สวัสดีครับ พี่ ๆ น้อง ๆ ชาวพันทิปทุกท่าน ผมในฐานะศิษย์เก่า ม.กรุงเทพ อยากจะแชร์ความเห็น ความรู้สึก อะไรหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับพัฒนาการของมหาวิทยาลัยนี้
ผมนั่งคิด นอนคิดอยู่นานแสนนาน ว่าผมจะเขียนดีมั้ย ขอเล่าประวัติความเป็นมาของตัวเองคร่าว ๆ ก่อน
ผมเป็นคนนึง ที่เกิดและโตอยู่แถวมหาวิทยาลัย วิ่งแก้ผ้ารอบมหาวิทยาลัยตั้งแต่จำความได้ (กล้วยน้ำไท) ด้วยความเป็นเด็กไร้เดียงสา ผมเกิดมาก็เห็นมหาวิทยาลัยนี้ตั้งเด่นตระหง่านแล้ว
อนุบาลผมก็เรียน รร. แถวนั้น ไม่เคยเรียนหรือไปใช้ชีวิตที่ไกล ๆ นอกจากแถวนั้นตั้งแต่เกิดยันวัยรุ่น ทุกครั้งที่นั่งรถโรงเรียนไปเรียน ก็จะผ่าน ม.กรุงเทพเสมอ ซึ่งเป็นทางผ่าน จริง ๆ บ้านกับโรงเรียนและมหาลัยมันไม่ไกลหรอก แต่ที่บ้านต้องทำงาน ไม่มีเวลา เลยต้องอาศัยรถโรงเรียนพาไป
ด้วยความเป็นเด็กไร้เดียงสา ก็จะคิดในใจทุกครั้งเมื่อผ่านมหาวิทยาลัยนี้ "โรงเรียนนี้ไม่เห็นดีเลย มีแต่ผู้ใหญ่ ไม่มีสนามฟุตบอล ไม่มีสนามหญ้า ไม่มีม้าหมุน ไม่เห็นมีเครื่องเล่นเลยสักอย่าง แหวะ" มันคือความคิดของเด็กคนหนึ่งแหละ ที่เห็นว่าโรงเรียนนี้ (ม.กรุงเทพ) ไม่มีของเล่น
ผมเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่อนุบาลจน ม.3 ไม่เคยย้ายโรงเรียน จนกระทั่งผมต้องไปเรียนที่อื่นแล้ว เป็นการเรียนไกลที่สุดเท่าที่ออกจากย่านคลองเตย ซึ่งตอนนั้นที่บ้านก็กลัวจะเกิดอันตราย เพราะเป็นห่วง ไม่กล้าให้ลูกเรียนที่ไหนไกล ๆ แต่ผมบอกกับที่บ้านว่าอยากเรียน มันหรูดี ไฮโซดี บลา บลา บลา สรรหาจะให้ที่บ้านส่ง
จนกระทั่งผมเรียนจบ เป็น ปวช. สายพาณิชย์นะครับ คือ ผมชอบอะไรที่เป็นสายบริหารธุรกิจตั้งแต่เด็ก ฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาอังกฤษได้ตั้งแต่อยู่ ป. 3 และดูหนังทั้งเรื่องได้ตอนอยู่ ม. 2 ซึ่งก็อีโรงเรียนที่ผมผ่าน ม.กรุงเทพตอนเป็นเด็กนี่แหละ เป็นโรงเรียนที่เคร่งภาษามาก
พอจบการศึกษา โตเป็นหนุ่มและ ก็มีความคิด ความอ่าน เข้าใจโลกมากขึ้น ว่าผมอยากเรียน ม.กรุงเทพ
