6 คืนหลอนในค่าย
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมเจอมากับตัวเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมากว่าผมจะกลับมาคิดได้รายละเอียดของเรื่องก็
แทบจะจางๆลงไปแล้ว เพราะผมตัดสินใจว่าจะไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก เพราะเป็นเรื่องที่ผมนึกถึงทีไรจะรู้สึกขนุ
กอยู่ตลอดเวลา
จากข้างต้นครับต้องย้อนเวลาไปไม่นานมากซัก 2-3 ปี ผมในตอนนั้นก็ก าลังเป็นนศ.อยู่ชั้นปีที่ 2 ที่ก าลังจะ
ขึ้นชั้นปีที่ 3 ซึ่งในตอนนั้นเองฐานะครอบครัวก็ไม่ค่อยดีนักครอบครัวก็หย่าร้างกัน ผมเลยได้อาศัยอยู่กับพ่อ
จนจบม.ต้น ช่วงที่จะเข้าม.ปลายผมติดต่อกับแม่ได้ แม่ได้บอกผมว่า ”ย้ายไปอยู่กับลุงไหมที่วัด” ซึ่งลุงผมก็
เป็นพระเจ้าอาวาสในจังหวัดหนึ่งที่ภาคอีสาน ผมเลยได้ตัดสินใจไปอยู่ที่วัดเผื่อชีวิตจะดีขึ้นตั้งแต่ม.ปลาย
มาจนถึงปัจจุบันที่ผมใกล้จบแล้ว จนได้เข้ามหาลัยหนึ่งที่ดังในภาคอีสานได้ซึ่งในช่วงนั้นตอนปี 1 เข้าจะ
ให้นศ.เลือกชมรมเพื่อเข้าท ากิจกรรมเพื่อเก็บหน่วยกิจกรรม และผมก็เข้าไปในชมรมหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า “ชมรม
อีสาน” ซึ่งจะเป็นชมรมที่เกี่ยวกับการศึกษาวิถีชีวิตของชุมชน การบ าเพ็ญประโยชน์ต่างๆนาๆ ท าให้ผมเกิด
ความสนใจขึ้น ซึ่งถ้าย้อนกลับไป 2-3 ปี ช่วงนั้นเป็นช่วงโควิดท าให้นศ.บางส่วนไม่ได้ท ากิจกกรมหรืออยาก
พบปะผู้คนมากมายนัก ท าให้ตอนนั้นเองชมรมที่ผมลงชื่อไปทางชมรมเปิดรับสมัครกรรมการพอดีเลยครับ
ผมได้ท าการสมัครไป ซึ่งในตอนนั้นผมก็เป็นน้องเล็กสุดเลยปี 1 เด็กจนทุกคนตกใจว่าน้องมาได้ไงเนี่ย
หลังจากที่เปิดรับสมัครสัมภาษณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็ได้มาเป็นกรรมการอย่างเต็มตัวและต่อมาพี่ๆใน
ชมรมก็นัดกรรมการใหม่เพื่อมาพบปะพูดคุยว่า “เนี่ยชมรมเราอะ ห่างหายมานานนะเนื่องจากโควิดพี่ว่าเรา
กลับมาท าค่ายกันไหม” อะที่นี้เราก็ดีใจเรา และพี่ในชมรมเขาก็บอกว่า “ชมรมเราเนี่ย 1 ปี จะมีการท า
ทั้งหมด 2 ค่ายนะ ค่ายบ าเพ็ญประโยชน์และค่ายศึกษาวิถีชีวิต” พอเรารู้ละว่ามีการท าค่ายก็ทั้งดีใจตื่นเต้น
เพราะพึ่งเข้ามาปี 1 ไม่นานจะได้ท าค่ายละ ที่ตื่นเต้นเพราะในตอนนั้นผมเลือกที่จะท าฝ่ ายอาหารเพราะ
เป็นสิ่งที่ผมถนัดที่สุด แต่เราไม่เคยท าให้คนเป็น 100 กินเลยเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ไป หลังจากนั้นพอเวลา
ล่วงเลยไป ค่ายแรกอย่างที่ผมบอกค่ายบ าเพ็ญประโยชน์ผมก็ท ามันออกมาได้ดีจนมาแต่กว่าจะผ่านค่าย
แรกมาได้นั้นตัวผมก็ขึ้นปี 2 มาพอดีเนื่องจากในสถานการณ์ตอนนั้นเอง อย่างที่ผมบอกไปข้างต้นครับมี 1
ค่าย ก็ต้องมีอีก 1 ค่าย คือค่ายศึกษาวิถีชีวิต ซึ่งค่ายนี้จะเป็นค่ายที่ต้องไปในที่ๆไกลที่สุดจากตัวมอ
เนื่องจากว่ามีสิ่งให้ศึกษามากกว่าระแวกที่มออยู่ ซึ่งในตอนนั้นก่อนที่จะท าค่ายที่ 2 ก็ต้องมีการเปิดรับ
สมัครกรรมการใหม่เพิ่มขึ้นมา ถ้าจ าไม่ผิดผมจ าได้ว่ามีกรรมการทั้ง 30 กว่าคนที่ได้เป็นกรรมค่ายที่ 2 นี้รวม
ผม ซึ่งก็ตามเคยครับผมฝ่ ายเดิมฝ่ ายอาหารฝ่ ายรักฝ่ ายชอบ หลังจากที่เราได้กรรมการมาใหม่แล้วเราก็จะมี
