ศึกนายก อบจ."ทักษิณ"ชนะแบบขาลง บารมี "ภูมิใจไทย" สูงกว่า!
https://www.pptvhd36.com/news/การเมือง/241926
นักวิชาการอิสระ มองศึกนายก อบจ."ทักษิณ" ชนะแบบขาลง หลายพื้นที่ยังเจาะไม่เข้า ชี้บารมีพรรคภูมิใจไทยสูงกว่า
วันที่ 2 ก.พ.2568 นาย
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ วิเคราะห์การเลือกตั้ง นายก อบจ.เมื่อวานนี้ โดยมองว่า แม้พรรคเพื่อไทยจะชนะหลายจังหวัด แต่ ก็เป็นการชนะแบบขาลง เพราะว่าในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ ที่นาย
ทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงลงมือที่ไปด้วยตัวเอง เช่น ในจังหวัดเชียงราย ศรีสะเกษก็ไม่สามารถทำให้เกิดชัยชนะได้ และเป็นพื้นที่ที่นายทักษิณประกาศว่าหากไม่ชนะจะเอาปี้ปคลุมหัว
รวมไปถึงอีกถึง7พื้นที่ ที่ชนกับพรรคภูมิใจไทยโดยตรง เพื่อไทย แพ้ถึง 4 ชนะเพียงแค่ 3 จังหวัด เท่านั้น หากมองการต่อสู้ระหว่างสองพรรคนี้ ถือว่าพรรคเพื่อไทยแพ้เกินคาด แม้ตัวเลขผลลัพธ์ อบจ. ภาพรวมจะออกมาเป็นเช่นนี้ แต่แสดงให้เห็นถึงความถดถอย เพราะนาย
ทักษิณต้องลงพื้นที่เองแต่นาย
อนุทิน ชาญวีรกุล และนาย
เนวิน ชิดชอบ ในฐานะแกนนำพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องลงพื้นที่ด้วยตัวเอง ไม่ต้องทำอะไรแบบนี้เลย แต่ได้ อบจ. หลายจังหวัด ตนจึงมองว่าพรรคเพื่อไทยชนะแบบถดถอย ส่วนพรรคภูมิใจไทย แม้ยังไม่ใช่ที่หนึ่ง แต่มี สัญญาณและน่าจับตามองต่อจากนี้
ส่วนตัวคิดว่าการ คัมแบ็ค ของนาย
ทักษิณณวันนี้ หากดูจากผลการเลือกตั้งนายก อบจ. ก็บอกว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของพรรคเพื่อไทย แต่ตัวของนาย
ทักษิณก็ไม่ได้มีอะไรการันตีว่าจะทำให้พรรคเพื่อไทยจะชนะอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้
อย่างพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ผู้สมัครนายกอบจของพรรคประชาชน ก็ถือว่าเป็นคนหน้าใหม่และไม่เคยทำงานแบบแจกซอง แต่คะแนนขับไล่บี้ และบางช่วงก็นำผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย นั่นหมายความว่าบารมีของนายทักษิณลดลงจริง และการเลือกตั้งครั้งหน้าก็น่าจะลดลงไปอีก
“
คุณทักษิณก็ประกาศว่าแกมาพรรคเพื่อไทย จะต้องชนะหมดพื้นที่ซึ่งพรรคเพื่อไทยคาดหวังเกือบทั้งหมดด้วย เพราะฉะนั้นถ้ามองว่าส่ง 16 ชนะ10 ก็น่าพอใจ แต่ว่าเพื่อไทยหรือมาตรฐานของเพื่อไทยที่ผ่านมาในเรื่องของการเลือกตั้ง อบจ. มันมากกว่านั้น เวลาเรามองการเมืองเรามองได้หลายแบบ มองเรื่องตัวผลลัพธ์ที่ได้ก็ได้ มองในเชิงพลวัตก็ได้ ว่าการชนะแต่ละคน เป็นชัยชนะที่มีความเคลื่อนไหวที่มันลึกขึ้น หรือลงอย่างไร ผมคิดว่าถ้ามองที่ตัวเลข ก็ถือว่าพรรคเพื่อไทยส่ง16ชนะ10 ก็เป็นตัวเลขที่น่าพอใจ แต่ว่ารอบนี้มันมีคนทักษิณมาไงครับ ส่วนการเมืองตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องของการเลือก อบจ. อบจ. ไม่ใช่เรื่องใหญ่ของประเทศอยู่แล้ว โจทย์ก็คือว่าผลการเลือกตั้ง อบจ. มันจะเชื่อมโยงไปสู่การเลือกตั้ง สส. และรัฐบาลในอนาคตอย่างไร โจทย์นี้คือโจทย์ที่น่าเป็นห่วง เพราะฉะนั้น ถ้าเพื่อไทยไปตั้งโจทย์ผิดคิดว่าการส่ง อบจ.