ในฉายานักแสวงบุญ ”The Pilgrims
เฉดเสื้อเขียวอันยาวนาน อยู่คู่พีระมิดบอลอังกฤษ
ผลงานดีสุดในเอฟเอ คัพ คือรอบ8 ทีมสุดท้าย
(2007-08)
แถมล่าสุด พึ่งใช้โค้ชใหม่แค่28 วัน
มิรอน มุสลิช แทนที่ เวย์น รูนีย์ เมื่อ 11 ม.ค.
เทียบกับลิเวอร์พูลแล้ว คนละโลก!!!
แต่เมื่อ อารเน่อ สลอด จัดตัวชุดบี ความห่างลดลง
และนี่คือการพิสูจน์ เด็กน้อยและกลุ่มนักเตะชุดสอง
มีเพียง ลุยส์ ดิอาส เท่านั้นที่มาจากตัวจริง
สมดุลในทีมหงส์ เปลี่ยนจากเดิมแน่นอน
แบ๊กขวา แมคคอนเนลล์
นีโยนียืนกับเอนโด , เอลเลียตต์ ตัวบน
ข้างหน้า ดิอาส, โชต้า, เคียซ่า
เล่นไป11 นาที โกเมส “เจ็บ” เปลี่ยน มาบายา ลง
กระนั้น….คุณภาพส่วนตัวนั้นเหนือกว่า
เพียงแต่ความเป็นทีมโดยเฉพาะ ทีมสปิริต พลีมัธ สู้กว่า
เล่นบอลไดเรกต์ ไม่ต้องคิดมาก รับให้แน่น เน้นดุดัน
เข้าบอลเร็วถึงตัว ปิดพื้นที่ ทุกตารางนิ้ว
ที่สำคัญไม่เล่นบอลยาก…
สิ่งที่เห็นคือชุดบี ลิเวอร์พูล ครองบอลบุกเยอะ
แต่เจาะไม่ได้ ข้างหน้าเล่นร่วมกันได้ไม่ดี
เสียบอลแดนสุดท้ายบ่อยๆ จังหวะจบเลยไม่ค่อยมี
ก่อนพลาดครึ่งหลังโดนจุดโทษจังหวะ เอลเลียตต์ แฮนด์บอล กระโดดบล้อค ชูสองมือเลย
บอลกระดกของบุนดู จึงโดนมือเต็มๆ!!
ไม่เข้าใจ เอลเลียตต์ อยากเล่นวอลเลย์บอลมั้ง?
จุดโทษ ฮาร์ดี้ ยิงขึ้นนำ1-0 น.53
แม้มีเวลาเหลือเฟือ…แต่เจ้าบ้านยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ
การเปลี่ยน ดาร์วิน ลงมา ตัวรุกเป็น 4 คนล้วนๆ
ผลคือได้แค่กดดัน แต่ไม่หวาดเสียวมากนัก
ยกเว้นจังหวะ ฮาซาร์ด ประตู ออกมาไกล
คาติช ชิงโหม่งบอลตกใส่ แมคคอนเนลล์…หน้าเขต
แต่เขากลับยิงปลิ้นข้างเท้าออกไปเยอะ!!!
ที่ต้องคอรเนอร์ ฮาซาร์ด เซฟลูกยากท้ายเกม
แน่นอนครับ ลิเวอร์พูลชุดบีเล่นด้วยความกดดัน มีผล
หลายจังหวะการตัดสินใจแดนสามไม่ดี
แถมบอลสุดท้าย ไม่แม่นอีก ขาดบ้าง เกินบ้าง
ถ้าจะบอกว่าบอลนัดเดียวก็พอกล้อมแกล้ม
แต่ถ้าบอกถึงคุณภาพนักเตะชุดสอง
เมื่อต้องเล่นภายใต้แรงกดดัน
อันนี้ ไม่ผ่านครับ
ตกรอบเอฟเอ คัพ รอบ4 อย่างพลิกล้อคชอคโลก
เหมือนปีแรกของ เจอร์เก้น คลอปป์ เลย
ผมไม่โทษ อาร์เน่อ สลอด ที่จัดตัวชุดนี้
อย่างน้อยได้เห็นคุณภาพนักเตะหลายๆคน
ว่ามีมากน้อยขนาดไหน!