การประชุมเพื่อออกความเห็นว่าเราจะไปที่ไหนดีเพื่อให้มีสิ่งศึกษาตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ก็คุยวางแผน
กันมา 2-3 เดือนก็ได้ข้อสรุปว่าจะไปจังหวัด..... รร.... พอได้สถานที่แล้วพวกผมก็ต้องท าการส ารวจรร.เพื่อ
ว่าเหมาะสมที่เราจะไปท าค่ายที่ 2 ไหม ชุมชนเป็นยังไงบ้างรร.เป็นยังไงบ้าง ซึ่งจะท าการส ารวจทั้งหมด 2
รอบเพื่อความมั่นใจ พอถึงวันส ารวจก็พากันออกแต่เช้าเลยครับเพราะระยะททางห่างจากมอมากคือ 200
km และ 2 จังหวัดด้วย ซึ่งเกณฑ์ของรร.ที่พวกผมเลือกคือ 1.รร.ต้องไม่ติดถนนหลวง 2.นักเรียนไม่เกิน
100 คนและเป็นนักเรียนประถม ก็ประมาณนี้ครับ ซึ่งพวกผมก็ได้ตัวเลือกมาทั้งหมด 3 รร. ก็ผ่านรร.แรกก็
อาคารเรียนน้อยไป รร.ที่สองก็ไม่มีการให้ความร่วมมือในการท าค่าย และพอมาถึงรร.สุดท้ายครับ ผมจะ
ขอให้นึกภาพตามนะครับว่ารร.เนี้ย มีอาคารเรียงกันตั้งแต่อาคารทางเข้าเป็นอาคารที่หนึ่งซึ่งจะมีลาน
กิจกรรมด้านล่าง อาคารที่สองเป็นอาหารอนุบาล อาคารที่สามเป็นโรงอาหาร และจะมีพระพุทธรูปติดกับ
อาคารที่หนึ่ง มองไปข้างหน้าอาคารมีสนามเด็กเล่น มีศาลานั่งพัก และเป็นสนามฟุตบอล โดยรอบรร.จะ
เป็นภูเขาเป็นป่ าล้อมรอบรร. และรร.ก็ไม่ห่างจากชุมชนเป็นรร.ติดกับชุมชนเลยก็ว่าได้ ความรู้สึกแรกของ
ผมเมื่อไปถึงรร.แห่งนี้ผมมีความรู้สึกว่า “เห้ย บรรยากาศดีจังวะ” ซึ่งเป็นรร.ปกติที่ก าลังได้รับการพัฒนาให้
เป็นรร.ต าบล บรรยากาศก็ดีผอ. รรดีรวมไปถึงชุมชนกับเด็กๆที่ยิ้มแย้มแจ่มใสให้ความร่วมมือและเป็น
กันเองเมื่อพวกผมมาถึง และสุดท้ายพวกผมก็ได้ส ารวจถามไถ่ดูรร.ว่าเป็นอะไรยังไงบ้างเหมาะไหมหรือ
อะไรยังไง ก็ได้เดินทางกลับครับผมพอมาถึงมอและมีการประชุมอีกครั้ง ก็เป็นอันตกลงได้ว่านี้แหละรร.นี้
แหละเหมาะที่สุดในการท าค่ายที่2 ของเรา และส่วนตัวผมก็มองว่า “ รร.โอเคชุมชน เด็ก ทุกอย่างโอเค” ก็
เป็นอันตกลงครับผม พวกเราได้รร.ที่สามเป็นสถานที่ท าค่ายของพวกเรา และเวลาก็ผ่านไปจนถึงเดือน
เมษายนเป็นเดือนที่พวกผมก็ต้องไปค่ายซึ่งกรรมการก็ต้องไปเตรียมค่ายก็ทั้งหมด 2 วันซึ่งค่ายนี้คือค่าย 5
วันก็รวมทั้งหมดแล้วถ้าพวกผมอยู่ทั้งหมด 7 วัน ก็ได้มีนัดหมายกันว่ากรรมการฝ่ ายนี้นะๆ ต้องไปเตรียม
ค่ายก่อน 2 วันซึ่งก็มีแน่นอนครับฝ่ ายอาหารที่ต้องไปเตรียมค่ายก่อน 2 วัน ผมก็ได้ท าการเตรียมอุปกรณ์ที่มี
เตรียมทุกอย่างให้พร้อม
จนถึงวันเดินทางก็ออกเดินทางแต่เช้ามืดเลยครับ เพราะระยะจากมอไปถึงรร.นี้ 200 กิโลพอดี พอไป
ถึงก็ได้เจอผอ. เป็นคนแรกให้การต้อนรับอย่างดีพาเดินเปิดห้องดูโน่นดูนี้ไปเรื่อยเพื่อที่ว่าจะต้องเตรียม
อะไรบ้างก็ที่ลุกค่ายจะมา ซึ่งห้องนอนกรรมการครับจะนอนอยู่อาคารแรกซึ่งเป็นอาคารที่มีลานกิจกรรม
ด้านล่าง พวกผผมก็ได้นอนอยู่ห้องประชุมของรร.ซึ่งกว้างมากพอที่จะรับรองคนได้ประมาณ 50 คน พอถึง
และขนของขนอะไรเสร็จก็ต่างคนต่างไปจัดเตรียมหน้าที่ฝ่ ายตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ ายอาหาร ชุมชน อะไร
ต่างๆนาๆ ส่วนผมฝ่ ายอาหารก็ได้สถานที่ท าครัวคือโรงอาหารที่จะต้องเดินจากอาคารหนึ่งผ่านอาคาร
