จาก #ทีมฝรั่งเศส 🇫🇷 สู่ #ทีมอเมริกา 🇺🇸 กับวีซ่า H-1B
อาจช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนครับ
มีโพสต์เก่าใน Pantip ตอนเรียนปริญญาโทที่ฝรั่งเศส ย้อนกลับไปอ่านก่อนได้ครับ
🎓 หลังเรียนจบ ป.โท มา ก็ตัดสินใจกลับมาทำงานที่เมืองไทยทันทีหลังจบ
เป็น Process Engineer ในบริษัท Solar Cell ที่แถวแม่น้ำคู้ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง
เป็นสายงานเฉพาะทาง ใช้ Background จาก Material Science and Engineering ของ ป.ตรี และ ป.โท เป็นหลัก
เงินเดือนรวมสวัสดิการ 4X,XXX บาท ทำงานได้ 3 ปีเต็ม (Oct 2021 - Sep 2024)
📍 จุดพลิกผัน
Sep 2023 มีบริษัท Solar Cell ในอเมริกาติดต่อเข้ามา อยากให้ไปทำงานด้วย พร้อมช่วย Apply วีซ่า H-1B ให้ และเสนอพร้อมเป็น Sponsor Green Card ให้ถ้าอยู่กับบริษัทเกินครึ่งนึงของสัญญา 6 ปี
เลยตอบตกลงไปทำงานด้วย สรุปทำทุกอย่างเกี่ยวกับขั้นตอนการสมัครเสร็จเรียบร้อยรวมถึงวีซ่า H-1B ใช้เวลารวม 1 ปี กับอีกเกือบ 1 เดือน (Sep 2023 - Oct 2024)
เริ่มงาน Oct 2, 2024 ในตำแหน่ง Materials Engineer ที่บริษัทนี้ใน Greenwood, South Carolina, US
ทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน (จันทร์ ถึง ศุกร์) เข้างาน 08:00 ออกงาน 17:00 พักกลางวัน 12:00 - 13:00
รวมชั่วโมงทำงาน 8 ชั่วโมง/วัน ไม่รวมชั่วโมงพักกลางวัน (หรือ 40 ชั่วโมง/สัปดาห์)
รายได้รายปี $96,000 (~3,2xx,xxx บาท)**
แบ่งจ่ายทุก 2 สัปดาห์* (~$3,700/2 weeks) (~125,xxx บาท/2 สัปดาห์)
* ในอเมริกา บางบริษัทเลือกจ่ายเงินเดือนเป็นราย 2 สัปดาห์ บางบริษัทเลือกจ่ายรายเดือน แล้วแต่บริษัท
** รายได้ทั้งหมด ยังไม่ได้หักภาษีที่รวมแล้วประมาณ 26.5%
💰 พูดถึงเรื่องรายรับไปแล้ว ก็ต้องพูดถึงภาษีที่ต้องจ่ายแบบจุก ๆ กันบ้างในทุก ๆ รอบการจ่ายเงิน (ทุก ๆ 2 สัปดาห์)
ภาษีมีทั้งหมด 4 ส่วน ที่จะถูกหักออกจากสลิปการจ่ายเงินก่อนที่ยอดเงินสุดท้ายจะเข้าบัญชีธนาคารเรา
ขอปัดเศษเป็นเลขกลม ๆ ให้อ่านง่ายขึ้น
1. Federal Tax: 13.26% = ~$490 หรือ ~17,000 บาท
2. Social Security Tax: 6.2% = ~$230 หรือ ~8,000 บาท
3. Medicare Tax: 1.45% = ~$55 หรือ ~2,000 บาท
4. State Tax: 5.5% = ~$205 หรือ ~7,000 บาท (ภาษีรัฐจะแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐที่เราทำงาน)
รวมภาษีทั้งหมด 4 ส่วน ประมาณ 26.5% = ~$980 ต่อ 2 สัปดาห์ หรือ ~33,000 บาท ต่อ 2 สัปดาห์
💡 จากงานเฉพาะทาง สู่ งานเฉพาะทางที่สูงขึ้น
งานยังเป็นสิ่งที่ถนัดเหมือนเดิม ในอุตสาหกรรม Solar Cell
ไม่ได้ผลิตแผง แต่ผลิตแผ่นเซลล์ในแผงครับ
ชีวิตในอเมริกาดีมาก ๆ เพราะ บริษัทให้สวัสดิการดีมาก ๆ
1. ฟรี ให้ Apartment 1 หลัง (ฟรี ค่าน้ำ ค่าไฟ และ Internet Router)
2. ฟรี เช่ารถ SUV ให้ 1 คัน
3. ฟรี ให้ Laptop 1 เครื่อง
4. ฟรี Microsoft 365 พร้อม Copilot
5. ฟรี ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ไทย ปีละ 2 Round Trips (Economy)
6. วันหยุดสำหรับกลับไทย 2 ครั้ง ครั้งละ 24 วัน
