อ้างอิงจากการแถลงข่าวของคุณจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมฝ่ายการเมือง ณ ขณะนั้น ที่แถลงเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2567 ระบุว่านายพลไทยมีประมาณ 2,000 คน โดยกระทรวงกลาโหมตั้งเป้าจะลดจำนวนนายพลที่เกินความจำเป็นลง 50% ภายในปี 2570 หรือเหลือให้น้อยกว่า 300 คน
และอ้างอิงจากการอภิปรายทั่วไปฯ ในสภาฯ เมื่อเดือนเมษายน 2567 คุณสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้นกล่าวในสภาฯ ว่านายพลไทยมีนายพลตำแหน่งหลัก 965 นาย ไม่ใช่ตำแหน่งหลัก 433 นาย รวม 1,398 นาย ซึ่งก็น่าจะเป็นตัวเลขเป้าหมายหลังทำโครงการลดจำนวนนายพลที่เกินความจำเป็นลง 50% แล้ว
เอาจริง ๆ ถ้าตัวเลขจำนวนนายพลเป็นความลับในระดับชั้น "ลับมาก" เพราะเหตุผลคือเป็นการเปิดเผยอัตรากำลังพลชั้นยศสูงจะกระทบกับความมั่นคง รวมถึงต้องปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2544 ซึ่งถ้าเปิดเผยข้อมูลชั้นความลับ "ลับมาก" ทั้งหมดหรือบางส่วน จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์แห่งรัฐอย่างร้ายแรงได้ แบบที่เจ้ากรมเสมียนตราตอบหนังสือกลับกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎรแล้วล่ะก็
คนที่เจ้ากรมเสมียนตราต้องตามไปฟ้องดำเนินคดีเป็นรายแรก ๆ เลย ก็คือคุณสุทิน คลังแสง และคุณจิรายุ ห่วงทรัพย์ นั่นแหละ
---------------
เอาจริง ๆ ระเบียบที่เจ้ากรมเสมียนตราอ้างมา เป็นระเบียบที่บอกว่าจะจัดชั้นความลับยังไง รักษาความลับยังไง จะดำเนินการกับความลับยังไง ซึ่งเป็นระเบียบกลางที่ราชการออกมาและให้ทุกหน่วยปฏิบัติ แต่ระเบียบนี้ไม่ได้บอกว่าจำนวนนายพลเป็นความลับสักหน่อย
และถ้าบอกว่าจำนวนนายพลนั้นอยู่ในชั้นความลับ "ลับมาก" ล่ะก็ เจ้ากรมเสมียนตราต้องชี้แจงหน่อยว่าทำไมถึงถูกจัดอยู่ในชั้นความลับ "ลับมาก" เพราะระเบียบข้อ 16 บอกว่าหัวหน้าหน่วยมีหน้าที่กำหนดชั้นความลับ ซึ่งในที่นี้ก็คือเจ้ากรมเสมียนตราเองเพราะเป็นคนเซ็นหนังสือตอบกลับมา และข้อ 18 ให้นายทะเบียนจดแจ้งเหตุผลประกอบการกำหนดชั้นความลับไว้ด้วย แปลว่าจะกำหนดอะไรให้เป็นความลับก็ต้องมีเหตุผล เพราะการกำหนดมันใช้วิจารณญาณซะเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงควรบอกด้วยว่า เจ้ากรมเสมียนตรากำหนดว่าจำนวนนายพลเป็นชั้นความลับ "ลับมาก" เมื่อไหร่ เพราะถ้าสภาฯ ทำหนังสือมาแล้วเพิ่งจะมากำหนดชั้นความลับว่า "ลับมาก" แบบนี้มันก็แสดงเจตนาบางอย่างเหมือนกัน