ผมว่าโจทย์นี้ผิดส่ง16ได้มา10 ชัยชนะ ผมว่าโจทย์นี้ผิดโจทย์อบจ. ไม่ใช่โจทย์ใหญ่ของพรรคเพื่อไทย แต่โจทย์ใหญ่คือ จะชนะการเลือกตั้งปี 70 ได้อย่างไร”
อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่านาย
ทักษิณนั้นได้ทำเต็มที่แล้ว ในความสามารถของคนอายุประมาณนาย
ทักษิณ คงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ดังนั้นตนจึงเชื่อว่าอาวุธของพรรคเพื่อไทย ณ ตอนนี้น่าจะหมดแล้ว
ส่วนปัจจัยต่อจากนี้ที่ต้องดูกันต่อไป คือนาย
ทักษิณ เล่นบทบาทไหนต่อไป ในการเจรจาให้นักการเมืองกลุ่มบ้านใหญ่ กลับมาอยู่พรรคเพื่อไทย โดยนาย
ศิโรตม์ มองว่า ต่อจากนี้ไป บ้านใหญ่ต่างๆ น่าจะไหลไปพรรคภูมิใจไทยมากขึ้น แต่สำหรับนาย
ทักษิณ จะดึงบ้านใหญ่เหล่านี้ กลับไปอยู่กับเพื่อไทย ได้หรือไม่ เป็นโจทย์สำคัญ ที่จะส่งผลต่อการเลือกตั้ง สส.ปี 2570 มากกว่า
“
การเลือกตั้ง 70 ผมคิดว่าคุณอนุทิน คุณเนวิน ก็จะเป็นเป้าหมายที่กลุ่มบ้านใหญ่จำนวนมากเบนเข็มไปหา พรรคเพื่อไทยเนี่ยก็จะต้องโชว์ให้กลุ่มบ้านใหญ่ เห็นว่าการอยู่กับพรรคเพื่อไทย จะทำให้เขาได้ประโยชน์มากกว่าอยู่กับพรรคภูมิใจไทยอย่างไร โจทย์นี้เป็นโจทย์ที่พรรคเพื่อไทยจะต้องอธิบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบ้านใหญ่ที่ตอนนี้ ในการเลือกตั้ง อบจ. ไม่ได้ลงในนามพรรคอย่างเช่นพื้นที่ชลบุรี พื้นที่อย่างสงขลา พื้นที่อย่างพัทลุง พื้นที่อย่างสมุทรปราการ พื้นที่อย่างนครปฐม เหล่านี้เนี่ยนะครับ ผมคิดว่าคุณทักษิณคงจะต้องเร่งหาทางเจรจาให้คนเหล่านี้ มาเป็นสนธิกำลังให้กับพรรคเพื่อไทยมากขึ้น เกมพรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทยตอนนี้คือเกมดึงบ้านใหญ่ค่อนข้างชัดเจนแล้ว เพราะฉะนั้นทิศทางการเมืองก็จะเป็นเรื่องของการสองพรรคฝ่ายรัฐบาล แย่งกัน ดึงบ้านใหญ่ให้ไปอยู่สังกัดของตัวเอง”
ส่วนการต่อสู้กับพรรคประชาชน ในแง่ภาพกว้างเหมือนจะสู้กันในหลายจังหวัดแต่จริงๆพื้นที่ แต่พื้นที่ที่ชนกันจริงๆ มีเพียงแค ่2 จังหวัดเท่านั้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ แพ้ จ.เชียงราย จ.ลำพูน
ในการเลือกตั้ง ปี 2570 นี่จึงน่าสนใจ เพราะหลายพื้นที่ พรรคประชาชน ซึ่งเป็นคนหน้าใหม่ ไม่ได้เป็นบ้านใหญ่ ไม่มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเป็นฐานเสียง แต่กลับได้คะแนนเป็นรองเพื่อไทย แค่ไม่กี่หมื่นคะแนน แถมเลือกตั้งครั้งนี้ ยังไม่มี เลือกตั้งล่วงหน้า หรือ เลือกตั้งนอกเขต และยังเลือกตั้งวันเสาร์ ที่ทำให้คนที่อยู่จังหวัดอื่นไม่ได้กลับเข้ามาเลือก โดยเฉพาะนิวโหวตเตอร์ อย่ามองว่า การเลือกตั้ง นายก อบจ. กับการเลือกตั้ง สส.จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ดังนั้น แม้ว่าพรรคประชาชนจะชนะแค่จังหวัดเดียวครั้งนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ในเวทีใหญ่ เลือกตั้ง สส.ปี 2570 จะแพ้ราบคาบ และ คำว่า "
