Bitcoin ยังมีไพ่ใบใหญ่ ที่น่าตื่นเต้นกว่านำมาเป็นกองทุนสำรองของสหรัฐ

“ยังมีไพ่ใบใหญ่” ที่น่าตื่นเต้นกว่ากองทุนสำรองบิตคอยน์เชิงยุทธศาสตร์ เพราะราคาบิตคอยน์น่าจะตอบสนองข่าวนี้ไปแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ทรัมป์หาเสียง
 
 

-----------------------------------
1.ดร.เอ็ม ยืนยันว่ายังมองบวกกับตลาดคริปโตปีนี้ และส่วนตัวมีการเก็บของเพิ่มแต่ไม่ใช่เป็นการเก็บแบบหนักๆ เหมือนช่วงสองปีก่อน  
.
2.สัญญาณหลักๆ ที่อาจารย์เอ็มดู และเริ่มเห็นว่ามันเริ่มเปลี่ยนแปลง 
.
-ยอดการถือครองบิตคอยน์ ETF ของ BlackRock ซึ่งเป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปีที่ผ่านมาเห็นเทรนด์ของการเก็บทุกราคา เป็นการไล่สะสม แต่ในช่วงปลายปีเริ่มเห็นการซื้อๆ ขายๆ หมายความว่านักลงทุนที่ซื้อกองทุนของ BlackRock เริ่มมีการขายทำกำไรบ้างแล้ว
.
-วาฬเจ้าเก่าที่เคยสะสมมาอย่างต่อเนื่องร่วมปีตอนนี้เริ่มนิ่งแล้ว แต่ก็ยังมีวาฬหน้าใหม่เกิดขึ้นอยู่มากพอสมควรต้องมาติดตามดูว่า วาฬหน้าใหม่จะยังเก็บบิตคอยน์เพิ่มขึ้นในอัตราเร่งอยู่หรือไม่ ส่วนวาฬเจ้าเก่าดูต่อจะเริ่มเก็บของอีกหรือหรือจะดั๊มราคา
.
-(อันนี้แค่แซวๆ กันเป็นมีม) เริ่มมีการนำภาพของคนดังในโลกคริปโตมาทำมีมแซวกันว่า ทุกคนที่ได้ขึ้นปก Forbes ต่างก็เผชิญกับชะตากรรมเดียวกันคือติดคุก และทำให้ตลาดคริปโตถล่ม  คนแรกคือ CZ คนที่สองคือ SBF และคนล่าสุดที่ได้ขึ้นปกคือ Michael Saylor (แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า Michael Saylor จะเป็นรายถัดไป) 
.
3.ตอนนี้เหลือ “ไพ่ใบใหญ่” ที่เหลืออยู่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันหรือทันที แต่จะเป็นปัจจัยบวกที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อตลาดคริปโตอย่างช้าๆ ในระยะยาว คือการทำ security tokenization หรือการแปลงหุ้นเป็นโทเคนบนบล็อกเชน เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่? ซึ่งคนที่จะทำเรื่องนี้แล้วมี Impact ต่อตลาดมากที่สุดคือ BlackRock ตอนนี้อาจจะรอแค่กฎหมายเปิดทาง 
.
4.เรื่องนี้จะสร้างผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลง ของโลกการเงินดั้งเดิมในการเชื่อมต่อมายังโลกสินทรัพย์ดิจิทัล และน่าตื่นเต้นมากกว่าไพ่อีกสองใบคือเรื่องกองทุนสำรองบิตคอยน์แห่งชาติของสหรัฐฯ เพราะราคาบิตคอยน์ตอบสนองข่าวไปตั้งแต่  ตอนทรัมป์หาเสียงแล้ว และกระแสของของบริษัทในตลาดหุ้นทั่วโลกที่จะใช้กลยุทธ์ซื้อบิตคอยน์อีกหลายบริษัท 
.