ซึ่งจริง ๆ มันก็แปลกที่บอกว่าการรู้จำนวนนายพลนั้นให้คนอื่นรู้ไม่ได้ มันลับมาก ๆ ๆ ๆ เพราะทุกปีก็จะมีประกาศรายชื่อนายพลทุกคนที่ย้ายและได้รับการแต่งตั้งใหม่ในราชกิจจาฯ อยู่แล้ว ซึ่งอย่างที่เห็นคือย้ายหรือแต่งตั้งกันทีหลายร้อยคน บางปีเกือบถึงพันคน
แล้วทำไมแบบนั้นไม่ลับบ้าง ในราชกิจจาฯ นี่รู้ถึงขั้นที่ว่าใคร ชื่ออะไร ดำรงตำแหน่งไหนเลยนะ ละเอียดสุด ๆ แต่พอถามจำนวนนายพลรวม ๆ ดันบอกลับ
ถือว่าเป็นการใช้วิจารณญาณในการจัดชั้นความลับที่ประหลาดมาก เพราะเอาจริง ๆ เอาหน่วยงานของกระทรวงกลาโหมมากาง แล้วเทียบกับรายชื่อในราชกิจจาฯ ก็รู้แล้วว่านายพลมีกี่คน แค่มันไม่ได้รู้อย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง
หรือจริง ๆ แล้วที่บอกว่าถ้าเปิดเผยจำนวนนายพลทั้งหมดหรือบางส่วน จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์แห่งรัฐอย่างร้ายแรงนี่ จะเป็นเพราะเดี๋ยวประชาชนจะรู้ (อีกรอบ) ว่ากลาโหมไทยมีนายพลที่ไม่มีงานทำในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ปรึกษา ที่ปรึกษาพิเศษ หรืออะไรพวกนี้ตั้ง 600-700 คน แบบรับเงินเดือนเต็มที่กันหลายหมื่นหรือเฉียดแสน แต่งานไม่มีทำ ซึ่งท่านอาจพบเจอนายพลเหล่านี้ได้ตามสนามกอล์ฟซึ่งเป็นธุรกิจของกองทัพ
แค่ พม่า เขมร ว้าแดง ยังไม่มีกลยุทธ์อะไร เสนอกองทัพเลย ทั้งที่พม่า มีชนกลุ่มน้อยให้ช่วยไทย
เก่งแต่ตีกอฟท์ สั่งทหารรับใช้ ยุ่งกับเรื่องเงินๆทองๆกองทัพแค่นั่น
นายพลไทย
ถ้าขอแลกนายพล กับยูเครน ปาเลสไตน์ ที่เจอ อิสราเอล รัสเซ๊ย กองทัพระดับโลก เขาคงไม่เอา
เรามีนายพลเป็นพันคนเพื่ออะไร แค่ชนกลุ่มน้อยว้าแดงยังไล่ไม่ได้ หรือทหารจะมีไว้ใช้ภาษีทั้งระบบ
และอ้างอิงจากการอภิปรายทั่วไปฯ ในสภาฯ เมื่อเดือนเมษายน 2567 คุณสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้นกล่าวในสภาฯ ว่านายพลไทยมีนายพลตำแหน่งหลัก 965 นาย ไม่ใช่ตำแหน่งหลัก 433 นาย รวม 1,398 นาย ซึ่งก็น่าจะเป็นตัวเลขเป้าหมายหลังทำโครงการลดจำนวนนายพลที่เกินความจำเป็นลง 50% แล้ว
เอาจริง ๆ ถ้าตัวเลขจำนวนนายพลเป็นความลับในระดับชั้น "ลับมาก" เพราะเหตุผลคือเป็นการเปิดเผยอัตรากำลังพลชั้นยศสูงจะกระทบกับความมั่นคง รวมถึงต้องปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2544 ซึ่งถ้าเปิดเผยข้อมูลชั้นความลับ "ลับมาก" ทั้งหมดหรือบางส่วน จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์แห่งรัฐอย่างร้ายแรงได้ แบบที่เจ้ากรมเสมียนตราตอบหนังสือกลับกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎรแล้วล่ะก็
คนที่เจ้ากรมเสมียนตราต้องตามไปฟ้องดำเนินคดีเป็นรายแรก ๆ เลย ก็คือคุณสุทิน คลังแสง และคุณจิรายุ ห่วงทรัพย์ นั่นแหละ
---------------