7. ประกันสุขภาพ บริษัทจ่าย 90% เราจ่าย 10%
8. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (401k) บริษัท Contribute 4%
9. ค่าย้ายถิ่นฐาน จ่ายครั้งเดียวตอนมาถึง US $5,000
10. โบนัสประจำปี สูงสุด 10% ของรายได้รายปี
📌 มีข้อดีไปแล้ว ก็ต้องพูดข้อเสียด้วย
1. ในเมืองนี้ไม่มีขนส่งสาธารณะเลยแม้แต่อย่างเดียว ไม่มีรถยนต์ก็จะไม่สามารถไปไหนได้เลย
2. พนักงานประจำ (Exempt) แบบที่ทำอยู่ตอนนี้ ไม่สามารถได้รับค่าจ้างเพิ่มเติมหากทำ OT แต่สามารถเปลี่ยนวันที่ทำ OT ไปเป็นวันหยุดเพิ่มเติมได้
3. บริษัทเป็นอุตสาหกรรมการผลิต Solar Cell ที่ผลิตต่อเนื่อง 24/7 ตลอดทั้งปี ดังนั้นอาจมี OT ตอนไหนก็ได้หากไลน์ผลิตไม่สามารถผลิตได้
4. เมืองที่อยู่มีตำรวจอยู่เยอะมาก ๆ ขับรถเกิน Limit ปุ๊บ ตำรวจไล่ปั๊บแบบทันควัน (โดนมาแล้ว 1 ครั้ง)
5. หากวีซ่าจะหมดอายุ ไม่สามารถต่ออายุได้จากในอเมริกา มีทางเดียวคือต้องบินกลับไปต่ออายุที่เมืองไทย
6. บริษัทและที่พักอยู่ห่างกันประมาณ 16 กม. ขับรถ ไป - กลับ วันนึงก็เกือบ 1 ชม. (ดูนาน เพราะ มีแยกไฟแดง 13 แยก)
7. ร้านขายของเอเชียมีใกล้ ๆ บ้าน แต่ค่อนข้างเล็ก ของไม่ครบเท่าที่ควร หากจะไปร้านใหญ่ที่มีของครบ ต้องขับรถไป 82 กม. (ขาเดียว)
👨🏻🔬 ตอนนี้ทำงานมาได้เกือบ 5 เดือน ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ในอเมริกามีแค่ค่ากิน เดือนละไม่เกิน $600 (~20,000 บาท) เพราะ ทำกับข้าวกินเอง จะซื้อวัตถุดิบจาก Walmart เป็นหลัก, 2 สัปดาห์ซื้อของ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน $60 และจะออกไปกินข้าวนอกบ้านกับเพื่อน ๆ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ทุก ๆ เย็นวันเสาร์ (ไม่เกิน $20)
สรุปรายจ่าย "ราย 2 สัปดาห์" ตามรอบจ่ายเงินของบริษัท
1. ค่าวัตถุดิบทำกับข้าว ประมาณ $120 หรือ ~4,080 บาท
2. ค่ากินข้าวนอกบ้าน ประมาณ $50 หรือ ~1,700 บาท
3. ค่า Subscriptions ต่าง ๆ ประมาณ $55 หรือ ~1,870 บาท
4. ค่า Sim Card ประมาณ $19 หรือ ~646 บาท
5. ค่าน้ำมันรถ ประมาณ $55 หรือ ~1,870 บาท
รวมรายจ่ายทุก ๆ 2 สัปดาห์ = $299 = 10,166 บาท (ถ้าคิดต่อเดือนก็ประมาณ $600 หรือ ~20,000 บาท)
เงินที่เหลือโอนกลับไทยผ่าน Wise ทั้งหมด ประมาณ $2,000 /2 สัปดาห์ (~70,000 บาท/ 2 สัปดาห์) หลังหักภาษี
มีส่วนเหลืออีกนิดหน่อย ก็เก็บไว้สำรองใช้ใน US เช่น ออก Trip, Friday Party, etc
ดังนั้นหากคำนวณรายรับ รายจ่ายทั้งหมดในรอบการจ่ายเงิน (ทุก ๆ 2 สัปดาห์) จะได้ดังนี้
รายรับต่อ 2 สัปดาห์ - ภาษีทั้งหมด - รายจ่ายส่วนตัว = เงินคงเหลือสุทธิ
$3,700 - $980 - $300 = $2,420/2 สัปดาห์ (เงินคงเหลือ) หรือ
125,800 บาท - 33,320 บาท - 10,200 บาท = 82,280 บาท/2 สัปดาห์ (เงินคงเหลือ)
💸 เงินคงเหลือสุทธิต่อ 2 สัปดาห์ จะอยู่ที่ประมาณ $2,400 หรือ ประมาณ 82,000 บาท
ส่งกลับไทย 70,000 บาท/2 สัปดาห์ ส่วนที่เหลือเก็บสำรองไว้ใช้เบ็ดเตล็ดในอเมริกา
สังคมเพื่อนร่วมงานดี สภาพแวดล้อมดี มีหัวหน้าที่ช่วยได้ทุกอย่าง ลงมือทำเองได้ทุกอย่าง แค่นี้ก็คือทุกอย่างที่อยากได้แล้วครับ