ปล. สมัยนั้นเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ความคิดของคนสมัยนั้น เป็นสมัยที่แค่ว่าจบ ปวช. จบ ปวส. ก็ทำงานได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็เป็นช่วงกึ่ง ๆ ปฏิวัติอุตสาหกรรมไทยแบบยุคสมัย ที่ถ้าคุณจบ ป.ตรี คุณก็จะกลายเป็นคนสุก คือคนไม่ดิบนั่นเอง
จนกระทั่ง ผมตัดสินใจแล้ว ว่าจะเรียน ม.กรุงเทพ มันเพราะว่าเราอยากเรียนที่นี่ และก็ความผูกพันธ์ตั้งแต่เป็นเด็ก
ต้องบอกก่อนว่าสังคมที่ผมอยู่ และการศึกษาที่ผมได้รับ มันมีเลย์เยอร์ต่างออกไปจากสังคมไทยทั่ว ๆ ไป กล่าว คือ เรื่องการเอนทรานซ์ เข้า ม.รัฐ มันไม่เคยอยู่ในสารบบผมหรือได้รับการปลูกฝังเหมือนสังคมทั่วไป คือ ผมแค่รู้สึกว่าผมต้องเข้าที่นี่ ต้องเรียนที่นี่ให้ได้ รู้สึกภูมิใจไปแล้วก่อนที่จะเข้า
หลังจากนั้น ผมก็ขอที่บ้านว่าอยากเรียนที่นี่ พ่อก็กุมขมับแหละ เพราะคิดว่ามันจะแพงหรือเปล่า แต่หารู้ไม่ เค้าก็บอกว่า "งั้นไปดูระเบียบการมา"
จำได้ว่าวันที่ผมไปซื้อระเบียบการ ผมเดินเข้าไปในมหาลัย ความรู้สึกตอนนั้นขนลุกซู่ คือ คิดในใจว่า "ฉันกำลังจะสำเร็จ ฉันกำลังจะสำเร็จ ฉันกำลังจะได้เป็นนักศึกษาของที่นี่จริง ๆ หรอ" ทุกอย่างมันพรั่งพรูออกมา ตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างมาก ว่านี่คือสถาบันที่เราเห็นตอนเป็นเด็ก และพอโตขึ้นมา เราก็ได้เรียนที่นี่ มันคือองค์ประกอบที่เพอร์เฟคสุด ๆ เดินดูรอบมหาลัย ไปดูโรงอาหาร ไปดูตึก เดินดูรอบ ๆ แล้วใจมันก็ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำว่า "นี่ฉันจะได้เรียนที่นี่แล้วหรือ ฉันรู้สึกดีใจและมีความสุขมาก" ผมรู้สึกตัวเองเป็นคนรวยทันทีที่ได้เรียนที่นี่ คือ หัวใจมันฟูแล้วก็เดินเชิดอย่างสง่างาม ตอนนั้นรู้สึกว่า "กรูได้เรียนที่นี่แล้ว สมความตั้งใจ" วันที่ไปซื้อระเบียบการ ลืมเล่า ผมจะต้องไปจับทหารในวันรุ่งขึ้น ไปซื้อระเบียบการวันที่ 7 เมษา วันที่ 8 ต้องไปจับใบดำใบแดง และวันที่ 9 จะเป็นวันสอบเข้ามหาลัย ตอนนั้นคิดว่า ถ้าวันที่ 8 ผมต้องติดทหาร ผมก็จะสละสิทธิ์ทันที ไม่ต้องรงต้องเรียนมันและ ไม่ขอผ่อนผันด้วย จับเป็นจับ แต่สุดท้ายแล้ว ทางสัสดี ก็ให้ทุกคนต่อแถว แล้วรอรับใบดำไปเลย เพราะมีคนสมัครเต็ม เย้ เย้ เย้ สรุป ผมก็ต้องไปสอบในวันพรุ่งนี้
