวงศ์ฮั่น ประมาณ 206 ปีก่อนคริสตกาล กล่าวถึงพืชในตระกูลกะหล่ำว่ามีคุณค่าทางยา และยังเชื่อว่าทั้งกะหล่ำปลี และพืชในตระกูลเดียวกันนี้ สามารถช่วยบำรุงสุขภาพและรักษาโรคได้
และยังนิยมใช้พืชในตระกูลกะหล่ำ ถูกใช้ทำอาหารและซุปมากที่สุด มีหลักฐานว่า เริ่มมีการหมักผักกะหล่ำเพื่อถนอมอาหาร และยังเป็นไปได้อีกว่าอาจเป็นต้นกำเนิดของ "กิมจิ" ในภายหลัง
.
กะหล่ำปลีในยุคอียิปต์โบราณ อาจเก่าแก่กว่ายุคของกรีกโบราณ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วง 2,500 - 2,000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นช่วงที่อารยธรรมกำลังรุ่งเรื่อง โดยในสมัย อาณาจักรเก่า (Old Kingdom) และ อาณาจักรกลาง (Middle Kingdom)
แม้ว่าหลักฐานเกี่ยวกับกะหล่ำปลีจะไม่ชัดเจนเท่ากับธัญพืชหรือผักอื่นๆ แต่ก็มีข้อมูลบางอย่างที่บ่งชี้ว่าพวกเขาอาจมีการปลูกและกินพืชตระกูลกะหล่ำ
และหลักฐานนั้นอยู่ในสุสานและวิหารโบราณ มีภาพวาดที่แสดงถึงผักชนิดต่างๆ ที่ใช้ในพิธีกรรมและอาหารประจำวัน แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าเป็นกะหล่ำปลีหัวกลม แต่ก็อาจเป็นพืชในตระกูลเดียวกัน เช่น กะหล่ำปลีป่า หรือผักกาดบางชนิด
และในช่วงเวลาประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล ในตำราการแพทย์โบราณของอียิปต์ บันทึกกระดาษปาปิรุสเอเบอร์ส มีระบุถึงพืชผักที่ใช้ในการรักษาโรค แม้จะไม่ได้กล่าวถึงกะหล่ำปลีโดยตรง แต่พืชในตระกูลเดียวกันอาจถูกนำมาใช้ในตำรายา
ในช่วงอียิปต์โบราณตอนปลาย หรือประมาณ 500 -30 ปีก่อนคริสตกาล เมื่ออียิปต์มีการติดต่อกับอารยธรรมกรีกและโรมัน พืชที่มีลักษณะคล้ายกะหล่ำปลีอาจถูกนำเข้ามาผ่านการค้าทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
.
มาในช่วงยุคกลาง มันได้กลายเป็น ส่วนสำคัญของอาหารยุโรป โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 17 และ 18 ซึ่งกะหล่ำปลีเป็นอาหารหลักใน เยอรมนี อังกฤษ ไอร์แลนด์ และรัสเซีย ที่นิยมบริโภคในรูปแบบ กะหล่ำปลีดอง
กะหล่ำปลีเดินทางมาถึงอเมริกาเหนือในปี ค.ศ. 1541 โดยนักสำรวจชาวฝรั่งเศส ฌาค คาร์ตีเย และในศตวรรษที่ 18 มันก็กลายเป็นพืชที่นิยมปลูกในหมู่ชาวอาณานิคมและชนพื้นเมืองอเมริกัน
.
ทุกวันนี้ โลกผลิตกะหล่ำปลีและพืชในตระกูลเดียวกันรวมกันเกือบ 69 ล้านตันต่อปี โดย จีนเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่ง คิดเป็น 48% ของปริมาณทั้งหมด แม้ว่ากะหล่ำปลีอาจถูกมองข้าม แต่ด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูงและความหลากหลายในการปรุงอาหาร ทำให้มันเป็นที่นิยมทั่วโลก 🌏🥬
.