อนุบาลและค่อยเป็นโรงอาหาร และต่อจากนี้ผมจะขอแนะน าตัวละครในเรื่องหลักๆนะครับ 1.ตัวของผมเอง
2.เพื่อนชื่อว่า “แทน” 3.พี่ในชมรมชื่อว่า “อั้น” 4.น้องในฝ่ ายผมชื่อว่า “ปาม” ซึ่งทั้งหมด 4 คนนี้จะอยู่ใน
เหตุการณ์มากที่สุด และใกล้ตัวผมทุกเวลา หลังจากที่ผมเตรียมทุกอย่างเสร็จในครัวท านู้นนี้นั้นไปเวลาก็
ผ่านไปจนมืดค ่าแล้ว และหน้าที่ของฝ่ ายอาหารอย่างผมก็มีหน้าที่ที่ต้องท าอาหารให้กรรมการที่มาเตรียม
ค่ายกิน ก็ได้ชวนน้องปามและน้องในฝ่ ายอีกคนไปเตรียมซึ่งลักษณะโรงอาหารครับจะเป็นอาหารยาวและมี
กรงรอบเพื่อป้องกันสิ่งของ และมีโต๊ะทานข้าวที่รองรับเด็กได้หลายคน และมีห้องครัวที่คอยเก็บของ ข้างๆ
โรงอาหารที่ไม่ได้ติดถนน จะมีก่อไผ่ใหญ่มากห่างออกไป 200-300 เมตร เห็นจะได้ซึ่งจะเป็นภูเขาเป็นป่ า
ซึ่งในระหว่างที่ผมท าอาหารอยู่ข้างโรงอาหารที่ไม่ได้ติดถนนนั้น สายตาผมก็ไม่รู้มีอะไรดนใจให้มองไปที่ก่อ
ไผ่ใหญ่ก่อนั้นซึ่งมองไปก็มืดมากมืดจนแทบไม่มีใครก็ไปไหนคนเดียว ผมก็มองเห็นเงารูปร่างของคนแต่ไม่
ชัดมากนักผมก็จ้องอยู่ซักพักเพื่อความแน่ใจ แต่ในตอนนั้นทั้งความวุ่นวายของการท าอาหารและกรรมการ
ทุกคนมารอกินข้าว ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรคิดว่าตัวเองเหนื่อยรถเมาแดดและเดินทางมาไกลแหละก็ไม่ได้คิด
อะไร จนเวลาผ่านไปถึงเวลา 23.00 ทั้งกรรมการทุกคนก็กินข้าวอาบน ้าเรียบร้อยเตรียมนอนแต่ก็เหลือ
บางส่วนที่ยังเตรียมการไม่เสร็จ ผมและน้องๆในฝ่ ายก็เตรียมทุกอย่างเสร็จหมดแล้วผมเละบอกน้องปามว่า
“เสร็จหมดแล้วเราป่ ะ พากันไปอาบน ้าก่อนพี่เดะขอเก็บของก่อน” ผมก็ได้บอกน้องไปท าภารกิจส่วนตัว พอ
เสร็จจากห้องครัว นั้นก็เป็นเวลาได้ที่เลยครับเหนื่อยๆมามันต้องแก้ผมเลยได้ชวนไอ้แทนเพื่อนผมพี่อั้นพี่ใน
ชมรม พากันนั่งดื่มที่หน้าอาคารนอนที่มีศาลาอยู่หน้าอาหารและมีสนามบอลด้านหน้าแต่นี้คือสิ่งที่ไม่
เหมาะสมเท่าไหร่นะครับ แทนมันก็บอกว่า “กินได้หรอ เดี๋ยวเขาก็ว่าเอา” ผมเลยบอกว่า “มันไม่ใช้วันค่าย
นิ” หลังจากนั้นก็จัดเลยครับนั่งกินนั่งพูดกันนู้นนี้นั่น แต่มีเรื่องที่พีคก็คือแทนมันบอกว่า “จะว่าไปตอน
กลางคืนที่เนี้ยหน้ากลัววะ ตอนเช้าอีกแบบ กลางคืนอีกแบบเลยวะ” และพี่อั้นก็สวนขึ้นมาว่า “อย่าลืมสิ
ที่นี้หมู่บ้านภูไทนะ เขานับถือผีเป็นส่วนมาก ไม่สังเกตตอนมาส ารวจหรอว่าในหมู่บ้านพระมีรูปเดียว จะท า
อะไรจะเข้าหมู่บ้านก็อย่าท าอะไรผิดประเพณีละ” ทางผมก็ไม่ได้คิดก็ตอบไปแค่ว่า “ตามนั้นละท าอะไรก็
คิด และระวังด้วยเพราะต่างที่ต่างถิ่น” กินกันไปจนดึกจะตี 1 ถ้าพูดถึงเรื่องเครื่องดื่มต้องมีการปล่อย
เครื่องดื่มใช่ไหมละครับ ผมก็ขี้เกียจที่นี้เลยเดินไปสนามบอลห่างจากศาลาไม่ไกล ยกมือไหว้และปล่อยแต่
ในจังหวะนั้นสายตาผมก็มองไปข้างหน้าซึ่งสนามบอลนี้ข้างหน้าจะติดก าแพงรร.1ด้าน ด้านขวา จะติดกับ
ป่ าต้นยางที่มีหมู่บ้าน ด้านซ้ายจะเป็นที่พวกผมนั่งกิน ด้านหลังจะเป็นอีกอาคาร (ขออภัยครับ มีทั้งหมด 4
อาหาร เป็นอาหารประถมที่ถัดจากโรงอาหาร) สายตาผมก็มองไปทางป่ าต้นยาง เห็นเงาคนนับสิบมองมาที่
