เซียนชี้ช่อง "ฟื้น LTF - ThaiESG ลุยหุ้นเต็มสูบ" อัพเสน่ห์ SET ดึงเงินไหลเข้า
KEY POINTS
เซียนวีไอ "อธิป กีรติพิชญ์" ชี้เป้าฟื้นกองทุนรวม LTF พร้อมเดินหน้า กองทุน ThaiESG ลุยหุ้นเต็มพิกัด
คาดเพิ่มเสน่ห์และดึงเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยรอดวิกฤติ
ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นเผชิญความท้าทายจากวิกฤติเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงในตลาดโลก ด้วยแรงกดดันอันหนักหน่วงสะท้อนผ่านความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทย นับตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบัน(YTD) ระหว่างวันที่ 2 ม.ค.-11 ก.พ.2568 ดัชนีปรับตัวลดลง -116.24 จุด คิดเป็น -8.30% แตะระดับ 1,283.97 จุด มูลค่าการซื้อขาย 1,167,595.65 ล้านบาท มาร์เก็ตแคป 15,999,045.59 ล้านบาท
ดัชนีปรับตัวขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดที่ 1,390.88 จุด ในวันที่ 7 ม.ค.68 และร่วงลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,262.07 จุด ในวันที่ 6 ก.พ.68
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 57,651.93 ล้านบาท ในวันที่ 7 ม.ค.68 และลดลงต่ำสุดแตะระดับ 26,027.17 ล้านบาท ในวันที่ 20 ม.ค.68 นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 40,261.92 ล้านบาท
"อธิป กีรติพิชญ์" นักลงทุน Fundamental VI ให้สัมภาษณ์กับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า ตลาดหุ้นไทยถือว่าอยู่ในช่วงย่ำแย่ ดัชนีปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ถือว่าหนักกว่าช่วงวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 อาจด้วยแรงกดดันจากเศรษฐกิจไทยที่ไม่ฟื้นตัวดี กำไรบริษัทจดทะเบียนที่ยังไม่กลับมาแข็งแกร่ง
"การไหลออกของเงินทุนจากต่างประเทศในปัจจุบันเทียบกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งแทบไม่ต่างหรืออาจจะแย่มากกว่า ด้วยภาพเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นตกต่ำต่อเนื่องตลอด 2-3 ปี นักลงทุนต่างประเทศลดการลงทุนอย่างมาก ซึ่งตามสถิติหากตลาดหุ้นปีนี้ไม่ดี ปีหน้าต้องดี อาจจะดีปีเว้นปี แต่ตอนนี้อว่าแย่ต่อเนื่อง 2-3 ปีสถานการณ์นี้ถือว่าไม่ปกติ"
ทั้งนี้ตนเองเห็นถึงความพยายามของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน อาทิ ตลาดหลักทรัพย์ฯ , กระทรวงการคลัง , สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เป็นต้น ที่พยายามพูดคุยปรึกษาเพื่อหาแนวทางหรือมาตรการที่จะกระตุ้นให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาดีขึ้น
"ผมเห็นถึงความพยายามของตลาดหลักทรัพย์ฯในการผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการ JUMP+ ที่เตรียมมีรายละเอียดออกมา หรือการพูดคุยกับคลังเพื่อหาทางที่จะช่วยฟื้นดัชนี ถือเป็นเรื่องที่ดี และคาดหวังว่าน่าจะมีความชัดเจนในเร็ววัน"
ทั้งนี้ส่วนตัวอยากเสนอมาตรการระยะสั้นที่มองว่าน่าจะช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับตลาดหุ้นไทยได้ทันท่วงที เรื่องแรกคือ อยากให้นำกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long – Term Equity Fund หรือ LTF) กลับมาเป็นทางเลือกนักลงทุนอีกครั้ง เพราะที่ผ่านมาจะเห็นว่า LTF ค่อนข้างได้รับความนิยมและเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาค่อนข้างสูง
เรื่องต่อมา คือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) ที่เน้นลงทุนเฉพาะหุ้นไทยเท่านั้น ทั้งสองเรื่องถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สามารถฟื้นเสน่ห์ให้กับตลาดหุ้นไทยได้ โดยตนเองเชื่อว่านอกจากจะช่วยเรื่องแผนการออมในวัยเกษียณ, ช่วยการลงทุน แล้วยังช่วยเรื่อง "สภาพคล่อง" ได้ในที่สุด
"มาตรการระยะกลางและระยะยาวเชื่อว่าหน่วยงานตลาดทุนน่าจะวางแผนไว้ทั้งหมด เพียงแต่ผมเชื่อว่ามาตรการระยะสั้นที่ได้ผลคือการฟื้น LTF กลับมาเหมือนเดิม และ กอง ThaiESG เน้นลงทุนเฉพาะหุ้นไทย จะช่วยให้ตลาดหุ้นฟื้นกลับมาได้"
อย่างไรก็ดี แนวทางการลงทุนในช่วงนี้อาจตอบชัดเจนไม่ได้ว่านี่คือโอกาสเข้าสะสม เพราะตลาดหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และคำว่าโอกาสนั้นขึ้นอยู่กับมุมมองหรือความพร้อมด้านกระแสเงินสดของแต่ละบุคคล
ดังนั้นคงแนะนำได้เพียงว่าการเลือกหุ้นแบบรายตัวมีโอกาสที่ผิด นักลงทุนอาจพิจารณากองทุนดัชนีในแต่ละประเทศ หรือ ลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt หรือ DR) ตราสารที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายหุ้น หรือ ETF ในต่างประเทศได้ ผ่านการซื้อขาย DR ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้เช่นกัน ซึ่งนักลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)
Cr.