วิธีอร่อยกับกะหล่ำปลี ที่สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น กินสด, นึ่ง, ต้ม, อบ, เคี่ยว, ทอด หรือแม้แต่ หมักดอง
และยังมีเมนูหลากหลายจากหลายประเทศที่ใช้กะหล่ำปลีเป็นส่วนประกอบหลัก อย่าง:
กิมจิ (Kimchi) - ของประเทศเกาหลีใต้ ที่คนทั่วโลกรู้จักกันเป็นอย่างดี จากการนำกะหล่ำปลีไปหมักกับเกลือ พริกป่น กระเทียม และขิง จัดเป็นเครื่องเคียงที่มีทั้งรสเผ็ดและเปรี้ยว ไม่ว่าจะกินกับข้าว หรือกินคู่กับอาหารจานโปรดที่ชอบก็อร่อยลงตัว
โคลสลอว์ (Coleslaw) - ของประเทศสหรัฐอเมริกา เรียกว่าเป็นสลัดกะหล่ำปลีหั่นฝอย ผสมกับแครอทและน้ำสลัดครีมมี่
ซาวเคราท์ (Sauerkraut) - ของประเทศเยอรมนี กะหล่ำปลีหมักเกลือจนมีรสเปรี้ยว เสิร์ฟคู่กับไส้กรอกหรือจะเป็นเนื้อสัตว์ต่างๆ
โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki) - ของประเทศญี่ปุ่น แพนเค้กญี่ปุ่นที่ผสมกะหล่ำปลีหั่นฝอย แป้ง ไข่ และส่วนผสมอื่นๆ ตามชอบ ทอดจนสุก
โรลกะหล่ำปลียัดไส้ (Stuffed Cabbage Rolls) - เมนูนี้มีอยู่หลายประเทศในยุโรป กะหล่ำปลีห่อไส้ที่ทำจากเนื้อสับ ข้าว และเครื่องปรุง แล้วนำไปตุ๋นหรืออบจนสุก
ผัดกะหล่ำปลี (Stir-Fried Cabbage) - ของประเทศจีน เมนูคลาสสิกที่นำกะหล่ำปลีผัดกับกระเทียมและซอสถั่วเหลือง เป็นเมนูง่ายๆ แต่อร่อย
...
มาดูเมนูที่ใช้กะหล่ำปลี
1. Corned Beef and Cabbage
2. Roasted Cabbage
3. Reuben Bowls
4. Moo Shu Pork
5. Thai-Style Salad
...
เรื่องราวของกะหล่ำปลี พืชที่อยู่คู่มนุษย์มายาวนานกว่าที่เราคิด 🌱 จากการเป็นอาหารของชาวโบราณ สู่วัตถุดิบสำคัญในครัวเรือนทั่วโลก เรื่องราวของมันเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าค้นหา และคุณค่าทางประวัติศาสตร์
.
ว่าแต่ เมนูที่ใช้กะหล่ำปลีใน 🧡 ของเพื่อนๆ มีเมนูไหนกันบ้าง แนะนำร้านกันมาได้นะครับผม
: ปล. ถ้าชอบคลิปใน Youtube รบกวนเพื่อนๆ ช่วยสับตะไคร้ เป็นกำลังใจให้กันด้วยครับผม (ตามด้วย กระเทียม หอมแดงซอย พริกสด ต้นหอม ผักชี มะนาว น้ำตาลปิ๊บ เนื้อแซลมอนสด = ยำตะไคร้แซลมอน)
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: wikidates
: wikipedia
: britannica
: egyptmythology
: nass .usda
: fao
: atlasbig
: allrecipes
: delish
: Canva
.
LookAt
ชีไม่ช้ำ.. กะหล่ำปลี ผักที่ประวัติศาสตร์ไม่ธรรมดา
: https://youtu.be/lY1Vlz8gD3Y
กะหล่ำปลีไม่ใช่แค่ผักที่ใช้ทำโคลสลอว์หรือนำไปหมักเป็นกิมจิเท่านั้น! แต่ยังเป็นแหล่งของใยอาหารและวิตามินที่ยอดเยี่ยม ทำให้เป็นที่นิยมไปทั่วโลก 🌍
.
แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าใครเป็นผู้ก่อตั้งวันนี้ แต่กะหล่ำปลีสามารถย้อนประวัติศาสตร์ได้ถึง 3-2,500 ปีก่อนคริสตกาล หรือราว 5-4,500 ปีที่แล้ว
โลกโบราณอารยธรรมแรกที่รุ่งเรืองนั้นอยู่ในยุคเมโสโปเตเมีย ที่ถือได้ว่าเป็นอารยธรรมแรกของโลก นับแต่มีการสืบค้นได้ของประวัติศาสตร์โบราณ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกอยู่ในยุค "หินใหม่" (Neolithic Age) และเริ่มเข้าสู่ ยุคทองแดง (Chalcolithic Age) ในช่วงเวลานี้เองที่มนุษย์เรานั้นเริ่มพัฒนาเกษตรกรรม การเลี้ยงสัตว์มากขึ้น ทำให้เกิดการตั้งถิ่นฐาน และวิวัฒนาการไปสู่การสร้างเมือง รวมถึงอารยธรรมต่างๆ และยังเป็นแหล่งกำเนิดของอารยธรรมซูเมอร์ ที่มีการพัฒนาระบบชลประทานและเกษตรกรรมขนาดใหญ่ขึ้น อีกทั้งชูเมอร์นั้นเป็นผู้คิดค้นอักษรลิ่ม ที่เป็นระบบเขียนแรกของโลก
กะหล่ำปลี หลักฐานทางประวัติศาสตร์ และพฤกษศาสตร์ชี้ว่า มีต้นกำเนิดจากแถบเมดิเตอร์เรเนียมตะวันออก หรือระหว่าง (กรีซ-ตุรกี-อียิปต์) และเอเชียตะวันออก ในแทบจีนตอนเหนือ ซึ่งมีแนวโน้มถึงการใช้กะหล่ำปลีป่า รวมทั้งมีหลักฐานว่ามีการปลูกพืชในตระกูลเดียวกัน
ส่วนกะหล่ำปลีในรูปแบบคล้ายกับที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ น่าจะถูกพัฒนาในยุค กรีกโบราณ ประมาณ 1,100 ปีก่อนคริสตกาล ช่วงเวลานี้นั้นถูกเรียกว่ายุคกรีกมึด เป็นช่วงที่อารยธรรมซบเซา เมืองหลายแห่งถูกทิ้งร้าง และไม่มีบันทึกทางประวัติศาสตร์มากนัก อย่างไรก็ตาม ชาวกรีกยังคงทำเกษตรกรรม พวกเขาน่าจะรู้จักและใช้กะหล่ำปลีป่า แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดเกี่ยวกับการปลูกเป็นพืชหลัก
.