ส้มเกลี้ยง" ตนเชื่อว่า ไม่มีแน่นอน
‘สุดารัตน์’ รับร้องเรียนผู้ค้าจตุจักร จี้ กทม. ทบทวนยกเลิกสิทธิแผงค้า 529 ราย หวั่นเอื้อเอกชนรายใหญ่
https://www.matichon.co.th/politics/news_5030853
สุดารัตน์นำทีมไทยสร้างไทยรับร้องเรียนผู้ค้าจตุจักร จี้ กทม. ทบทวนยกเลิกสิทธิแผงค้า 529 ราย หวั่นเอื้อเอกชนรายใหญ่
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร คุณหญิง
สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย พร้อมด้วยทีมไทยสร้างไทย กรุงเทพมหานคร ทีมกฎหมาย และทีมโฆษกพรรค ลงพื้นที่สวนจตุจักร เพื่อรับฟังปัญหาพร้อมรับหนังสือและหลักฐานการร้องเรียนจากผู้ค้าตลาดนัดสวนจตุจักร ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยเฉพาะการยกเลิกสิทธิ์แผงค้า 529 ราย โดยไม่มีเหตุผลชัดเจนไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า รวมถึงการเรียกเก็บค่าปรับในอัตราที่สูงเกินจริง และการจัดการพื้นที่ที่ไม่เป็นธรรม
นาย
มานะ จิตบานชื่น ประธานสหกรณ์บริการผู้ค้าตลาดนัดจตุจักร ในฐานะตัวแทนผู้ค้าตลาดนัดสวนจตุจักรร้องเรียนว่า เดิมทีตลาดแห่งนี้ถูกจัดสรรให้เป็นพื้นที่ค้าขายสำหรับพ่อค้าแม่ค้ารายเล็ก ภายใต้มติคณะรัฐมนตรี ปี2561 ซึ่งให้สิทธิ์ในการเช่าพื้นที่ในราคาที่เหมาะสม แต่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา กทม. กลับประกาศยกเลิกสิทธิ์ผู้ค้าจำนวน 529 ราย พร้อมเปิดให้เอกชนเข้ามาประมูลพื้นที่แทน และจากข้อมูลยังพบอีกว่าผู้ที่เข้าประมูลเป็นเอกชนรายใหญ่เพียงรายเดียว
เช่นเดียวกับนาง
นฤมล แซ่หุ้น ประธานที่ปรึกษา สหกรณ์บริการผู้ค้าตลาดนัดจตุจักร ตัวแทนผู้ค้ายื่นหนังสือร้องเรียนด้วยว่ามีการเก็บค่าปรับที่ผู้ค้าจ่ายล่าช้าในอัตราที่สูงถึง 1,800% ต่อปี เสมือนเป็นการรีดไถ และเป็นภาระที่หนักเกินไปสำหรับผู้ค้ารายย่อย รวมถึงการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าขายเกินพื้นที่ ค่าขายริมฟุตบาท และค่าประกัน โดยไม่มีความชัดเจนและไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าทุกเดือน
ในขณะที่ยื่นหนังสือ ผู้ค้าส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ยุคของผู้ว่า
ชัชชาติ เป็นยุคที่หนักหนาและยากลำบากที่สุด ตั้งแต่ขายของในตลาดแห่งนี้มากว่า 40 ปี จึงอยากให้คุณหญิง
สุดารัตน์ และพรรคไทยสร้างไทย เป็นตัวกลางในการช่วยเหลือประชาชน
คุณหญิง