พวกผมนั่งกินอยู่ในตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไรคิดว่าคงดื่มมากตาเบลอ พอเสร็จผมก็ยกมือไหว้อีกทีก่อน
กลับมานั่งกินต่อจนเวลาตี 2 ก็ได้พากันแยกย้ายอาบน ้านอน
วันที่ 2 ของการเตรียมค่ายโดยปกติแล้วเนี่ยตลอดการไปค่ายของผมและการอยู่ฝ่ ายอาหารผมจะตื่น
เช้าตลอดนั้นคือตี 4 เป็นวันที่ตื่นมาแล้วผมรุ้สึกปวดหัวมากเพราะตื่นเช้าไปหน่อย เพราะอจ.ที่รร.เขามา
ปลุกและตะโกนว่า “6 โมงเช้าแล้วท าไมไม่พากันปิดไฟ” ผมเลยสะดุ้งตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหัวเพราะ
ดื่มหนักไปหน่อย และได้ไปปลุกน้องอีก 2 คนเพื่อท าอาหารเช้าในวันนี้ก็เหมือนจะวันปกติอีกวันผมก็พา
น้องๆเตรียมครัวเช็คของออกไปซื้อของเสร็จก็พากันพักหรือไปช่วยฝ่ ายอื่นๆบ้าง โดยในตอนนั้นผมก็ได้ไป
ช่วยแทนกับพี่อั้นเพื่อกางที่ตากผ้าของผช.และผญ. คือที่ตากผ้าเนี่ยจะอยู่หลังอาคารอนุบาลข้างหลังก็
อย่างที่บอกครับก่อไผและป่ าเขา พวกผมทั้ง 3 คนในตอนนั้นก็ช่วยกันติดไฟเพื่อเป็นแสงสว่างให้แกที่ตาก
ผ้าเผื่อมีคนมาตากผ้าตอนกลางคืน และที่ตากพาพวกผมก็จะท าไว้ยาวมากเยอะมากเพื่อรองรับคนเกือบ
100 โดยพวกผมก็จะขึงสแลนสีฟ้าที่จะเป็นที่บังตากผ้าของผญ. ซึ่งผ้าเนี่ยในตอนกลางคืนพอโดนแสงไฟจะ
เห็นเป็นเงาได้ง่ายมาก ในตอนนั้นเองผมก็พูดขึ้นมาว่า “ตอนคืนถ้ามาตากผ้า หน้าจะหลนหน้ากลัวเนาะ
ดูดิแทนข้างหลัง
![ยิ้ม ยิ้ม](https://ptcdn.info/emoticons/emoticon-smile.png)
ก็ป่ า ข้างๆก็บ้านพักครูร้างจะมีใครกล้ามาตากไหมวะ” แทนมันก็ตอบมาว่า “เออก็จริง
วะ แต่ท าไว้เถอะดีกว่าไม่มีให้เขา” ซึ่งผมลืมบอกไปว่าข้างๆที่พวกผมนอนจะเป็นบ้านพักครูร้าง ต่อจากนั้น
พวกผมทั้ง 3 ก็พากันท าจนเสร็จและไปช่วยฝ่ ายอื่นท านู้นนี้นั้น ก็เหมือนครับตกเย็นมาหน้าที่พ่อครัวเช่นเดิม
ก็กรรมการเกือบทั้งหมด 20 กว่าคนก็มานั่งรอนั่งช่วยกันท ากับข้าวจนพากันกินข้าวอาบน ้าเสร็จ ก็พากันนั่ง
ประชมุ วางแผนเพราะพรุง่ นีก้็วนั คา่ ยละ พอประชมุ เสรจ็ ก็พากนั มาไหวส่ิงศกัดสิ์ ิทธิ์พระพทุ ธท่ีอยขู่า้งๆ
อาคารนอนพวกผมก็เสร็จทุกอย่างก็เกือบ 4 ทุ่มโดยประมาณ ผมเลยได้ไปชวนน้องปาม “ปามป่ ะเรียกน้อง
อีกคนมาด้วย เดะเราไปเช็คของท าความสะอาดครัวอีกรอบกัน” ก็พากันไป 3 คนฝ่ ายเราจนท าอะไรเสร็จ
ผมก็บอก “น้องไปอาบน ้าเลยนะ ขอเครียอีกนิดหน่อยก่อน” จนเวลาผ่านไปตี 2 อีกวันผมก็ปิดไฟ ปิดครัว
ปิดทุกอย่างให้แน่ใจ ก็เดินมาและเหตุการณ์ต่อจากนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้ไม่ผิดตอนท าที่ตากผ้า ผมมองไปที่
ตากผ้าหลังอาคารซึ่งตอนนั้นก็เปิดไฟอยู่ บังเอิญสายตามองไปเห็นเงารูปร่างเหมือนผญ.ก าลังเดินผ่านที่
ตากผ้าไปช้าๆ ซึ่งไอ้ตัวผมก็ยืนดูเพื่อความแน่ใจว่าจะเป็นใครพอยืนดูซักพักไม่มีใคร ตอนนั้นก็ตกใจมากแต่
ด้วยความเหนื่อยและไม่คิดอะไรผมเลยไปอาบน ้านอนปกติ
วันที่ 3 วันค่ายเหมือนเดิมเลยครับเวลาตี 4 ผมก็ตื่นเหมือนเดิมปลุกน้องในฝ่ ายเพื่อเตรียมตัว
ท าอาหารให้กรรมการและลูกค่ายที่จะมาถึง ซึ่งในวันนี้เหตุการณ์ก็จะลันกิจกรรมตั้งแต่เช้ารับลูกค่าย
นันทนาแบ่งลูกค่ายลงแต่ละฝ่ ายท านู้นนี้นั้นจนตกเย็นปกติ ก็เหมือนเดิมครับอยู่คนเดียวในโรงอาหารจนตี