🎈 Tricks สำหรับหลาย ๆ คนที่กำลังมองหาโอกาสดี ๆ
1. LinkedIn: ควรเล่นบ่อย ๆ เพราะ คล้าย ๆ Facebook แตกต่างกันแค่ LinkedIn เน้นใช้โพสต์หรือแชร์อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหรืออาชีพการทำงานเป็นหลัก อัพเดทบ่อย ๆ สร้าง Connection ให้มากขึ้นเรื่อย ๆ และควรใช้ Keywords ที่สำคัญ ๆ เขียนลงไปใน Profile เพื่อให้ถูกค้นหาได้ง่าย
2. Specific Job: งานที่ทำอยู่ปัจจุบันก็มีผลมาก ๆ ยิ่งถ้าหากเป็นงานเฉพาะทาง ยิ่งเป็นที่ต้องการมากขึ้น
3. ภาษาอังกฤษ: อย่างน้อย ๆ ควรพูดคล่อง เขียนได้ สื่อสารได้ การทำงานไม่ได้จำเป็นต้องใช้คะแนนภาษาอังกฤษยื่นก่อนเข้าทำงานเหมือนการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เพียงแค่สัมภาษณ์กับบริษัทได้ สัมภาษณ์วีซ่าได้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
หลัก ๆ ถ้ามีทั้ง 3 ข้อนี้ โอกาสหางานในต่างประเทศโดยเฉพาะ US ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับวีซ่าด้วย อันนี้คือประเด็นสำคัญ
Visa ที่สามารถขอไปทำงานได้ หลัก ๆ มี 2 ประเภท คือ L-1B and H-1B (มีประเภทอื่นด้วย แต่ Conditions ก็จะมากขึ้นไปอีก)
L-1B จะสามารถขอได้เฉพาะ การ Transfer พนักงานภายในองค์กรเดียวกัน เช่น บริษัทในไทย ส่งพนักงานไปทำงานที่บริษัทแม่ในอเมริกา ลักษณะนี้ ดังนั้นวีซ่าประเภทนี้จึงเป็นวีซ่าที่มีเงื่อนไขพิเศษ
H-1B เป็นวีซ่าที่คนทั่วโลกต้องการ เพราะ เป็นวีซ่า “อาชีพชำนาญการพิเศษ” แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครที่ชำนาญการหรือทำงานเฉพาะทางอยู่แล้วจะขอวีซ่าประเภทนี้ได้ วีซ่าประเภทนี้เปิดให้ยื่นขอปีละแค่ 1 ครั้งในช่วงเดือนมีนาคมของทุก ๆ ปี และให้โควตาแค่ปีละ 80,000 คนทั่วโลก ซึ่งหากมีคนยื่นขอมากกว่า 80,000 คนต่อปี ก็จะใช้ระบบการจับสลากหรือที่เรียกว่า H-1B Lottery ตามความเป็นจริงที่ผ่านมา ทุก ๆ ปีมีคนยื่นขอวีซ่าประเภทนี้มากกว่า 400,000 คนต่อปีซึ่งเกินโควตาเยอะมาก ดังนั้นทุกคนต้องเข้าระบบสุ่มหรือจับสลาก ไม่ว่าใครจะเก่งแค่ไหนหรืออยู่ในระดับธรรมดา ก็ขึ้นอยู่กับการจับสลากนี้เท่านั้น ใครถูกจับสลากได้ ก็ได้มีสิทธิ์ยื่นคำร้อง (Petition) ในขั้นตอนถัดไป ถ้าไม่ได้รับเลือก ก็ต้องรอเข้าระบบจับสลากใหม่ปีหน้า
🙏🏻 สำหรับวีซ่า H-1B ค่อนข้างยากมาก ๆ ในแต่ละปี เลยต้องไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอพร (ความเชื่อส่วนบุคคล)
1. พระพุทธรูปในบ้าน
2. องค์พระพิฆเนศ
3. องค์แชกง (ประเทศฮ่องกง เดินทางไปสักการะท่านมา 2 ครั้ง)
4. องค์พระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์
5. องค์พระพุทธโพธิ์ลังกา ค่ายลูกเสือ จ.อ่างทอง
6. องค์หลวงพ่อโสธร วัดโสธร ฯ จ.ฉะเชิงเทรา
7. องค์พระเจ้าทันใจ จ.ตาก
อาจจะช่วยสร้าง Passion หรือแรงบันดาลใจให้เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
แล้วมาเจอกันที่ US ครับ 🇺🇸
[CR] [Review 2025] จาก ป.โท ฝรั่งเศส 🇫🇷 สู่ วิศวกรในอเมริกา 🇺🇸 ด้วยวีซ่า H-1B
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้