สุดารัตน์ระบุว่า การดำเนินการของ กทม. ในกรณีนี้ส่งผลกระทบต่อผู้ค้านับพันชีวิต ซึ่งเป็นกลุ่มคนตัวเล็กที่ต้องดิ้นรนทำมาหากิน ในฐานะที่ร่วมทำงานกับพลตรีจำลองศรีเมืองอดีตผู้ว่า และท่านเป็นผู้ก่อตั้งตลาดสวนจตุจักร ซึ่งวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งนั้นก็เพื่อเป็นที่ทำมาหากินให้กับคนตัวเล็ก การยกเลิกสิทธิ์ พ่อค้าแม่ขายคนตัวเล็ก และถ้าเป็นจริงตามข่าวว่าจะไปยกพื้นที่ให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่ ถือว่าเป็นธรรม เป็นการละเมิดสิทธิ์ของประชาชน พร้อมตั้งคำถามว่า เงินค่าเช่าที่ผู้ค้าจ่ายมาตลอดหลายปีนั้นหายไปไหน เพราะจากการตรวจสอบจากหลักฐานที่ผู้ค้ามอบให้พบว่า สำนักตลาดอ้างว่าให้ผู้ค้าขายขายฟรี ทั้งที่ความเป็นจริงผู้ค้า จ่ายเงินค่าเช่าทุกเดือน ชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติและส่อว่าอาจมีการทุจริตหรือไม่
ดังนั้น พรรคไทยสร้างไทย จึงได้มอบหมายให้ทีม ปราบทุจริต กทม.และฝ่ายกฎหมายของพรรค ไปเร่งดำเนินการใน3 แนวทางเพื่อช่วยเหลือผู้ค้าสวนจตุจักร ได้แก่
1. ขอเข้าพบผู้ว่า กทม. เพื่อให้ช่วยตรวจสอบการบริหารจัดการตลาดนัดสวนจตุจักร และทบทวนมาตรการที่ส่งผลกระทบต่อผู้ค้า
2. ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. และศาล เพื่อให้มีการตรวจสอบความไม่โปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องบางรายของ กทม.
3. รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาว เพื่อให้ตลาดนัดสวนจตุจักรกลับมาเป็นพื้นที่ค้าขายสำหรับประชาชนรายย่อย คนตัวเล็กตามเจตนารมณ์เดิม
คุณหญิง
สุดารัตน์ ย้ำว่า “
ตลาดนัดสวนจตุจักรเป็นพื้นที่ค้าขายสำคัญของคนตัวเล็ก ที่ไม่ควรถูกแปรสภาพไปเป็นแหล่งทำกำไรของกลุ่มทุนโดยผลักภาระให้ประชาชน”
พรรคไทยสร้างไทย จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และคาดว่าจะสรุปข้อมูลพร้อมยื่นเรื่องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
อ่วม! ฝุ่น PM2.5 ท่วม กทม. พุ่งสูง 66 พื้นที่
https://www.innnews.co.th/news/criminal/news_836201/
อ่วม! ฝุ่น PM2.5 ท่วม กทม. พุ่งสูง 66 พื้นที่ บึงกุ่ม หนองจอก ลาดกระบัง หนาแน่น เตือน 3-9 ก.พ. ฝุ่นหนาแน่น
ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานครขอรายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ของสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรุงเทพมหานคร ประจำวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 07.00 น. ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5)
ตรวจวัดได้ 34.5-63.2 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) พบว่าเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 66 พื้นที่ คือ
1. เขตบึงกุ่ม ภายในสำนักงานเขตบึงกุ่ม : มีค่าเท่ากับ 63.2 มคก./ลบ.ม.
2. เขตหนองจอก บริเวณหน้าสำนักงานเขตหนองจอก : มีค่าเท่ากับ 62.5 มคก./ลบ.ม.
3. เขตลาดกระบัง ด้านหน้าโรงพยาบาลนคราภิบาล : มีค่าเท่ากับ 61.7 มคก./ลบ.ม.