https://www.posttoday.com/business/stockholder/719496
เซียนชี้ช่อง "ฟื้น LTF - ThaiESG ลุยหุ้นเต็มสูบ" อัพเสน่ห์ SET และ "10 DR" สุดฮอต
KEY POINTS
เซียนวีไอ "อธิป กีรติพิชญ์" ชี้เป้าฟื้นกองทุนรวม LTF พร้อมเดินหน้า กองทุน ThaiESG ลุยหุ้นเต็มพิกัด
คาดเพิ่มเสน่ห์และดึงเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยรอดวิกฤติ
ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นเผชิญความท้าทายจากวิกฤติเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงในตลาดโลก ด้วยแรงกดดันอันหนักหน่วงสะท้อนผ่านความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทย นับตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบัน(YTD) ระหว่างวันที่ 2 ม.ค.-11 ก.พ.2568 ดัชนีปรับตัวลดลง -116.24 จุด คิดเป็น -8.30% แตะระดับ 1,283.97 จุด มูลค่าการซื้อขาย 1,167,595.65 ล้านบาท มาร์เก็ตแคป 15,999,045.59 ล้านบาท
ดัชนีปรับตัวขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดที่ 1,390.88 จุด ในวันที่ 7 ม.ค.68 และร่วงลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,262.07 จุด ในวันที่ 6 ก.พ.68
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 57,651.93 ล้านบาท ในวันที่ 7 ม.ค.68 และลดลงต่ำสุดแตะระดับ 26,027.17 ล้านบาท ในวันที่ 20 ม.ค.68 นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 40,261.92 ล้านบาท
"อธิป กีรติพิชญ์" นักลงทุน Fundamental VI ให้สัมภาษณ์กับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า ตลาดหุ้นไทยถือว่าอยู่ในช่วงย่ำแย่ ดัชนีปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ถือว่าหนักกว่าช่วงวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 อาจด้วยแรงกดดันจากเศรษฐกิจไทยที่ไม่ฟื้นตัวดี กำไรบริษัทจดทะเบียนที่ยังไม่กลับมาแข็งแกร่ง
"การไหลออกของเงินทุนจากต่างประเทศในปัจจุบันเทียบกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งแทบไม่ต่างหรืออาจจะแย่มากกว่า ด้วยภาพเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นตกต่ำต่อเนื่องตลอด 2-3 ปี นักลงทุนต่างประเทศลดการลงทุนอย่างมาก ซึ่งตามสถิติหากตลาดหุ้นปีนี้ไม่ดี ปีหน้าต้องดี อาจจะดีปีเว้นปี แต่ตอนนี้อว่าแย่ต่อเนื่อง 2-3 ปีสถานการณ์นี้ถือว่าไม่ปกติ"
ทั้งนี้ตนเองเห็นถึงความพยายามของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน อาทิ ตลาดหลักทรัพย์ฯ , กระทรวงการคลัง , สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เป็นต้น ที่พยายามพูดคุยปรึกษาเพื่อหาแนวทางหรือมาตรการที่จะกระตุ้นให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาดีขึ้น
"ผมเห็นถึงความพยายามของตลาดหลักทรัพย์ฯในการผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการ JUMP+ ที่เตรียมมีรายละเอียดออกมา หรือการพูดคุยกับคลังเพื่อหาทางที่จะช่วยฟื้นดัชนี ถือเป็นเรื่องที่ดี และคาดหวังว่าน่าจะมีความชัดเจนในเร็ววัน"
ทั้งนี้ส่วนตัวอยากเสนอมาตรการระยะสั้นที่มองว่าน่าจะช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับตลาดหุ้นไทยได้ทันท่วงที เรื่องแรกคือ อยากให้นำกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long – Term Equity Fund หรือ LTF) กลับมาเป็นทางเลือกนักลงทุนอีกครั้ง เพราะที่ผ่านมาจะเห็นว่า LTF ค่อนข้างได้รับความนิยมและเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาค่อนข้างสูง
เรื่องต่อมา คือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) ที่เน้นลงทุนเฉพาะหุ้นไทยเท่านั้น ทั้งสองเรื่องถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สามารถฟื้นเสน่ห์ให้กับตลาดหุ้นไทยได้ โดยตนเองเชื่อว่านอกจากจะช่วยเรื่องแผนการออมในวัยเกษียณ, ช่วยการลงทุน แล้วยังช่วยเรื่อง "สภาพคล่อง" ได้ในที่สุด
"มาตรการระยะกลางและระยะยาวเชื่อว่าหน่วยงานตลาดทุนน่าจะวางแผนไว้ทั้งหมด เพียงแต่ผมเชื่อว่ามาตรการระยะสั้นที่ได้ผลคือการฟื้น LTF กลับมาเหมือนเดิม และ กอง ThaiESG เน้นลงทุนเฉพาะหุ้นไทย จะช่วยให้ตลาดหุ้นฟื้นกลับมาได้"
อย่างไรก็ดี แนวทางการลงทุนในช่วงนี้อาจตอบชัดเจนไม่ได้ว่านี่คือโอกาสเข้าสะสม เพราะตลาดหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และคำว่าโอกาสนั้นขึ้นอยู่กับมุมมองหรือความพร้อมด้านกระแสเงินสดของแต่ละบุคคล
ดังนั้นคงแนะนำได้เพียงว่าการเลือกหุ้นแบบรายตัวมีโอกาสที่ผิด นักลงทุนอาจพิจารณากองทุนดัชนีในแต่ละประเทศ หรือ ลงทุนในตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt หรือ DR) ตราสารที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายหุ้น หรือ ETF ในต่างประเทศได้ ผ่านการซื้อขาย DR ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้เช่นกัน ซึ่งนักลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)
Cr. https://www.posttoday.com/business/stockholder/719496