เอาจริง ๆ ระเบียบที่เจ้ากรมเสมียนตราอ้างมา เป็นระเบียบที่บอกว่าจะจัดชั้นความลับยังไง รักษาความลับยังไง จะดำเนินการกับความลับยังไง ซึ่งเป็นระเบียบกลางที่ราชการออกมาและให้ทุกหน่วยปฏิบัติ แต่ระเบียบนี้ไม่ได้บอกว่าจำนวนนายพลเป็นความลับสักหน่อย
และถ้าบอกว่าจำนวนนายพลนั้นอยู่ในชั้นความลับ "ลับมาก" ล่ะก็ เจ้ากรมเสมียนตราต้องชี้แจงหน่อยว่าทำไมถึงถูกจัดอยู่ในชั้นความลับ "ลับมาก" เพราะระเบียบข้อ 16 บอกว่าหัวหน้าหน่วยมีหน้าที่กำหนดชั้นความลับ ซึ่งในที่นี้ก็คือเจ้ากรมเสมียนตราเองเพราะเป็นคนเซ็นหนังสือตอบกลับมา และข้อ 18 ให้นายทะเบียนจดแจ้งเหตุผลประกอบการกำหนดชั้นความลับไว้ด้วย แปลว่าจะกำหนดอะไรให้เป็นความลับก็ต้องมีเหตุผล เพราะการกำหนดมันใช้วิจารณญาณซะเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงควรบอกด้วยว่า เจ้ากรมเสมียนตรากำหนดว่าจำนวนนายพลเป็นชั้นความลับ "ลับมาก" เมื่อไหร่ เพราะถ้าสภาฯ ทำหนังสือมาแล้วเพิ่งจะมากำหนดชั้นความลับว่า "ลับมาก" แบบนี้มันก็แสดงเจตนาบางอย่างเหมือนกัน
ซึ่งจริง ๆ มันก็แปลกที่บอกว่าการรู้จำนวนนายพลนั้นให้คนอื่นรู้ไม่ได้ มันลับมาก ๆ ๆ ๆ เพราะทุกปีก็จะมีประกาศรายชื่อนายพลทุกคนที่ย้ายและได้รับการแต่งตั้งใหม่ในราชกิจจาฯ อยู่แล้ว ซึ่งอย่างที่เห็นคือย้ายหรือแต่งตั้งกันทีหลายร้อยคน บางปีเกือบถึงพันคน
แล้วทำไมแบบนั้นไม่ลับบ้าง ในราชกิจจาฯ นี่รู้ถึงขั้นที่ว่าใคร ชื่ออะไร ดำรงตำแหน่งไหนเลยนะ ละเอียดสุด ๆ แต่พอถามจำนวนนายพลรวม ๆ ดันบอกลับ
ถือว่าเป็นการใช้วิจารณญาณในการจัดชั้นความลับที่ประหลาดมาก เพราะเอาจริง ๆ เอาหน่วยงานของกระทรวงกลาโหมมากาง แล้วเทียบกับรายชื่อในราชกิจจาฯ ก็รู้แล้วว่านายพลมีกี่คน แค่มันไม่ได้รู้อย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง
หรือจริง ๆ แล้วที่บอกว่าถ้าเปิดเผยจำนวนนายพลทั้งหมดหรือบางส่วน จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์แห่งรัฐอย่างร้ายแรงนี่ จะเป็นเพราะเดี๋ยวประชาชนจะรู้ (อีกรอบ) ว่ากลาโหมไทยมีนายพลที่ไม่มีงานทำในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ปรึกษา ที่ปรึกษาพิเศษ หรืออะไรพวกนี้ตั้ง 600-700 คน แบบรับเงินเดือนเต็มที่กันหลายหมื่นหรือเฉียดแสน แต่งานไม่มีทำ ซึ่งท่านอาจพบเจอนายพลเหล่านี้ได้ตามสนามกอล์ฟซึ่งเป็นธุรกิจของกองทัพ
แค่ พม่า เขมร ว้าแดง ยังไม่มีกลยุทธ์อะไร เสนอกองทัพเลย ทั้งที่พม่า มีชนกลุ่มน้อยให้ช่วยไทย
เก่งแต่ตีกอฟท์ สั่งทหารรับใช้ ยุ่งกับเรื่องเงินๆทองๆกองทัพแค่นั่น
นายพลไทย
ถ้าขอแลกนายพล กับยูเครน ปาเลสไตน์ ที่เจอ อิสราเอล รัสเซ๊ย กองทัพระดับโลก เขาคงไม่เอา