ข้อแนะนำสุขภาพ คุณภาพอากาศระดับสีส้ม: เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ประชาชนทั่วไป :ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคารจำกัดระยะเวลาในการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก
ควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา
JJNY : "ทักษิณ"ชนะแบบขาลง│‘สุดารัตน์’รับร้องเรียนผู้ค้าจตุจักร│อ่วม! ฝุ่น PM2.5 ท่วม กทม.│รมต.ต่างประเทศสหรัฐเยือนปานามา
https://www.pptvhd36.com/news/การเมือง/241926
นักวิชาการอิสระ มองศึกนายก อบจ."ทักษิณ" ชนะแบบขาลง หลายพื้นที่ยังเจาะไม่เข้า ชี้บารมีพรรคภูมิใจไทยสูงกว่า
วันที่ 2 ก.พ.2568 นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ วิเคราะห์การเลือกตั้ง นายก อบจ.เมื่อวานนี้ โดยมองว่า แม้พรรคเพื่อไทยจะชนะหลายจังหวัด แต่ ก็เป็นการชนะแบบขาลง เพราะว่าในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ ที่นายทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงลงมือที่ไปด้วยตัวเอง เช่น ในจังหวัดเชียงราย ศรีสะเกษก็ไม่สามารถทำให้เกิดชัยชนะได้ และเป็นพื้นที่ที่นายทักษิณประกาศว่าหากไม่ชนะจะเอาปี้ปคลุมหัว
รวมไปถึงอีกถึง7พื้นที่ ที่ชนกับพรรคภูมิใจไทยโดยตรง เพื่อไทย แพ้ถึง 4 ชนะเพียงแค่ 3 จังหวัด เท่านั้น หากมองการต่อสู้ระหว่างสองพรรคนี้ ถือว่าพรรคเพื่อไทยแพ้เกินคาด แม้ตัวเลขผลลัพธ์ อบจ. ภาพรวมจะออกมาเป็นเช่นนี้ แต่แสดงให้เห็นถึงความถดถอย เพราะนายทักษิณต้องลงพื้นที่เองแต่นายอนุทิน ชาญวีรกุล และนาย เนวิน ชิดชอบ ในฐานะแกนนำพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องลงพื้นที่ด้วยตัวเอง ไม่ต้องทำอะไรแบบนี้เลย แต่ได้ อบจ. หลายจังหวัด ตนจึงมองว่าพรรคเพื่อไทยชนะแบบถดถอย ส่วนพรรคภูมิใจไทย แม้ยังไม่ใช่ที่หนึ่ง แต่มี สัญญาณและน่าจับตามองต่อจากนี้
ส่วนตัวคิดว่าการ คัมแบ็ค ของนายทักษิณณวันนี้ หากดูจากผลการเลือกตั้งนายก อบจ. ก็บอกว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของพรรคเพื่อไทย แต่ตัวของนายทักษิณก็ไม่ได้มีอะไรการันตีว่าจะทำให้พรรคเพื่อไทยจะชนะอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้
อย่างพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ผู้สมัครนายกอบจของพรรคประชาชน ก็ถือว่าเป็นคนหน้าใหม่และไม่เคยทำงานแบบแจกซอง แต่คะแนนขับไล่บี้ และบางช่วงก็นำผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย นั่นหมายความว่าบารมีของนายทักษิณลดลงจริง และการเลือกตั้งครั้งหน้าก็น่าจะลดลงไปอีก
“คุณทักษิณก็ประกาศว่าแกมาพรรคเพื่อไทย จะต้องชนะหมดพื้นที่ซึ่งพรรคเพื่อไทยคาดหวังเกือบทั้งหมดด้วย เพราะฉะนั้นถ้ามองว่าส่ง 16 ชนะ10 ก็น่าพอใจ แต่ว่าเพื่อไทยหรือมาตรฐานของเพื่อไทยที่ผ่านมาในเรื่องของการเลือกตั้ง อบจ. มันมากกว่านั้น เวลาเรามองการเมืองเรามองได้หลายแบบ มองเรื่องตัวผลลัพธ์ที่ได้ก็ได้ มองในเชิงพลวัตก็ได้ ว่าการชนะแต่ละคน เป็นชัยชนะที่มีความเคลื่อนไหวที่มันลึกขึ้น หรือลงอย่างไร