2 เช่นเดิมก็เครียของเช็คของท าความสะอาดคนเดียวไปเพราะผมร
เรื่องหลอนๆในค่าย 2565
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมเจอมากับตัวเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมากว่าผมจะกลับมาคิดได้รายละเอียดของเรื่องก็
แทบจะจางๆลงไปแล้ว เพราะผมตัดสินใจว่าจะไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก เพราะเป็นเรื่องที่ผมนึกถึงทีไรจะรู้สึกขนุ
กอยู่ตลอดเวลา
จากข้างต้นครับต้องย้อนเวลาไปไม่นานมากซัก 2-3 ปี ผมในตอนนั้นก็ก าลังเป็นนศ.อยู่ชั้นปีที่ 2 ที่ก าลังจะ
ขึ้นชั้นปีที่ 3 ซึ่งในตอนนั้นเองฐานะครอบครัวก็ไม่ค่อยดีนักครอบครัวก็หย่าร้างกัน ผมเลยได้อาศัยอยู่กับพ่อ
จนจบม.ต้น ช่วงที่จะเข้าม.ปลายผมติดต่อกับแม่ได้ แม่ได้บอกผมว่า ”ย้ายไปอยู่กับลุงไหมที่วัด” ซึ่งลุงผมก็
เป็นพระเจ้าอาวาสในจังหวัดหนึ่งที่ภาคอีสาน ผมเลยได้ตัดสินใจไปอยู่ที่วัดเผื่อชีวิตจะดีขึ้นตั้งแต่ม.ปลาย
มาจนถึงปัจจุบันที่ผมใกล้จบแล้ว จนได้เข้ามหาลัยหนึ่งที่ดังในภาคอีสานได้ซึ่งในช่วงนั้นตอนปี 1 เข้าจะ
ให้นศ.เลือกชมรมเพื่อเข้าท ากิจกรรมเพื่อเก็บหน่วยกิจกรรม และผมก็เข้าไปในชมรมหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า “ชมรม
อีสาน” ซึ่งจะเป็นชมรมที่เกี่ยวกับการศึกษาวิถีชีวิตของชุมชน การบ าเพ็ญประโยชน์ต่างๆนาๆ ท าให้ผมเกิด
ความสนใจขึ้น ซึ่งถ้าย้อนกลับไป 2-3 ปี ช่วงนั้นเป็นช่วงโควิดท าให้นศ.บางส่วนไม่ได้ท ากิจกกรมหรืออยาก
พบปะผู้คนมากมายนัก ท าให้ตอนนั้นเองชมรมที่ผมลงชื่อไปทางชมรมเปิดรับสมัครกรรมการพอดีเลยครับ
ผมได้ท าการสมัครไป ซึ่งในตอนนั้นผมก็เป็นน้องเล็กสุดเลยปี 1 เด็กจนทุกคนตกใจว่าน้องมาได้ไงเนี่ย
หลังจากที่เปิดรับสมัครสัมภาษณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็ได้มาเป็นกรรมการอย่างเต็มตัวและต่อมาพี่ๆใน
ชมรมก็นัดกรรมการใหม่เพื่อมาพบปะพูดคุยว่า “เนี่ยชมรมเราอะ ห่างหายมานานนะเนื่องจากโควิดพี่ว่าเรา
กลับมาท าค่ายกันไหม” อะที่นี้เราก็ดีใจเรา และพี่ในชมรมเขาก็บอกว่า “ชมรมเราเนี่ย 1 ปี จะมีการท า
ทั้งหมด 2 ค่ายนะ ค่ายบ าเพ็ญประโยชน์และค่ายศึกษาวิถีชีวิต” พอเรารู้ละว่ามีการท าค่ายก็ทั้งดีใจตื่นเต้น
เพราะพึ่งเข้ามาปี 1 ไม่นานจะได้ท าค่ายละ ที่ตื่นเต้นเพราะในตอนนั้นผมเลือกที่จะท าฝ่ ายอาหารเพราะ
เป็นสิ่งที่ผมถนัดที่สุด แต่เราไม่เคยท าให้คนเป็น 100 กินเลยเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ไป หลังจากนั้นพอเวลา
ล่วงเลยไป ค่ายแรกอย่างที่ผมบอกค่ายบ าเพ็ญประโยชน์ผมก็ท ามันออกมาได้ดีจนมาแต่กว่าจะผ่านค่าย
แรกมาได้นั้นตัวผมก็ขึ้นปี 2 มาพอดีเนื่องจากในสถานการณ์ตอนนั้นเอง อย่างที่ผมบอกไปข้างต้นครับมี 1
ค่าย ก็ต้องมีอีก 1 ค่าย คือค่ายศึกษาวิถีชีวิต ซึ่งค่ายนี้จะเป็นค่ายที่ต้องไปในที่ๆไกลที่สุดจากตัวมอ
เนื่องจากว่ามีสิ่งให้ศึกษามากกว่าระแวกที่มออยู่ ซึ่งในตอนนั้นก่อนที่จะท าค่ายที่ 2 ก็ต้องมีการเปิดรับ
สมัครกรรมการใหม่เพิ่มขึ้นมา ถ้าจ าไม่ผิดผมจ าได้ว่ามีกรรมการทั้ง 30 กว่าคนที่ได้เป็นกรรมค่ายที่ 2 นี้รวม