เมื่อเทียบกับความมุ่งมั่นของนักเตะพลีมัธทั้งทีม
ที่สมควรเข้ารอบเพราะเล่นแล้ว อยากไปต่อ
🔍 มุ่งมั่นไม่พอ ! ลิเวอร์พูล ไร้ใจร่วง FA พลีมัธ มาสู้จึงเข้ารอบ
ผลงานดีสุดในเอฟเอ คัพ คือรอบ8 ทีมสุดท้าย
(2007-08)
แถมล่าสุด พึ่งใช้โค้ชใหม่แค่28 วัน
มิรอน มุสลิช แทนที่ เวย์น รูนีย์ เมื่อ 11 ม.ค.
เทียบกับลิเวอร์พูลแล้ว คนละโลก!!!
แต่เมื่อ อารเน่อ สลอด จัดตัวชุดบี ความห่างลดลง
และนี่คือการพิสูจน์ เด็กน้อยและกลุ่มนักเตะชุดสอง
มีเพียง ลุยส์ ดิอาส เท่านั้นที่มาจากตัวจริง
สมดุลในทีมหงส์ เปลี่ยนจากเดิมแน่นอน
แบ๊กขวา แมคคอนเนลล์
นีโยนียืนกับเอนโด , เอลเลียตต์ ตัวบน
ข้างหน้า ดิอาส, โชต้า, เคียซ่า
เล่นไป11 นาที โกเมส “เจ็บ” เปลี่ยน มาบายา ลง
กระนั้น….คุณภาพส่วนตัวนั้นเหนือกว่า
เพียงแต่ความเป็นทีมโดยเฉพาะ ทีมสปิริต พลีมัธ สู้กว่า
เล่นบอลไดเรกต์ ไม่ต้องคิดมาก รับให้แน่น เน้นดุดัน
เข้าบอลเร็วถึงตัว ปิดพื้นที่ ทุกตารางนิ้ว
ที่สำคัญไม่เล่นบอลยาก…
สิ่งที่เห็นคือชุดบี ลิเวอร์พูล ครองบอลบุกเยอะ
แต่เจาะไม่ได้ ข้างหน้าเล่นร่วมกันได้ไม่ดี
เสียบอลแดนสุดท้ายบ่อยๆ จังหวะจบเลยไม่ค่อยมี
ก่อนพลาดครึ่งหลังโดนจุดโทษจังหวะ เอลเลียตต์ แฮนด์บอล กระโดดบล้อค ชูสองมือเลย
บอลกระดกของบุนดู จึงโดนมือเต็มๆ!!
ไม่เข้าใจ เอลเลียตต์ อยากเล่นวอลเลย์บอลมั้ง?
จุดโทษ ฮาร์ดี้ ยิงขึ้นนำ1-0 น.53
แม้มีเวลาเหลือเฟือ…แต่เจ้าบ้านยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ
การเปลี่ยน ดาร์วิน ลงมา ตัวรุกเป็น 4 คนล้วนๆ
ผลคือได้แค่กดดัน แต่ไม่หวาดเสียวมากนัก
ยกเว้นจังหวะ ฮาซาร์ด ประตู ออกมาไกล
คาติช ชิงโหม่งบอลตกใส่ แมคคอนเนลล์…หน้าเขต
แต่เขากลับยิงปลิ้นข้างเท้าออกไปเยอะ!!!
ที่ต้องคอรเนอร์ ฮาซาร์ด เซฟลูกยากท้ายเกม
แน่นอนครับ ลิเวอร์พูลชุดบีเล่นด้วยความกดดัน มีผล
หลายจังหวะการตัดสินใจแดนสามไม่ดี
แถมบอลสุดท้าย ไม่แม่นอีก ขาดบ้าง เกินบ้าง
ถ้าจะบอกว่าบอลนัดเดียวก็พอกล้อมแกล้ม
แต่ถ้าบอกถึงคุณภาพนักเตะชุดสอง
เมื่อต้องเล่นภายใต้แรงกดดัน
อันนี้ ไม่ผ่านครับ
ตกรอบเอฟเอ คัพ รอบ4 อย่างพลิกล้อคชอคโลก
เหมือนปีแรกของ เจอร์เก้น คลอปป์ เลย
ผมไม่โทษ อาร์เน่อ สลอด ที่จัดตัวชุดนี้
อย่างน้อยได้เห็นคุณภาพนักเตะหลายๆคน
ว่ามีมากน้อยขนาดไหน!
เมื่อเทียบกับความมุ่งมั่นของนักเตะพลีมัธทั้งทีม
ที่สมควรเข้ารอบเพราะเล่นแล้ว อยากไปต่อ