ต่อมายุคคลาสสิก ประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อกรีกเข้าสู่ยุครุ่งเรือง เมืองใหญ่อย่างเอเธนส์ และสปาร์ตาเจริญขึ้น การค้า วิทยาศาสตร์ และการแพทย์ก้าวหน้าอย่างมาก ในช่วงเวลานี้เองที่บันทึกเกี่ยวกับกะหล่ำปลีเริ่มปรากฏ
กรีกโบราณถือว่ากะหล่ำปลีเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์และมีสรรพคุณทางยา โดยแพทย์ชื่อดัง ฮิปโปเครตีส (Hippocrates) ผู้เป็นบิดาแห่งการแพทย์ ได้บันทึกไว้ว่า "กะหล่ำปลีช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้" รวมทั้งกวีและนักปรัชญาชาวกรีก เช่น เธโอฟราสตัส (Theophrastus) ก็ได้กล่าวถึงกะหล่ำปลีในงานเขียนด้านพฤกษศาสตร์
ส่วนหลักฐานในประวัติศาสตร์ของจีน มีบันทึกเก่าแก่ในตำรา "เซินหนงเปิ่นเฉาจิง" “Shennong Ben Cao Jing” (神农本草经) เป็นตำราสมุนไพรจีนโบราณที่เชื่อว่าถูกเขียนขึ้นในช่วง ราชวงศ์ฮั่น ประมาณ 206 ปีก่อนคริสตกาล กล่าวถึงพืชในตระกูลกะหล่ำว่ามีคุณค่าทางยา และยังเชื่อว่าทั้งกะหล่ำปลี และพืชในตระกูลเดียวกันนี้ สามารถช่วยบำรุงสุขภาพและรักษาโรคได้
และยังนิยมใช้พืชในตระกูลกะหล่ำ ถูกใช้ทำอาหารและซุปมากที่สุด มีหลักฐานว่า เริ่มมีการหมักผักกะหล่ำเพื่อถนอมอาหาร และยังเป็นไปได้อีกว่าอาจเป็นต้นกำเนิดของ "กิมจิ" ในภายหลัง
.
กะหล่ำปลีในยุคอียิปต์โบราณ อาจเก่าแก่กว่ายุคของกรีกโบราณ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วง 2,500 - 2,000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นช่วงที่อารยธรรมกำลังรุ่งเรื่อง โดยในสมัย อาณาจักรเก่า (Old Kingdom) และ อาณาจักรกลาง (Middle Kingdom)
แม้ว่าหลักฐานเกี่ยวกับกะหล่ำปลีจะไม่ชัดเจนเท่ากับธัญพืชหรือผักอื่นๆ แต่ก็มีข้อมูลบางอย่างที่บ่งชี้ว่าพวกเขาอาจมีการปลูกและกินพืชตระกูลกะหล่ำ
และหลักฐานนั้นอยู่ในสุสานและวิหารโบราณ มีภาพวาดที่แสดงถึงผักชนิดต่างๆ ที่ใช้ในพิธีกรรมและอาหารประจำวัน แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าเป็นกะหล่ำปลีหัวกลม แต่ก็อาจเป็นพืชในตระกูลเดียวกัน เช่น กะหล่ำปลีป่า หรือผักกาดบางชนิด
และในช่วงเวลาประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล ในตำราการแพทย์โบราณของอียิปต์ บันทึกกระดาษปาปิรุสเอเบอร์ส มีระบุถึงพืชผักที่ใช้ในการรักษาโรค แม้จะไม่ได้กล่าวถึงกะหล่ำปลีโดยตรง แต่พืชในตระกูลเดียวกันอาจถูกนำมาใช้ในตำรายา
ในช่วงอียิปต์โบราณตอนปลาย หรือประมาณ 500 -30 ปีก่อนคริสตกาล เมื่ออียิปต์มีการติดต่อกับอารยธรรมกรีกและโรมัน พืชที่มีลักษณะคล้ายกะหล่ำปลีอาจถูกนำเข้ามาผ่านการค้าทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
มาในช่วงยุคกลาง มันได้กลายเป็น ส่วนสำคัญของอาหารยุโรป โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 17 และ 18 ซึ่งกะหล่ำปลีเป็นอาหารหลักใน เยอรมนี อังกฤษ ไอร์แลนด์ และรัสเซีย ที่นิยมบริโภคในรูปแบบ กะหล่ำปลีดอง
กะหล่ำปลีเดินทางมาถึงอเมริกาเหนือในปี ค.ศ. 1541 โดยนักสำรวจชาวฝรั่งเศส ฌาค คาร์ตีเย และในศตวรรษที่ 18 มันก็กลายเป็นพืชที่นิยมปลูกในหมู่ชาวอาณานิคมและชนพื้นเมืองอเมริกัน
.