ผมคิดว่าถ้ามองที่ตัวเลข ก็ถือว่าพรรคเพื่อไทยส่ง16ชนะ10 ก็เป็นตัวเลขที่น่าพอใจ แต่ว่ารอบนี้มันมีคนทักษิณมาไงครับ ส่วนการเมืองตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องของการเลือก อบจ. อบจ. ไม่ใช่เรื่องใหญ่ของประเทศอยู่แล้ว โจทย์ก็คือว่าผลการเลือกตั้ง อบจ. มันจะเชื่อมโยงไปสู่การเลือกตั้ง สส. และรัฐบาลในอนาคตอย่างไร โจทย์นี้คือโจทย์ที่น่าเป็นห่วง เพราะฉะนั้น ถ้าเพื่อไทยไปตั้งโจทย์ผิดคิดว่าการส่ง อบจ.ผมว่าโจทย์นี้ผิดส่ง16ได้มา10 ชัยชนะ ผมว่าโจทย์นี้ผิดโจทย์อบจ. ไม่ใช่โจทย์ใหญ่ของพรรคเพื่อไทย แต่โจทย์ใหญ่คือ จะชนะการเลือกตั้งปี 70 ได้อย่างไร”
อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่านายทักษิณนั้นได้ทำเต็มที่แล้ว ในความสามารถของคนอายุประมาณนายทักษิณ คงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ดังนั้นตนจึงเชื่อว่าอาวุธของพรรคเพื่อไทย ณ ตอนนี้น่าจะหมดแล้ว
ส่วนปัจจัยต่อจากนี้ที่ต้องดูกันต่อไป คือนายทักษิณ เล่นบทบาทไหนต่อไป ในการเจรจาให้นักการเมืองกลุ่มบ้านใหญ่ กลับมาอยู่พรรคเพื่อไทย โดยนายศิโรตม์ มองว่า ต่อจากนี้ไป บ้านใหญ่ต่างๆ น่าจะไหลไปพรรคภูมิใจไทยมากขึ้น แต่สำหรับนายทักษิณ จะดึงบ้านใหญ่เหล่านี้ กลับไปอยู่กับเพื่อไทย ได้หรือไม่ เป็นโจทย์สำคัญ ที่จะส่งผลต่อการเลือกตั้ง สส.ปี 2570 มากกว่า
“การเลือกตั้ง 70 ผมคิดว่าคุณอนุทิน คุณเนวิน ก็จะเป็นเป้าหมายที่กลุ่มบ้านใหญ่จำนวนมากเบนเข็มไปหา พรรคเพื่อไทยเนี่ยก็จะต้องโชว์ให้กลุ่มบ้านใหญ่ เห็นว่าการอยู่กับพรรคเพื่อไทย จะทำให้เขาได้ประโยชน์มากกว่าอยู่กับพรรคภูมิใจไทยอย่างไร โจทย์นี้เป็นโจทย์ที่พรรคเพื่อไทยจะต้องอธิบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบ้านใหญ่ที่ตอนนี้ ในการเลือกตั้ง อบจ. ไม่ได้ลงในนามพรรคอย่างเช่นพื้นที่ชลบุรี พื้นที่อย่างสงขลา พื้นที่อย่างพัทลุง พื้นที่อย่างสมุทรปราการ พื้นที่อย่างนครปฐม เหล่านี้เนี่ยนะครับ ผมคิดว่าคุณทักษิณคงจะต้องเร่งหาทางเจรจาให้คนเหล่านี้ มาเป็นสนธิกำลังให้กับพรรคเพื่อไทยมากขึ้น เกมพรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทยตอนนี้คือเกมดึงบ้านใหญ่ค่อนข้างชัดเจนแล้ว เพราะฉะนั้นทิศทางการเมืองก็จะเป็นเรื่องของการสองพรรคฝ่ายรัฐบาล แย่งกัน ดึงบ้านใหญ่ให้ไปอยู่สังกัดของตัวเอง”
ส่วนการต่อสู้กับพรรคประชาชน ในแง่ภาพกว้างเหมือนจะสู้กันในหลายจังหวัดแต่จริงๆพื้นที่ แต่พื้นที่ที่ชนกันจริงๆ มีเพียงแค ่2 จังหวัดเท่านั้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ แพ้ จ.เชียงราย จ.ลำพูน
ในการเลือกตั้ง ปี 2570 นี่จึงน่าสนใจ เพราะหลายพื้นที่ พรรคประชาชน ซึ่งเป็นคนหน้าใหม่ ไม่ได้เป็นบ้านใหญ่ ไม่มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเป็นฐานเสียง แต่กลับได้คะแนนเป็นรองเพื่อไทย แค่ไม่กี่หมื่นคะแนน แถมเลือกตั้งครั้งนี้ ยังไม่มี เลือกตั้งล่วงหน้า หรือ เลือกตั้งนอกเขต และยังเลือกตั้งวันเสาร์ ที่ทำให้คนที่อยู่จังหวัดอื่นไม่ได้กลับเข้ามาเลือก โดยเฉพาะนิวโหวตเตอร์ อย่ามองว่า การเลือกตั้ง นายก อบจ. กับการเลือกตั้ง สส.จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ดังนั้น แม้ว่าพรรคประชาชนจะชนะแค่จังหวัดเดียวครั้งนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ในเวทีใหญ่ เลือกตั้ง สส.ปี 2570 จะแพ้ราบคาบ และ คำว่า "ส้มเกลี้ยง" ตนเชื่อว่า ไม่มีแน่นอน