ย้ำนะครับว่า ชีวิตผมหรือสภาพแวดล้อมไม่ได้ถูกปลูกฝังว่าต้องเอนท์ทรานซ์หรือต้องเข้า ม.รัฐ แต่ถูกปลูกฝังมาตลอดว่าต้องเรียนอะไรที่มันแพง ๆ หรู ๆ ไกล้บ้าน มหาลัย โรงเรียนดี ๆ เท่านั้น จะแพงไม่ว่าแต่ขอให้ดีและมีชื่อเสียง
หลังจากนั้น ผมก็ไปเกณฑ์เพื่อนมา 4 คน ซึ่งเป็นเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันตอนอนุบาลและก็เพื่อนที่เรียนด้วยกันตอน ปวช. มีเหน่ง มีเปิ้ล มีบาส มีโจ ก็ไปสอบด้วยกัน
โดยข้อสอบจะมีทั้งหมด 100 ข้อ (ถ้าจำไม่ผิด) ให้เวลาทำแค่ชั่วโมงครึ่ง มีเลขและภาษาอังกฤษ - ในพาร์ทที่เป็นภาษาอังกฤษ แน่นอน ผมหลับตาทำ กาเอา กาเอา เพราะรู้ตัวว่าอ่อนเลข ก็เลยทำภาษาอังกฤษไปก่อน แล้วเมื่อทำภาษาอังกฤษเสร็จ ค่อยกลับมาทำเลข โดยที่ข้อสอบเลขจะเป็นพาร์ทแรก แต่ผมเว้นไว้ไปทำภาษาอังกฤษก่อน
จากนั้น ผมก็มาทำเลข บร๊ะเจ้าาาาา!!!! ข้อสอบวิชาเลข มันมีปนทั้งแบบที่ผมทำได้และทำไม่ได้ และมีหลายข้อให้แสดงวิธีทำ คือ ผมอ่อนเลขมากและเกลียดวิชาเลขมาก แต่ก็ต้องจำใจทำ เพราะเราอยากเรียนที่นี่นี่นา
ผมดูแบบรวบ ๆ แล้วหาข้อที่คิดว่าทำได้ก่อน แล้วจึงไปหาข้อที่ยากที่สุด สรุปสุดท้าย ผมคิดว่าตัวเองทำได้แค่ 50:50 รู้สึกไม่มั่นใจ แต่ก็นะ คิดว่ายังไงก็ผ่านแหละ เค้าคงไม่โหดหรอก
ในวันประกาศสอบ
ผม - ผ่านครับ ต้องไปเรียนอินเทนซีฟเลขและภาษาอังกฤษในภาคฤดูร้อน
เหน่ง - สอบไม่ผ่าน เจ้าหน้าที่มหาลัยแนะนำให้ไปเรียนภาคไทย - แต่ไปไม่ได้ ที่บ้านบอกให้เรียนราม แพง
เปิ้ล - สอบไม่ผ่าน เจ้าหน้าที่แนะนำให้ไปเรียนภาคไทย - นางไป ม.รังสิตแทน
โจ - สอบไม่ผ่าน เจ้าหน้าที่ให้ไปเรียนภาคไทย แต่มันไม่ไป มันไปเอแบคที่สอบทิ้งไว้แล้วผ่านแล้ว จ่ายเงินเข้าเรียนได้เลย มันแค่อยากลองหลาย ๆ ที่ แต่มันบอกไม่กล้าเรียน สรุปมันไปหอการค้าแทน
บาส - คนนี้ผ่าน เข้าไปเรียนด้วยกัน แต่โดนไทร์ตั้งแต่เทอมแรก เพราะไม่ตั้งใจ ติดหญิง ติดเที่ยว ติดเหล้า
สรุป ผมก็ไม่มีเพื่อนเลย แล้วก็ต้องไปเจอเพื่อนใหม่ หากลุ่มเพื่อนใหม่ในบันดล
อันนี้แค่ประวัติคร่าว ๆ นะครับ สิ่งที่ผมจะเล่า มันค่อนข้าง Sensitive แล้วอยากให้ทางอธิการบดี ช่วยดูแลเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน
เดี๋ยวไปกินข้าวก่อง แล้วค่อยมาเล่าจุดพีค
จากใจศิษย์เก่า ม.กรุงเทพ
ผมนั่งคิด นอนคิดอยู่นานแสนนาน ว่าผมจะเขียนดีมั้ย ขอเล่าประวัติความเป็นมาของตัวเองคร่าว ๆ ก่อน
ผมเป็นคนนึง ที่เกิดและโตอยู่แถวมหาวิทยาลัย วิ่งแก้ผ้ารอบมหาวิทยาลัยตั้งแต่จำความได้ (กล้วยน้ำไท) ด้วยความเป็นเด็กไร้เดียงสา ผมเกิดมาก็เห็นมหาวิทยาลัยนี้ตั้งเด่นตระหง่านแล้ว
อนุบาลผมก็เรียน รร. แถวนั้น ไม่เคยเรียนหรือไปใช้ชีวิตที่ไกล ๆ นอกจากแถวนั้นตั้งแต่เกิดยันวัยรุ่น ทุกครั้งที่นั่งรถโรงเรียนไปเรียน ก็จะผ่าน ม.กรุงเทพเสมอ ซึ่งเป็นทางผ่าน จริง ๆ บ้านกับโรงเรียนและมหาลัยมันไม่ไกลหรอก แต่ที่บ้านต้องทำงาน ไม่มีเวลา เลยต้องอาศัยรถโรงเรียนพาไป
ด้วยความเป็นเด็กไร้เดียงสา ก็จะคิดในใจทุกครั้งเมื่อผ่านมหาวิทยาลัยนี้ "โรงเรียนนี้ไม่เห็นดีเลย มีแต่ผู้ใหญ่ ไม่มีสนามฟุตบอล ไม่มีสนามหญ้า ไม่มีม้าหมุน ไม่เห็นมีเครื่องเล่นเลยสักอย่าง แหวะ" มันคือความคิดของเด็กคนหนึ่งแหละ ที่เห็นว่าโรงเรียนนี้ (ม.กรุงเทพ) ไม่มีของเล่น
ผมเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่อนุบาลจน ม.3 ไม่เคยย้ายโรงเรียน จนกระทั่งผมต้องไปเรียนที่อื่นแล้ว เป็นการเรียนไกลที่สุดเท่าที่ออกจากย่านคลองเตย ซึ่งตอนนั้นที่บ้านก็กลัวจะเกิดอันตราย เพราะเป็นห่วง ไม่กล้าให้ลูกเรียนที่ไหนไกล ๆ แต่ผมบอกกับที่บ้านว่าอยากเรียน มันหรูดี ไฮโซดี บลา บลา บลา สรรหาจะให้ที่บ้านส่ง
จนกระทั่งผมเรียนจบ เป็น ปวช. สายพาณิชย์นะครับ คือ ผมชอบอะไรที่เป็นสายบริหารธุรกิจตั้งแต่เด็ก ฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาอังกฤษได้ตั้งแต่อยู่ ป. 3 และดูหนังทั้งเรื่องได้ตอนอยู่ ม. 2 ซึ่งก็อีโรงเรียนที่ผมผ่าน ม.กรุงเทพตอนเป็นเด็กนี่แหละ เป็นโรงเรียนที่เคร่งภาษามาก
พอจบการศึกษา โตเป็นหนุ่มและ ก็มีความคิด ความอ่าน เข้าใจโลกมากขึ้น ว่าผมอยากเรียน ม.กรุงเทพ
ปล. สมัยนั้นเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ความคิดของคนสมัยนั้น เป็นสมัยที่แค่ว่าจบ ปวช. จบ ปวส. ก็ทำงานได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็เป็นช่วงกึ่ง ๆ ปฏิวัติอุตสาหกรรมไทยแบบยุคสมัย ที่ถ้าคุณจบ ป.ตรี คุณก็จะกลายเป็นคนสุก คือคนไม่ดิบนั่นเอง