ทุกวันนี้ โลกผลิตกะหล่ำปลีและพืชในตระกูลเดียวกันรวมกันเกือบ 69 ล้านตันต่อปี โดย จีนเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่ง คิดเป็น 48% ของปริมาณทั้งหมด แม้ว่ากะหล่ำปลีอาจถูกมองข้าม แต่ด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูงและความหลากหลายในการปรุงอาหาร ทำให้มันเป็นที่นิยมทั่วโลก 🌏🥬
.
วิธีอร่อยกับกะหล่ำปลี ที่สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น กินสด, นึ่ง, ต้ม, อบ, เคี่ยว, ทอด หรือแม้แต่ หมักดอง
และยังมีเมนูหลากหลายจากหลายประเทศที่ใช้กะหล่ำปลีเป็นส่วนประกอบหลัก อย่าง:
กิมจิ (Kimchi) - ของประเทศเกาหลีใต้ ที่คนทั่วโลกรู้จักกันเป็นอย่างดี จากการนำกะหล่ำปลีไปหมักกับเกลือ พริกป่น กระเทียม และขิง จัดเป็นเครื่องเคียงที่มีทั้งรสเผ็ดและเปรี้ยว ไม่ว่าจะกินกับข้าว หรือกินคู่กับอาหารจานโปรดที่ชอบก็อร่อยลงตัว
โคลสลอว์ (Coleslaw) - ของประเทศสหรัฐอเมริกา เรียกว่าเป็นสลัดกะหล่ำปลีหั่นฝอย ผสมกับแครอทและน้ำสลัดครีมมี่
ซาวเคราท์ (Sauerkraut) - ของประเทศเยอรมนี กะหล่ำปลีหมักเกลือจนมีรสเปรี้ยว เสิร์ฟคู่กับไส้กรอกหรือจะเป็นเนื้อสัตว์ต่างๆ
โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki) - ของประเทศญี่ปุ่น แพนเค้กญี่ปุ่นที่ผสมกะหล่ำปลีหั่นฝอย แป้ง ไข่ และส่วนผสมอื่นๆ ตามชอบ ทอดจนสุก
โรลกะหล่ำปลียัดไส้ (Stuffed Cabbage Rolls) - เมนูนี้มีอยู่หลายประเทศในยุโรป กะหล่ำปลีห่อไส้ที่ทำจากเนื้อสับ ข้าว และเครื่องปรุง แล้วนำไปตุ๋นหรืออบจนสุก
ผัดกะหล่ำปลี (Stir-Fried Cabbage) - ของประเทศจีน เมนูคลาสสิกที่นำกะหล่ำปลีผัดกับกระเทียมและซอสถั่วเหลือง เป็นเมนูง่ายๆ แต่อร่อย
...
มาดูเมนูที่ใช้กะหล่ำปลี
1. Corned Beef and Cabbage
2. Roasted Cabbage
3. Reuben Bowls
4. Moo Shu Pork
5. Thai-Style Salad
...
เรื่องราวของกะหล่ำปลี พืชที่อยู่คู่มนุษย์มายาวนานกว่าที่เราคิด 🌱 จากการเป็นอาหารของชาวโบราณ สู่วัตถุดิบสำคัญในครัวเรือนทั่วโลก เรื่องราวของมันเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าค้นหา และคุณค่าทางประวัติศาสตร์
.
ว่าแต่ เมนูที่ใช้กะหล่ำปลีใน 🧡 ของเพื่อนๆ มีเมนูไหนกันบ้าง แนะนำร้านกันมาได้นะครับผม
: ปล. ถ้าชอบคลิปใน Youtube รบกวนเพื่อนๆ ช่วยสับตะไคร้ เป็นกำลังใจให้กันด้วยครับผม (ตามด้วย กระเทียม หอมแดงซอย พริกสด ต้นหอม ผักชี มะนาว น้ำตาลปิ๊บ เนื้อแซลมอนสด = ยำตะไคร้แซลมอน)
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: wikidates
: wikipedia
: britannica
: egyptmythology
: nass .usda
: fao
: atlasbig
: allrecipes
: delish
: Canva
.
LookAt