เท่าที่ลองเดาใจป๋าทรัมป์ กับป๋ามัสก์ พี่แกเนื่องจากเป็นนัธุรกิจทั้งคู่
พี่แกคงเห็นงบดุลของสหรัฐแล้วว่า อยู่งี้มีแต่กู้ กับกู้ จนหนี้บานไม่หยุดแน่
สิ่งที่นักธุรกิจทำ เค้าไม่ไ้คิดอะไรมากนอกจาก เพิ่มรายได้ (ภาษี) ลดรายจ่าย เพื่อให้กลับมามีกำไร
เพิ่มรายได้ก็อย่างที่ป๋าเค้าทำ ใช้ข้อได้เปรียบเนื่องจากเป็นลูกค้ารายใหญ่ของแต่ละประเทศ ทำให้มีอำนาจต่อรองมาก
มากจนสามารถเพิ่มอัตราภาษีกับคู่ค้าได้ อีกทางนึงก็เป็นการช่วยผู้ประกอบการในประเทศให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าได้
แต่สิ่งที่ตามมาก็คือสิ่งที่ป๋าพาวเวลแอบระวัง คือ เงินเฟ้อ จากการปรับขึ้นของราคาสินค้าที่เกิดจากต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นอีก
(ทำให้ตอนนี้คิดได้แค่ว่า ดอกเบี้ยถัดจากนี้น่าจะหยุดลงแล้วเพื่อรอดูท่าทีเงินเฟ้อก่อน จะลดลงได้ก็คงมีแต่ป๋าทรัมป์ไปบีบไข่ป๋าพาวเวลจนต้องยอมลด)
ลดรายจ่าย ก็จะเป็นเรื่องการ lean ไขมันคชจ.ภาครัฐที่ดูมากเกินความจำเป็น จนไปถึงเชื่อว่า พวกสวัสดิการต่างๆ อาจจะไม่เหมือนเดิม
แต่ที่แน่ๆตอนนี้สำหรับสหรัฐโดยป๋าทรัมป์แล้วมองว่า อะไรที่ ไม่ใช่พี่กันก่อน จะตัดทิ้งทันที
(เห็นมั้ย เห็นอัตลักษณ์ของป๋ามั้ยว่า มันชัดเจนแค่ไหน อย่างที่เคยบอก ถ้าไม่ชอบสุด ก็โคตรเกลียดเลย)
ดังนั้นเมื่อรายจ่ายลด ซึ่งก็หมายถึงการแจกเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจมีแนวโน้มกำลังจะลดลง
สิ่งที่จะตามมาคือ เงินกำลังจะหายากขึ้น คำว่า หายากขึ้นก็หมายถึงจะเกิดภาวะเศรษฐกิจฝืดตัวในอนาคตได้
แต่ด้วยการมาของ 2 ทาง คือ เงินเฟ้อจากการเพิ่มภาษี และเงินฝืดจากการลดรายจ่ายมาเจอกัน
อะไรกำลังจะเกิดขึ้น ใช่ฮะ จะเห็น stagflation หนักขึ้นอีกในเศรษฐกิจโลก จะเห็นความเหลื่อมล้ำสูงขึ้นทั้งในระดับ macro และ micro
macro คือ ประเทศที่รวยอยู่แล้วจะรวยมากขึ้นอีกเพราะศักยภาพของประเทศที่ได้เปรียบกว่าเยอะ
ประเทศที่จน หรือไม่มีนวัตกรรม ไม่เติบโต ก็จะยิ่งหาทางฟื้นกลับมาได้ยากมากขึ้นอีก
micro ก็ระดับเราๆท่านๆ มีเงินเค้านับเป็นน้อง มีทองเค้านับเป็นพี่ ไม่มีหนี้ถือว่า ยอดคน
ส่วนหุ้นตอนนี้ใครมีคงได้แต่บอกว่า เอ็งจ่ายปันผลก็ดีนะ แต่อย่าลงมากกว่าปันผลได้มั้ยฮะ