ผม ซึ่งก็ตามเคยครับผมฝ่ ายเดิมฝ่ ายอาหารฝ่ ายรักฝ่ ายชอบ หลังจากที่เราได้กรรมการมาใหม่แล้วเราก็จะมี
การประชุมเพื่อออกความเห็นว่าเราจะไปที่ไหนดีเพื่อให้มีสิ่งศึกษาตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ก็คุยวางแผน
กันมา 2-3 เดือนก็ได้ข้อสรุปว่าจะไปจังหวัด..... รร.... พอได้สถานที่แล้วพวกผมก็ต้องท าการส ารวจรร.เพื่อ
ว่าเหมาะสมที่เราจะไปท าค่ายที่ 2 ไหม ชุมชนเป็นยังไงบ้างรร.เป็นยังไงบ้าง ซึ่งจะท าการส ารวจทั้งหมด 2
รอบเพื่อความมั่นใจ พอถึงวันส ารวจก็พากันออกแต่เช้าเลยครับเพราะระยะททางห่างจากมอมากคือ 200
km และ 2 จังหวัดด้วย ซึ่งเกณฑ์ของรร.ที่พวกผมเลือกคือ 1.รร.ต้องไม่ติดถนนหลวง 2.นักเรียนไม่เกิน
100 คนและเป็นนักเรียนประถม ก็ประมาณนี้ครับ ซึ่งพวกผมก็ได้ตัวเลือกมาทั้งหมด 3 รร. ก็ผ่านรร.แรกก็
อาคารเรียนน้อยไป รร.ที่สองก็ไม่มีการให้ความร่วมมือในการท าค่าย และพอมาถึงรร.สุดท้ายครับ ผมจะ
ขอให้นึกภาพตามนะครับว่ารร.เนี้ย มีอาคารเรียงกันตั้งแต่อาคารทางเข้าเป็นอาคารที่หนึ่งซึ่งจะมีลาน
กิจกรรมด้านล่าง อาคารที่สองเป็นอาหารอนุบาล อาคารที่สามเป็นโรงอาหาร และจะมีพระพุทธรูปติดกับ
อาคารที่หนึ่ง มองไปข้างหน้าอาคารมีสนามเด็กเล่น มีศาลานั่งพัก และเป็นสนามฟุตบอล โดยรอบรร.จะ
เป็นภูเขาเป็นป่ าล้อมรอบรร. และรร.ก็ไม่ห่างจากชุมชนเป็นรร.ติดกับชุมชนเลยก็ว่าได้ ความรู้สึกแรกของ
ผมเมื่อไปถึงรร.แห่งนี้ผมมีความรู้สึกว่า “เห้ย บรรยากาศดีจังวะ” ซึ่งเป็นรร.ปกติที่ก าลังได้รับการพัฒนาให้
เป็นรร.ต าบล บรรยากาศก็ดีผอ. รรดีรวมไปถึงชุมชนกับเด็กๆที่ยิ้มแย้มแจ่มใสให้ความร่วมมือและเป็น
กันเองเมื่อพวกผมมาถึง และสุดท้ายพวกผมก็ได้ส ารวจถามไถ่ดูรร.ว่าเป็นอะไรยังไงบ้างเหมาะไหมหรือ
อะไรยังไง ก็ได้เดินทางกลับครับผมพอมาถึงมอและมีการประชุมอีกครั้ง ก็เป็นอันตกลงได้ว่านี้แหละรร.นี้
แหละเหมาะที่สุดในการท าค่ายที่2 ของเรา และส่วนตัวผมก็มองว่า “ รร.โอเคชุมชน เด็ก ทุกอย่างโอเค” ก็
เป็นอันตกลงครับผม พวกเราได้รร.ที่สามเป็นสถานที่ท าค่ายของพวกเรา และเวลาก็ผ่านไปจนถึงเดือน
เมษายนเป็นเดือนที่พวกผมก็ต้องไปค่ายซึ่งกรรมการก็ต้องไปเตรียมค่ายก็ทั้งหมด 2 วันซึ่งค่ายนี้คือค่าย 5
วันก็รวมทั้งหมดแล้วถ้าพวกผมอยู่ทั้งหมด 7 วัน ก็ได้มีนัดหมายกันว่ากรรมการฝ่ ายนี้นะๆ ต้องไปเตรียม
ค่ายก่อน 2 วันซึ่งก็มีแน่นอนครับฝ่ ายอาหารที่ต้องไปเตรียมค่ายก่อน 2 วัน ผมก็ได้ท าการเตรียมอุปกรณ์ที่มี
เตรียมทุกอย่างให้พร้อม
จนถึงวันเดินทางก็ออกเดินทางแต่เช้ามืดเลยครับ เพราะระยะจากมอไปถึงรร.นี้ 200 กิโลพอดี พอไป
ถึงก็ได้เจอผอ. เป็นคนแรกให้การต้อนรับอย่างดีพาเดินเปิดห้องดูโน่นดูนี้ไปเรื่อยเพื่อที่ว่าจะต้องเตรียม
อะไรบ้างก็ที่ลุกค่ายจะมา ซึ่งห้องนอนกรรมการครับจะนอนอยู่อาคารแรกซึ่งเป็นอาคารที่มีลานกิจกรรม
ด้านล่าง พวกผผมก็ได้นอนอยู่ห้องประชุมของรร.ซึ่งกว้างมากพอที่จะรับรองคนได้ประมาณ 50 คน พอถึง
และขนของขนอะไรเสร็จก็ต่างคนต่างไปจัดเตรียมหน้าที่ฝ่ ายตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ ายอาหาร ชุมชน อะไร
