สวัสดีค่ะ หนูมีเรื่องไม่สบายใจอย่างหนึ่ง ขอเกริ่นเรื่องเลยนะคะ เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนม.6เทอม1 ครูแนะแนวมีโครงการที่ให้นักเรียนสามารถสมัครทดลองทำงานได้ เช่น เป็นครู พยาบาล ตำรวจ ลฯ ทีนี้หนูลงสมัครครูประถม ทีนี้หนูลังเลใจว่าจะลงครูศิลปะดีมั้ย เลยมาขอคุยกับครูแกทีหลัง หลังจากตกลงได้แล้วหนูเลยลงครูศิลปะฝึกสอนที่โรงเรียนประถม 2 อาทิตย์
แต่พอใกล้จะถึงวันนัด หนูกลับเป็นไข้หวัด ฝืนไปโรงเรียนอยู่สองวัน พออีกวันหนูเลยอยากลาเพราะเจ็บคอจนเสียงแหบแต่ลังเลอยู่ เลยบอกเพื่อนว่าอยากลาเพราะไม่สบาย เพื่อนเลยบอกว่างั้นไปสอนอาทิตย์หน้าก็ได้หนูก็เลยลาค่ะพออาทิตย์ต่อมา หนูก็โดนครูแนะแนวดุว่าทำไมอาทิตย์ก่อนถึงไม่มา ทำไมถึงไม่แจ้งครู หนูเลยบอกว่าไม่สบายค่ะและหันไปมองเพื่อน เพื่อนก็ไม่สนใจ อดไม่ได้ที่สงสัยว่าเพื่อนไม่ได้บอกครูเหรอ หนูรู้สึกผิดที่ไม่ได้แจ้งครูไว้ก่อนล่วงหน้า
และอีกครั้งตอนใกล้ปิดเทอมหนึ่ง มีโครงการเดิมกลับมาหนูเลยไปเข้าสมัคร ที่นี่ตั้งใจแล้วว่าจะไปให้ได้ แต่พอเดินไปถึงห้องแนะแนว กลับเจอแต่เพื่อนต่างห้องที่คุยกับครูอยู่ หนูเลยไม่กล้าเข้าไป จนเขาคุยกันเสร็จหนูเลยเดินเข้ามา
หนูตั้งใจไว้ว่าจะมาสมัครสอนเป็นครูศิลปะอีกครั้ง ที่นี่ครูแนะแนวก็ถอนหายใจ แล้วถามว่า ‘แล้วคุณได้ลงแข่งเหมือนBมั้ย มีเกียรติบัตรเด่นๆเหรอ? คุณมีความสามารถแบบเขาหรือเปล่า? คิดเหรอว่าจะทำได้?’ ครูพูดแบบนี้ต่อหน้าเพื่อนต่างห้องหลายคนที่จ้องมองมาที่หนู หนูรู้สึกหน้าชาไปสักพัก นี่คือสิ่งที่หนูได้ยินมาจากครูแนะแนวจริงๆใช่มั้ย ซึ่งที่สิ่งครูพูดมาหนูไม่มีค่ะ ทั้งเกียรติบัตรระดับจังหวัดและเรียนเก่งเหมือนBที่อยู่ห้องท็อป หนูวาดรูปแต่ไม่เคยลงแข่งมีแต่เคยเข้าร่วม แต่สุดท้ายหนูก็ได้สมัครค่ะ
คำพูดของครูแนะแนวมันทำให้หนูคิดว่าบางทีหนูคงเก่งสู้Bที่อยู่ห้องหลักไม่ได้ ยิ่งตอนที่Bติดมหาลัยคณะที่อยากเข้าแต่หนูไม่ติด จนมาเทอมสองหนูเลยเลือกมหาลัยที่ติด และเลือกสาขาดนตรี-นาฏศิลป์เพราะชอบเล่นกีตาร์ ทีนี้ครูแนะแนวก็ถามอีกว่า ‘มีพื้นฐานดนตรีนาฏศิลป์เหรอ?’
ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงเลยค่ะ หนูรู้สึกว่าที่ทำอยู่ทุกวันมันมีประโยชน์ใช่มั้ย ไม่เคยลงแข่งแบบจริงจัง เรียนก็ไม่เก่ง ไม่ติดมหาวิทยาลัยที่อยากเข้า หนูไม่รู้เลยค่ะว่าจะเลือกอะไรดีที่มันไม่เป็นปัญหา แล้วต้องทำยังไงไม่ให้ตัวเองจมปลักอยู่กับคำพูดแบบนั้น
อาจจะพิมพ์ยาวหน่อยนะคะพยายามสรุปสั้นๆแล้วค่ะ หากมีตรงไหนผิดพลาดขอภัยด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับและทุกคนที่เข้ามามาอ่านและให้คำตอบค่ะ🤍
หนทางที่ดีและไม่เป็นปัญหา
แต่พอใกล้จะถึงวันนัด หนูกลับเป็นไข้หวัด ฝืนไปโรงเรียนอยู่สองวัน พออีกวันหนูเลยอยากลาเพราะเจ็บคอจนเสียงแหบแต่ลังเลอยู่ เลยบอกเพื่อนว่าอยากลาเพราะไม่สบาย เพื่อนเลยบอกว่างั้นไปสอนอาทิตย์หน้าก็ได้หนูก็เลยลาค่ะพออาทิตย์ต่อมา หนูก็โดนครูแนะแนวดุว่าทำไมอาทิตย์ก่อนถึงไม่มา ทำไมถึงไม่แจ้งครู หนูเลยบอกว่าไม่สบายค่ะและหันไปมองเพื่อน เพื่อนก็ไม่สนใจ อดไม่ได้ที่สงสัยว่าเพื่อนไม่ได้บอกครูเหรอ หนูรู้สึกผิดที่ไม่ได้แจ้งครูไว้ก่อนล่วงหน้า
และอีกครั้งตอนใกล้ปิดเทอมหนึ่ง มีโครงการเดิมกลับมาหนูเลยไปเข้าสมัคร ที่นี่ตั้งใจแล้วว่าจะไปให้ได้ แต่พอเดินไปถึงห้องแนะแนว กลับเจอแต่เพื่อนต่างห้องที่คุยกับครูอยู่ หนูเลยไม่กล้าเข้าไป จนเขาคุยกันเสร็จหนูเลยเดินเข้ามา
หนูตั้งใจไว้ว่าจะมาสมัครสอนเป็นครูศิลปะอีกครั้ง ที่นี่ครูแนะแนวก็ถอนหายใจ แล้วถามว่า ‘แล้วคุณได้ลงแข่งเหมือนBมั้ย มีเกียรติบัตรเด่นๆเหรอ? คุณมีความสามารถแบบเขาหรือเปล่า? คิดเหรอว่าจะทำได้?’ ครูพูดแบบนี้ต่อหน้าเพื่อนต่างห้องหลายคนที่จ้องมองมาที่หนู หนูรู้สึกหน้าชาไปสักพัก นี่คือสิ่งที่หนูได้ยินมาจากครูแนะแนวจริงๆใช่มั้ย ซึ่งที่สิ่งครูพูดมาหนูไม่มีค่ะ ทั้งเกียรติบัตรระดับจังหวัดและเรียนเก่งเหมือนBที่อยู่ห้องท็อป หนูวาดรูปแต่ไม่เคยลงแข่งมีแต่เคยเข้าร่วม แต่สุดท้ายหนูก็ได้สมัครค่ะ
คำพูดของครูแนะแนวมันทำให้หนูคิดว่าบางทีหนูคงเก่งสู้Bที่อยู่ห้องหลักไม่ได้ ยิ่งตอนที่Bติดมหาลัยคณะที่อยากเข้าแต่หนูไม่ติด จนมาเทอมสองหนูเลยเลือกมหาลัยที่ติด และเลือกสาขาดนตรี-นาฏศิลป์เพราะชอบเล่นกีตาร์ ทีนี้ครูแนะแนวก็ถามอีกว่า ‘มีพื้นฐานดนตรีนาฏศิลป์เหรอ?’
ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงเลยค่ะ หนูรู้สึกว่าที่ทำอยู่ทุกวันมันมีประโยชน์ใช่มั้ย ไม่เคยลงแข่งแบบจริงจัง เรียนก็ไม่เก่ง ไม่ติดมหาวิทยาลัยที่อยากเข้า หนูไม่รู้เลยค่ะว่าจะเลือกอะไรดีที่มันไม่เป็นปัญหา แล้วต้องทำยังไงไม่ให้ตัวเองจมปลักอยู่กับคำพูดแบบนั้น
อาจจะพิมพ์ยาวหน่อยนะคะพยายามสรุปสั้นๆแล้วค่ะ หากมีตรงไหนผิดพลาดขอภัยด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับและทุกคนที่เข้ามามาอ่านและให้คำตอบค่ะ🤍