สิ่งที่สหรัฐกำลังจะทำ
พี่แกคงเห็นงบดุลของสหรัฐแล้วว่า อยู่งี้มีแต่กู้ กับกู้ จนหนี้บานไม่หยุดแน่
สิ่งที่นักธุรกิจทำ เค้าไม่ไ้คิดอะไรมากนอกจาก เพิ่มรายได้ (ภาษี) ลดรายจ่าย เพื่อให้กลับมามีกำไร
เพิ่มรายได้ก็อย่างที่ป๋าเค้าทำ ใช้ข้อได้เปรียบเนื่องจากเป็นลูกค้ารายใหญ่ของแต่ละประเทศ ทำให้มีอำนาจต่อรองมาก
มากจนสามารถเพิ่มอัตราภาษีกับคู่ค้าได้ อีกทางนึงก็เป็นการช่วยผู้ประกอบการในประเทศให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าได้
แต่สิ่งที่ตามมาก็คือสิ่งที่ป๋าพาวเวลแอบระวัง คือ เงินเฟ้อ จากการปรับขึ้นของราคาสินค้าที่เกิดจากต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นอีก
(ทำให้ตอนนี้คิดได้แค่ว่า ดอกเบี้ยถัดจากนี้น่าจะหยุดลงแล้วเพื่อรอดูท่าทีเงินเฟ้อก่อน จะลดลงได้ก็คงมีแต่ป๋าทรัมป์ไปบีบไข่ป๋าพาวเวลจนต้องยอมลด)
ลดรายจ่าย ก็จะเป็นเรื่องการ lean ไขมันคชจ.ภาครัฐที่ดูมากเกินความจำเป็น จนไปถึงเชื่อว่า พวกสวัสดิการต่างๆ อาจจะไม่เหมือนเดิม
แต่ที่แน่ๆตอนนี้สำหรับสหรัฐโดยป๋าทรัมป์แล้วมองว่า อะไรที่ ไม่ใช่พี่กันก่อน จะตัดทิ้งทันที
(เห็นมั้ย เห็นอัตลักษณ์ของป๋ามั้ยว่า มันชัดเจนแค่ไหน อย่างที่เคยบอก ถ้าไม่ชอบสุด ก็โคตรเกลียดเลย)
ดังนั้นเมื่อรายจ่ายลด ซึ่งก็หมายถึงการแจกเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจมีแนวโน้มกำลังจะลดลง
สิ่งที่จะตามมาคือ เงินกำลังจะหายากขึ้น คำว่า หายากขึ้นก็หมายถึงจะเกิดภาวะเศรษฐกิจฝืดตัวในอนาคตได้
แต่ด้วยการมาของ 2 ทาง คือ เงินเฟ้อจากการเพิ่มภาษี และเงินฝืดจากการลดรายจ่ายมาเจอกัน
อะไรกำลังจะเกิดขึ้น ใช่ฮะ จะเห็น stagflation หนักขึ้นอีกในเศรษฐกิจโลก จะเห็นความเหลื่อมล้ำสูงขึ้นทั้งในระดับ macro และ micro
macro คือ ประเทศที่รวยอยู่แล้วจะรวยมากขึ้นอีกเพราะศักยภาพของประเทศที่ได้เปรียบกว่าเยอะ
ประเทศที่จน หรือไม่มีนวัตกรรม ไม่เติบโต ก็จะยิ่งหาทางฟื้นกลับมาได้ยากมากขึ้นอีก
micro ก็ระดับเราๆท่านๆ มีเงินเค้านับเป็นน้อง มีทองเค้านับเป็นพี่ ไม่มีหนี้ถือว่า ยอดคน
ส่วนหุ้นตอนนี้ใครมีคงได้แต่บอกว่า เอ็งจ่ายปันผลก็ดีนะ แต่อย่าลงมากกว่าปันผลได้มั้ยฮะ