ต่างๆนาๆ ส่วนผมฝ่ ายอาหารก็ได้สถานที่ท าครัวคือโรงอาหารที่จะต้องเดินจากอาคารหนึ่งผ่านอาคาร
อนุบาลและค่อยเป็นโรงอาหาร และต่อจากนี้ผมจะขอแนะน าตัวละครในเรื่องหลักๆนะครับ 1.ตัวของผมเอง
2.เพื่อนชื่อว่า “แทน” 3.พี่ในชมรมชื่อว่า “อั้น” 4.น้องในฝ่ ายผมชื่อว่า “ปาม” ซึ่งทั้งหมด 4 คนนี้จะอยู่ใน
เหตุการณ์มากที่สุด และใกล้ตัวผมทุกเวลา หลังจากที่ผมเตรียมทุกอย่างเสร็จในครัวท านู้นนี้นั้นไปเวลาก็
ผ่านไปจนมืดค ่าแล้ว และหน้าที่ของฝ่ ายอาหารอย่างผมก็มีหน้าที่ที่ต้องท าอาหารให้กรรมการที่มาเตรียม
ค่ายกิน ก็ได้ชวนน้องปามและน้องในฝ่ ายอีกคนไปเตรียมซึ่งลักษณะโรงอาหารครับจะเป็นอาหารยาวและมี
กรงรอบเพื่อป้องกันสิ่งของ และมีโต๊ะทานข้าวที่รองรับเด็กได้หลายคน และมีห้องครัวที่คอยเก็บของ ข้างๆ
โรงอาหารที่ไม่ได้ติดถนน จะมีก่อไผ่ใหญ่มากห่างออกไป 200-300 เมตร เห็นจะได้ซึ่งจะเป็นภูเขาเป็นป่ า
ซึ่งในระหว่างที่ผมท าอาหารอยู่ข้างโรงอาหารที่ไม่ได้ติดถนนนั้น สายตาผมก็ไม่รู้มีอะไรดนใจให้มองไปที่ก่อ
ไผ่ใหญ่ก่อนั้นซึ่งมองไปก็มืดมากมืดจนแทบไม่มีใครก็ไปไหนคนเดียว ผมก็มองเห็นเงารูปร่างของคนแต่ไม่
ชัดมากนักผมก็จ้องอยู่ซักพักเพื่อความแน่ใจ แต่ในตอนนั้นทั้งความวุ่นวายของการท าอาหารและกรรมการ
ทุกคนมารอกินข้าว ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรคิดว่าตัวเองเหนื่อยรถเมาแดดและเดินทางมาไกลแหละก็ไม่ได้คิด
อะไร จนเวลาผ่านไปถึงเวลา 23.00 ทั้งกรรมการทุกคนก็กินข้าวอาบน ้าเรียบร้อยเตรียมนอนแต่ก็เหลือ
บางส่วนที่ยังเตรียมการไม่เสร็จ ผมและน้องๆในฝ่ ายก็เตรียมทุกอย่างเสร็จหมดแล้วผมเละบอกน้องปามว่า
“เสร็จหมดแล้วเราป่ ะ พากันไปอาบน ้าก่อนพี่เดะขอเก็บของก่อน” ผมก็ได้บอกน้องไปท าภารกิจส่วนตัว พอ
เสร็จจากห้องครัว นั้นก็เป็นเวลาได้ที่เลยครับเหนื่อยๆมามันต้องแก้ผมเลยได้ชวนไอ้แทนเพื่อนผมพี่อั้นพี่ใน
ชมรม พากันนั่งดื่มที่หน้าอาคารนอนที่มีศาลาอยู่หน้าอาหารและมีสนามบอลด้านหน้าแต่นี้คือสิ่งที่ไม่
เหมาะสมเท่าไหร่นะครับ แทนมันก็บอกว่า “กินได้หรอ เดี๋ยวเขาก็ว่าเอา” ผมเลยบอกว่า “มันไม่ใช้วันค่าย
นิ” หลังจากนั้นก็จัดเลยครับนั่งกินนั่งพูดกันนู้นนี้นั่น แต่มีเรื่องที่พีคก็คือแทนมันบอกว่า “จะว่าไปตอน
กลางคืนที่เนี้ยหน้ากลัววะ ตอนเช้าอีกแบบ กลางคืนอีกแบบเลยวะ” และพี่อั้นก็สวนขึ้นมาว่า “อย่าลืมสิ
ที่นี้หมู่บ้านภูไทนะ เขานับถือผีเป็นส่วนมาก ไม่สังเกตตอนมาส ารวจหรอว่าในหมู่บ้านพระมีรูปเดียว จะท า
อะไรจะเข้าหมู่บ้านก็อย่าท าอะไรผิดประเพณีละ” ทางผมก็ไม่ได้คิดก็ตอบไปแค่ว่า “ตามนั้นละท าอะไรก็
คิด และระวังด้วยเพราะต่างที่ต่างถิ่น” กินกันไปจนดึกจะตี 1 ถ้าพูดถึงเรื่องเครื่องดื่มต้องมีการปล่อย
เครื่องดื่มใช่ไหมละครับ ผมก็ขี้เกียจที่นี้เลยเดินไปสนามบอลห่างจากศาลาไม่ไกล ยกมือไหว้และปล่อยแต่
ในจังหวะนั้นสายตาผมก็มองไปข้างหน้าซึ่งสนามบอลนี้ข้างหน้าจะติดก าแพงรร.1ด้าน ด้านขวา จะติดกับ
ป่ าต้นยางที่มีหมู่บ้าน ด้านซ้ายจะเป็นที่พวกผมนั่งกิน ด้านหลังจะเป็นอีกอาคาร (ขออภัยครับ มีทั้งหมด 4
อาหาร เป็นอาหารประถมที่ถัดจากโรงอาหาร) สายตาผมก็มองไปทางป่ าต้นยาง เห็นเงาคนนับสิบมองมาที่