จนกระทั่ง ผมตัดสินใจแล้ว ว่าจะเรียน ม.กรุงเทพ มันเพราะว่าเราอยากเรียนที่นี่ และก็ความผูกพันธ์ตั้งแต่เป็นเด็ก
ต้องบอกก่อนว่าสังคมที่ผมอยู่ และการศึกษาที่ผมได้รับ มันมีเลย์เยอร์ต่างออกไปจากสังคมไทยทั่ว ๆ ไป กล่าว คือ เรื่องการเอนทรานซ์ เข้า ม.รัฐ มันไม่เคยอยู่ในสารบบผมหรือได้รับการปลูกฝังเหมือนสังคมทั่วไป คือ ผมแค่รู้สึกว่าผมต้องเข้าที่นี่ ต้องเรียนที่นี่ให้ได้ รู้สึกภูมิใจไปแล้วก่อนที่จะเข้า
หลังจากนั้น ผมก็ขอที่บ้านว่าอยากเรียนที่นี่ พ่อก็กุมขมับแหละ เพราะคิดว่ามันจะแพงหรือเปล่า แต่หารู้ไม่ เค้าก็บอกว่า "งั้นไปดูระเบียบการมา"
จำได้ว่าวันที่ผมไปซื้อระเบียบการ ผมเดินเข้าไปในมหาลัย ความรู้สึกตอนนั้นขนลุกซู่ คือ คิดในใจว่า "ฉันกำลังจะสำเร็จ ฉันกำลังจะสำเร็จ ฉันกำลังจะได้เป็นนักศึกษาของที่นี่จริง ๆ หรอ" ทุกอย่างมันพรั่งพรูออกมา ตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างมาก ว่านี่คือสถาบันที่เราเห็นตอนเป็นเด็ก และพอโตขึ้นมา เราก็ได้เรียนที่นี่ มันคือองค์ประกอบที่เพอร์เฟคสุด ๆ เดินดูรอบมหาลัย ไปดูโรงอาหาร ไปดูตึก เดินดูรอบ ๆ แล้วใจมันก็ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำว่า "นี่ฉันจะได้เรียนที่นี่แล้วหรือ ฉันรู้สึกดีใจและมีความสุขมาก" ผมรู้สึกตัวเองเป็นคนรวยทันทีที่ได้เรียนที่นี่ คือ หัวใจมันฟูแล้วก็เดินเชิดอย่างสง่างาม ตอนนั้นรู้สึกว่า "กรูได้เรียนที่นี่แล้ว สมความตั้งใจ" วันที่ไปซื้อระเบียบการ ลืมเล่า ผมจะต้องไปจับทหารในวันรุ่งขึ้น ไปซื้อระเบียบการวันที่ 7 เมษา วันที่ 8 ต้องไปจับใบดำใบแดง และวันที่ 9 จะเป็นวันสอบเข้ามหาลัย ตอนนั้นคิดว่า ถ้าวันที่ 8 ผมต้องติดทหาร ผมก็จะสละสิทธิ์ทันที ไม่ต้องรงต้องเรียนมันและ ไม่ขอผ่อนผันด้วย จับเป็นจับ แต่สุดท้ายแล้ว ทางสัสดี ก็ให้ทุกคนต่อแถว แล้วรอรับใบดำไปเลย เพราะมีคนสมัครเต็ม เย้ เย้ เย้ สรุป ผมก็ต้องไปสอบในวันพรุ่งนี้