‘สุดารัตน์’ รับร้องเรียนผู้ค้าจตุจักร จี้ กทม. ทบทวนยกเลิกสิทธิแผงค้า 529 ราย หวั่นเอื้อเอกชนรายใหญ่
https://www.matichon.co.th/politics/news_5030853
สุดารัตน์นำทีมไทยสร้างไทยรับร้องเรียนผู้ค้าจตุจักร จี้ กทม. ทบทวนยกเลิกสิทธิแผงค้า 529 ราย หวั่นเอื้อเอกชนรายใหญ่
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย พร้อมด้วยทีมไทยสร้างไทย กรุงเทพมหานคร ทีมกฎหมาย และทีมโฆษกพรรค ลงพื้นที่สวนจตุจักร เพื่อรับฟังปัญหาพร้อมรับหนังสือและหลักฐานการร้องเรียนจากผู้ค้าตลาดนัดสวนจตุจักร ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยเฉพาะการยกเลิกสิทธิ์แผงค้า 529 ราย โดยไม่มีเหตุผลชัดเจนไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า รวมถึงการเรียกเก็บค่าปรับในอัตราที่สูงเกินจริง และการจัดการพื้นที่ที่ไม่เป็นธรรม
นายมานะ จิตบานชื่น ประธานสหกรณ์บริการผู้ค้าตลาดนัดจตุจักร ในฐานะตัวแทนผู้ค้าตลาดนัดสวนจตุจักรร้องเรียนว่า เดิมทีตลาดแห่งนี้ถูกจัดสรรให้เป็นพื้นที่ค้าขายสำหรับพ่อค้าแม่ค้ารายเล็ก ภายใต้มติคณะรัฐมนตรี ปี2561 ซึ่งให้สิทธิ์ในการเช่าพื้นที่ในราคาที่เหมาะสม แต่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา กทม. กลับประกาศยกเลิกสิทธิ์ผู้ค้าจำนวน 529 ราย พร้อมเปิดให้เอกชนเข้ามาประมูลพื้นที่แทน และจากข้อมูลยังพบอีกว่าผู้ที่เข้าประมูลเป็นเอกชนรายใหญ่เพียงรายเดียว
เช่นเดียวกับนางนฤมล แซ่หุ้น ประธานที่ปรึกษา สหกรณ์บริการผู้ค้าตลาดนัดจตุจักร ตัวแทนผู้ค้ายื่นหนังสือร้องเรียนด้วยว่ามีการเก็บค่าปรับที่ผู้ค้าจ่ายล่าช้าในอัตราที่สูงถึง 1,800% ต่อปี เสมือนเป็นการรีดไถ และเป็นภาระที่หนักเกินไปสำหรับผู้ค้ารายย่อย รวมถึงการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่าขายเกินพื้นที่ ค่าขายริมฟุตบาท และค่าประกัน โดยไม่มีความชัดเจนและไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าทุกเดือน
ในขณะที่ยื่นหนังสือ ผู้ค้าส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ยุคของผู้ว่าชัชชาติ เป็นยุคที่หนักหนาและยากลำบากที่สุด ตั้งแต่ขายของในตลาดแห่งนี้มากว่า 40 ปี จึงอยากให้คุณหญิงสุดารัตน์ และพรรคไทยสร้างไทย เป็นตัวกลางในการช่วยเหลือประชาชน