พวกผมนั่งกินอยู่ในตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไรคิดว่าคงดื่มมากตาเบลอ พอเสร็จผมก็ยกมือไหว้อีกทีก่อน
กลับมานั่งกินต่อจนเวลาตี 2 ก็ได้พากันแยกย้ายอาบน ้านอน
วันที่ 2 ของการเตรียมค่ายโดยปกติแล้วเนี่ยตลอดการไปค่ายของผมและการอยู่ฝ่ ายอาหารผมจะตื่น
เช้าตลอดนั้นคือตี 4 เป็นวันที่ตื่นมาแล้วผมรุ้สึกปวดหัวมากเพราะตื่นเช้าไปหน่อย เพราะอจ.ที่รร.เขามา
ปลุกและตะโกนว่า “6 โมงเช้าแล้วท าไมไม่พากันปิดไฟ” ผมเลยสะดุ้งตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหัวเพราะ
ดื่มหนักไปหน่อย และได้ไปปลุกน้องอีก 2 คนเพื่อท าอาหารเช้าในวันนี้ก็เหมือนจะวันปกติอีกวันผมก็พา
น้องๆเตรียมครัวเช็คของออกไปซื้อของเสร็จก็พากันพักหรือไปช่วยฝ่ ายอื่นๆบ้าง โดยในตอนนั้นผมก็ได้ไป
ช่วยแทนกับพี่อั้นเพื่อกางที่ตากผ้าของผช.และผญ. คือที่ตากผ้าเนี่ยจะอยู่หลังอาคารอนุบาลข้างหลังก็
อย่างที่บอกครับก่อไผและป่ าเขา พวกผมทั้ง 3 คนในตอนนั้นก็ช่วยกันติดไฟเพื่อเป็นแสงสว่างให้แกที่ตาก
ผ้าเผื่อมีคนมาตากผ้าตอนกลางคืน และที่ตากพาพวกผมก็จะท าไว้ยาวมากเยอะมากเพื่อรองรับคนเกือบ
100 โดยพวกผมก็จะขึงสแลนสีฟ้าที่จะเป็นที่บังตากผ้าของผญ. ซึ่งผ้าเนี่ยในตอนกลางคืนพอโดนแสงไฟจะ
เห็นเป็นเงาได้ง่ายมาก ในตอนนั้นเองผมก็พูดขึ้นมาว่า “ตอนคืนถ้ามาตากผ้า หน้าจะหลนหน้ากลัวเนาะ
ดูดิแทนข้างหลัง
วะ แต่ท าไว้เถอะดีกว่าไม่มีให้เขา” ซึ่งผมลืมบอกไปว่าข้างๆที่พวกผมนอนจะเป็นบ้านพักครูร้าง ต่อจากนั้น
พวกผมทั้ง 3 ก็พากันท าจนเสร็จและไปช่วยฝ่ ายอื่นท านู้นนี้นั้น ก็เหมือนครับตกเย็นมาหน้าที่พ่อครัวเช่นเดิม
ก็กรรมการเกือบทั้งหมด 20 กว่าคนก็มานั่งรอนั่งช่วยกันท ากับข้าวจนพากันกินข้าวอาบน ้าเสร็จ ก็พากันนั่ง
ประชมุ วางแผนเพราะพรุง่ นีก้็วนั คา่ ยละ พอประชมุ เสรจ็ ก็พากนั มาไหวส่ิงศกัดสิ์ ิทธิ์พระพทุ ธท่ีอยขู่า้งๆ
อาคารนอนพวกผมก็เสร็จทุกอย่างก็เกือบ 4 ทุ่มโดยประมาณ ผมเลยได้ไปชวนน้องปาม “ปามป่ ะเรียกน้อง
อีกคนมาด้วย เดะเราไปเช็คของท าความสะอาดครัวอีกรอบกัน” ก็พากันไป 3 คนฝ่ ายเราจนท าอะไรเสร็จ
ผมก็บอก “น้องไปอาบน ้าเลยนะ ขอเครียอีกนิดหน่อยก่อน” จนเวลาผ่านไปตี 2 อีกวันผมก็ปิดไฟ ปิดครัว
ปิดทุกอย่างให้แน่ใจ ก็เดินมาและเหตุการณ์ต่อจากนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้ไม่ผิดตอนท าที่ตากผ้า ผมมองไปที่
ตากผ้าหลังอาคารซึ่งตอนนั้นก็เปิดไฟอยู่ บังเอิญสายตามองไปเห็นเงารูปร่างเหมือนผญ.ก าลังเดินผ่านที่
ตากผ้าไปช้าๆ ซึ่งไอ้ตัวผมก็ยืนดูเพื่อความแน่ใจว่าจะเป็นใครพอยืนดูซักพักไม่มีใคร ตอนนั้นก็ตกใจมากแต่
ด้วยความเหนื่อยและไม่คิดอะไรผมเลยไปอาบน ้านอนปกติ
วันที่ 3 วันค่ายเหมือนเดิมเลยครับเวลาตี 4 ผมก็ตื่นเหมือนเดิมปลุกน้องในฝ่ ายเพื่อเตรียมตัว
ท าอาหารให้กรรมการและลูกค่ายที่จะมาถึง ซึ่งในวันนี้เหตุการณ์ก็จะลันกิจกรรมตั้งแต่เช้ารับลูกค่าย
นันทนาแบ่งลูกค่ายลงแต่ละฝ่ ายท านู้นนี้นั้นจนตกเย็นปกติ ก็เหมือนเดิมครับอยู่คนเดียวในโรงอาหารจนตี
2 เช่นเดิมก็เครียของเช็คของท าความสะอาดคนเดียวไปเพราะผมร