5.ถ้าเหตุการณ์  BlackRock  การแปลงหุ้นเป็นโทเคนเกิดขึ้นจริง โปรเจกต์ที่จะได้ประโยชน์คือกลุ่มแพลตฟอร์มบล็อกเชนอย่างเช่น Ethereum, Solana (แต่ส่วนตัวของ ดร.เอ็มชอบ Ethereum) , โปรเจ็กต์ประเภทออราเคิล ซึ่งมีหน้าที่เป็นตัวกลางในการเป็นสะพานเชื่อมข้อมูลจากโลกภายนอกเข้าสู่บล็อกเชน อย่างเช่น Chainlink , โปรเจกต์ประเภท lending platform เพราะถ้ามีโทเคนหุ้น ก็จะสามารถนำมาทำธุรกรรมต่อในโลก DeFi ได้ เช่นเอาไปให้คนอื่นยืม หรือเราไปยืมคนอื่น รวมทั้ง โปรเจ็คที่เป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนเหรียญ เช่น Uniswap 
.
6.Narrative ปีนี้อาจารย์เอ็มมองว่าเป็นกระแสของ Ethereum ,Bitcoin และ DeFi ตัวหลักๆ เช่น Uniswap ส่วนมีม อาจารย์เอ็มมองว่าความพีคของมันมาถึงจุดสูงสุดแล้วหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ออกเหรียญมีมของตัวเอง เพราะทรัมป์คือสุภาพบุรุษหมายเลขหนึ่งของอเมริกา ความตื่นเต้นที่จะเห็นคนดังคนอื่นออกเหรียญมีมกระแสก็คงจะไม่แรงเท่า 
.
7.สุดท้ายอาจารย์ฝากว่า “อย่ารักเหรียญ” และให้ตอบตัวเองด้วยว่าแต่ละเหรียญที่เราเข้าไปซื้อนั้นเพราะอะไร ถ้าเหตุผลที่หนึ่งมันไม่ผ่านเหตุผลที่สองมันไปต่อได้ไหมต้องถามตัวเองให้มาก และอาจารย์เอ็มไม่ได้มีเป้าหมายราคาในใจ ไม่ว่าจะเป็นเหรียญไหนก็ตาม 
.
8.แต่สิ่งที่ใช้คือ “เป้าสถานการณ์” เพราะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนมุมมองที่เคยมองไว้ก็ย่อมจะเปลี่ยนไปด้วย การติดตามข่าวสารเพื่อเกาะติดสถานการณ์จึงเป็นเรื่องสำคัญ
—--------------------------- 
***มีประเด็นเพิ่มเติมเรื่องที่ภาครัฐ มีแผนจะออกสเตเบิลคอยน์ 10,000 ล้านบาทโดยใช้พันธบัตรค้ำ หากประเมินจากข้อมูลที่ออกมาจากรัฐบาลตอนนี้ แนวโน้มที่จะเป็นไปได้น่าจะน่าจะเป็น “โทเคนพันธบัตร” มากกว่าที่จะเป็น “สเตเบิลคอยน์” เพราะราคาพันธบัตรไม่ได้นิ่งแต่ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยและดีมานดืซัพพลายในตลาด ดังนั้น การจะไปคอนโทรลให้ราคามันนิ่งแปลว่าต้องมีมาร์เก็ตเมคเกอร์ ดร.เอ็มจึงเชื่อว่าปลายทางแล้วมันน่าจะออกมาเป็น “โทเคนพันธบัตร” มากกว่าที่จะเป็นสเตเบิลคอยน์ (แต่หากจะพยายามทำให้โทเคนพันธบัตรมันมีราคานิ่งจนสามารถเรียกได้ว่ามันเป็นสเตเบิลคอยน์ ก็ทำได้แต่ซับซ้อน อาจจะทำยาก)*** 
.
.
ขอบคุณผศ.ดร.อุดมศักดิ์ รักวงษ์วาน (เอ็ม) อาจารย์ภาควิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเจ้าของเพจ "ติดเล่า เรื่องลงทุน ติดเล่า เรื่องลงทุน
.
สรุปจากรายการ Crypto Verse [Live] : https://www.youtube.com/watch?v=uXTjX3T3h4Q&t=1411s

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่