ย้ำนะครับว่า ชีวิตผมหรือสภาพแวดล้อมไม่ได้ถูกปลูกฝังว่าต้องเอนท์ทรานซ์หรือต้องเข้า ม.รัฐ แต่ถูกปลูกฝังมาตลอดว่าต้องเรียนอะไรที่มันแพง ๆ หรู ๆ ไกล้บ้าน มหาลัย โรงเรียนดี ๆ เท่านั้น จะแพงไม่ว่าแต่ขอให้ดีและมีชื่อเสียง
หลังจากนั้น ผมก็ไปเกณฑ์เพื่อนมา 4 คน ซึ่งเป็นเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันตอนอนุบาลและก็เพื่อนที่เรียนด้วยกันตอน ปวช. มีเหน่ง มีเปิ้ล มีบาส มีโจ ก็ไปสอบด้วยกัน
โดยข้อสอบจะมีทั้งหมด 100 ข้อ (ถ้าจำไม่ผิด) ให้เวลาทำแค่ชั่วโมงครึ่ง มีเลขและภาษาอังกฤษ - ในพาร์ทที่เป็นภาษาอังกฤษ แน่นอน ผมหลับตาทำ กาเอา กาเอา เพราะรู้ตัวว่าอ่อนเลข ก็เลยทำภาษาอังกฤษไปก่อน แล้วเมื่อทำภาษาอังกฤษเสร็จ ค่อยกลับมาทำเลข โดยที่ข้อสอบเลขจะเป็นพาร์ทแรก แต่ผมเว้นไว้ไปทำภาษาอังกฤษก่อน
จากนั้น ผมก็มาทำเลข บร๊ะเจ้าาาาา!!!! ข้อสอบวิชาเลข มันมีปนทั้งแบบที่ผมทำได้และทำไม่ได้ และมีหลายข้อให้แสดงวิธีทำ คือ ผมอ่อนเลขมากและเกลียดวิชาเลขมาก แต่ก็ต้องจำใจทำ เพราะเราอยากเรียนที่นี่นี่นา
ผมดูแบบรวบ ๆ แล้วหาข้อที่คิดว่าทำได้ก่อน แล้วจึงไปหาข้อที่ยากที่สุด สรุปสุดท้าย ผมคิดว่าตัวเองทำได้แค่ 50:50 รู้สึกไม่มั่นใจ แต่ก็นะ คิดว่ายังไงก็ผ่านแหละ เค้าคงไม่โหดหรอก
ในวันประกาศสอบ
ผม - ผ่านครับ ต้องไปเรียนอินเทนซีฟเลขและภาษาอังกฤษในภาคฤดูร้อน
เหน่ง - สอบไม่ผ่าน เจ้าหน้าที่มหาลัยแนะนำให้ไปเรียนภาคไทย - แต่ไปไม่ได้ ที่บ้านบอกให้เรียนราม แพง
เปิ้ล - สอบไม่ผ่าน เจ้าหน้าที่แนะนำให้ไปเรียนภาคไทย - นางไป ม.รังสิตแทน
โจ - สอบไม่ผ่าน เจ้าหน้าที่ให้ไปเรียนภาคไทย แต่มันไม่ไป มันไปเอแบคที่สอบทิ้งไว้แล้วผ่านแล้ว จ่ายเงินเข้าเรียนได้เลย มันแค่อยากลองหลาย ๆ ที่ แต่มันบอกไม่กล้าเรียน สรุปมันไปหอการค้าแทน
บาส - คนนี้ผ่าน เข้าไปเรียนด้วยกัน แต่โดนไทร์ตั้งแต่เทอมแรก เพราะไม่ตั้งใจ ติดหญิง ติดเที่ยว ติดเหล้า
สรุป ผมก็ไม่มีเพื่อนเลย แล้วก็ต้องไปเจอเพื่อนใหม่ หากลุ่มเพื่อนใหม่ในบันดล
อันนี้แค่ประวัติคร่าว ๆ นะครับ สิ่งที่ผมจะเล่า มันค่อนข้าง Sensitive แล้วอยากให้ทางอธิการบดี ช่วยดูแลเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน
เดี๋ยวไปกินข้าวก่อง แล้วค่อยมาเล่าจุดพีค