คุณหญิงสุดารัตน์ระบุว่า การดำเนินการของ กทม. ในกรณีนี้ส่งผลกระทบต่อผู้ค้านับพันชีวิต ซึ่งเป็นกลุ่มคนตัวเล็กที่ต้องดิ้นรนทำมาหากิน ในฐานะที่ร่วมทำงานกับพลตรีจำลองศรีเมืองอดีตผู้ว่า และท่านเป็นผู้ก่อตั้งตลาดสวนจตุจักร ซึ่งวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งนั้นก็เพื่อเป็นที่ทำมาหากินให้กับคนตัวเล็ก การยกเลิกสิทธิ์ พ่อค้าแม่ขายคนตัวเล็ก และถ้าเป็นจริงตามข่าวว่าจะไปยกพื้นที่ให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่ ถือว่าเป็นธรรม เป็นการละเมิดสิทธิ์ของประชาชน พร้อมตั้งคำถามว่า เงินค่าเช่าที่ผู้ค้าจ่ายมาตลอดหลายปีนั้นหายไปไหน เพราะจากการตรวจสอบจากหลักฐานที่ผู้ค้ามอบให้พบว่า สำนักตลาดอ้างว่าให้ผู้ค้าขายขายฟรี ทั้งที่ความเป็นจริงผู้ค้า จ่ายเงินค่าเช่าทุกเดือน ชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติและส่อว่าอาจมีการทุจริตหรือไม่
ดังนั้น พรรคไทยสร้างไทย จึงได้มอบหมายให้ทีม ปราบทุจริต กทม.และฝ่ายกฎหมายของพรรค ไปเร่งดำเนินการใน3 แนวทางเพื่อช่วยเหลือผู้ค้าสวนจตุจักร ได้แก่
1. ขอเข้าพบผู้ว่า กทม. เพื่อให้ช่วยตรวจสอบการบริหารจัดการตลาดนัดสวนจตุจักร และทบทวนมาตรการที่ส่งผลกระทบต่อผู้ค้า
2. ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. และศาล เพื่อให้มีการตรวจสอบความไม่โปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องบางรายของ กทม.
3. รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาว เพื่อให้ตลาดนัดสวนจตุจักรกลับมาเป็นพื้นที่ค้าขายสำหรับประชาชนรายย่อย คนตัวเล็กตามเจตนารมณ์เดิม
คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำว่า “ตลาดนัดสวนจตุจักรเป็นพื้นที่ค้าขายสำคัญของคนตัวเล็ก ที่ไม่ควรถูกแปรสภาพไปเป็นแหล่งทำกำไรของกลุ่มทุนโดยผลักภาระให้ประชาชน”
พรรคไทยสร้างไทย จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และคาดว่าจะสรุปข้อมูลพร้อมยื่นเรื่องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
อ่วม! ฝุ่น PM2.5 ท่วม กทม. พุ่งสูง 66 พื้นที่
https://www.innnews.co.th/news/criminal/news_836201/
อ่วม! ฝุ่น PM2.5 ท่วม กทม. พุ่งสูง 66 พื้นที่ บึงกุ่ม หนองจอก ลาดกระบัง หนาแน่น เตือน 3-9 ก.พ. ฝุ่นหนาแน่น
ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานครขอรายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ของสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรุงเทพมหานคร ประจำวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 07.00 น. ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5)
ตรวจวัดได้ 34.5-63.2 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) พบว่าเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 66 พื้นที่ คือ
1. เขตบึงกุ่ม ภายในสำนักงานเขตบึงกุ่ม : มีค่าเท่ากับ 63.2 มคก./ลบ.ม.
2. เขตหนองจอก บริเวณหน้าสำนักงานเขตหนองจอก : มีค่าเท่ากับ 62.5 มคก./ลบ.ม.
3. เขตลาดกระบัง ด้านหน้าโรงพยาบาลนคราภิบาล : มีค่าเท่ากับ 61.7 มคก./ลบ.ม.
ข้อแนะนำสุขภาพ คุณภาพอากาศระดับสีส้ม: เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ประชาชนทั่วไป :ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคารจำกัดระยะเวลาในการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก
ควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา