BOI ชี้แจง “นิสสัน” รวมสายการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการต้นทุน และเตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ในประเทศไทย ชี้ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในอาเซียน ยืนยันเดินหน้าลงทุนเพิ่ม ตามมาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฮบริด (HEV)ที่ผ่านบอร์ดอีวีแล้ว
.
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวถึงกรณี บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด ประกาศปิดโรงงานผลิตรถยนต์ 3 แห่งทั่วโลก พร้อมลดกำลังการผลิตและปรับลดพนักงาน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยหนึ่งในโรงงานที่จะปิดเป็นโรงงานแห่งแรกของนิสสันในประเทศไทยนั้น ว่า ภายหลังจากทราบข่าว บีโอไอได้หารือกับ นายโทชิฮิโระ ฟูจิกิ ประธานบริษัทนิสสัน ภูมิภาคอาเซียน และนิสสันประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา
.
โดยผู้บริหารของนิสสันได้ชี้แจงว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นการรวมสายการผลิต (Line Integration) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุน และเป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูกิจการและปรับโครงสร้างธุรกิจทั่วโลกของนิสสัน
.
โดยจะเป็นการรวมกระบวนการผลิตรถยนต์บางส่วนจากโรงงานที่ 1 ซึ่งเป็นโรงงานดั้งเดิมที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 ไปยังโรงงานที่ 2 ที่อยู่ในพื้นที่ติดกัน ซึ่งก่อตั้งในปี พ.ศ. 2557 พร้อมทั้งจะดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพสายการผลิต โดยโรงงานที่ 1 จะถูกปรับให้เป็นโรงงานประกอบตัวถังและปั๊มขึ้นรูปชิ้นส่วน รวมถึงงานโลจิสติกส์ภายในโรงงาน
.
ขณะที่การประกอบรถยนต์ของนิสสัน จะไปรวมอยู่ที่โรงงานที่ 2 ซึ่งนิสสันเตรียมเริ่มดำเนินการตามแผนตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป โดยความพยายามดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายในการปรับลดต้นทุนคงที่ในการดำเนินธุรกิจให้เหมาะสม และเตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ในประเทศไทย
.
นอกจากนี้ ผู้บริหารของนิสสัน ได้ยืนยันว่า ประเทศไทยจะยังคงเป็นตลาดสำคัญของนิสสันในภูมิภาคอาเซียน โดยฐานการผลิตในไทยเป็นเพียงประเทศเดียวในอาเซียนที่นิสสันเป็นผู้ลงทุนเอง อีกทั้งยังใช้ประเทศไทยเป็นฐานของสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarters) เพื่อกำกับดูแลกิจการในประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนด้วย บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะเติบโต พัฒนาแบรนด์และธุรกิจในตลาดอาเซียนและประเทศไทยต่อไป
.
โดยมีแผนจะลงทุนเพิ่มเติม เพื่อผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ในประเทศไทย ซึ่งมีแผนจะเปิดตัวในช่วงปี พ.ศ. 2569 - 2570 และจะขอรับการส่งเสริมตาม “มาตรการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า” ซึ่งจะมีการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับการผลิตรถยนต์ไฮบริด (HEV) เหลือร้อยละ 6 - 9 มีผลตั้งแต่เริ่มใช้โครงสร้างภาษีใหม่เป็นเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2569 – 2575)
.
.
ที่มา
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1166994?anm=
‘นิสสัน‘ ยังไม่ปิดโรงงานในไทย BOI แจงแค่รวมสายการผลิต จ่อลงทุนผลิตรถไฮบริดเพิ่ม
.
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวถึงกรณี บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด ประกาศปิดโรงงานผลิตรถยนต์ 3 แห่งทั่วโลก พร้อมลดกำลังการผลิตและปรับลดพนักงาน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยหนึ่งในโรงงานที่จะปิดเป็นโรงงานแห่งแรกของนิสสันในประเทศไทยนั้น ว่า ภายหลังจากทราบข่าว บีโอไอได้หารือกับ นายโทชิฮิโระ ฟูจิกิ ประธานบริษัทนิสสัน ภูมิภาคอาเซียน และนิสสันประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา
.
โดยผู้บริหารของนิสสันได้ชี้แจงว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นการรวมสายการผลิต (Line Integration) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุน และเป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูกิจการและปรับโครงสร้างธุรกิจทั่วโลกของนิสสัน
.
โดยจะเป็นการรวมกระบวนการผลิตรถยนต์บางส่วนจากโรงงานที่ 1 ซึ่งเป็นโรงงานดั้งเดิมที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 ไปยังโรงงานที่ 2 ที่อยู่ในพื้นที่ติดกัน ซึ่งก่อตั้งในปี พ.ศ. 2557 พร้อมทั้งจะดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพสายการผลิต โดยโรงงานที่ 1 จะถูกปรับให้เป็นโรงงานประกอบตัวถังและปั๊มขึ้นรูปชิ้นส่วน รวมถึงงานโลจิสติกส์ภายในโรงงาน
.
ขณะที่การประกอบรถยนต์ของนิสสัน จะไปรวมอยู่ที่โรงงานที่ 2 ซึ่งนิสสันเตรียมเริ่มดำเนินการตามแผนตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป โดยความพยายามดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายในการปรับลดต้นทุนคงที่ในการดำเนินธุรกิจให้เหมาะสม และเตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ในประเทศไทย
.
นอกจากนี้ ผู้บริหารของนิสสัน ได้ยืนยันว่า ประเทศไทยจะยังคงเป็นตลาดสำคัญของนิสสันในภูมิภาคอาเซียน โดยฐานการผลิตในไทยเป็นเพียงประเทศเดียวในอาเซียนที่นิสสันเป็นผู้ลงทุนเอง อีกทั้งยังใช้ประเทศไทยเป็นฐานของสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarters) เพื่อกำกับดูแลกิจการในประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนด้วย บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะเติบโต พัฒนาแบรนด์และธุรกิจในตลาดอาเซียนและประเทศไทยต่อไป
.
โดยมีแผนจะลงทุนเพิ่มเติม เพื่อผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ในประเทศไทย ซึ่งมีแผนจะเปิดตัวในช่วงปี พ.ศ. 2569 - 2570 และจะขอรับการส่งเสริมตาม “มาตรการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า” ซึ่งจะมีการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับการผลิตรถยนต์ไฮบริด (HEV) เหลือร้อยละ 6 - 9 มีผลตั้งแต่เริ่มใช้โครงสร้างภาษีใหม่เป็นเวลา 7 ปี (พ.ศ. 2569 – 2575)
.
.
ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1166994?anm=