อีกไม่นานหรอก

ไม่ได้คิดไปเองแน่นอน ถ้าบอกว่า แบงค์-ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา เก่งขึ้น ตั้งแต่กลับมาจากเบลเยี่ยม

เขายิงกระจุย แอสซิสต์กระจาย จนหลายคนพูดตรงกันว่า แบงค์เก่งเกินกว่าจะอยู่ในไทยลีก

คำถามคือ เมื่อได้ยินประโยคนี้ "เก่งเกินกว่าจะอยู่ในไทยลีก" ตัวศุภณัฏฐ์ รู้สึกอย่างไร เขาเห็นด้วยไหม ?

วันนี้ผมถามจากปากเขามาให้แล้วครับ

จริงๆ แล้ว ในช่วงปลายปี 2024 ศุภณัฏฐ์ ยังเหลือสัญญากับโอเอช ลูเวิน ทีมในลีกสูงสุดเบลเยี่ยมอีกครึ่งฤดูกาล และลูเวินก็ยินดีมากๆ ที่จะให้เขาอยู่ต่อจนครบซีซั่น

ศุภณัฏฐ์เอง ตอนอยู่เบลเยี่ยมก็มีความสุขดี เขาไม่มีปัญหากับใครเลย ข่าวลือที่บอกว่าโดนเหยียดผิว ไม่เป็นความจริง เช่นเดียวกับข่าวที่บอกว่าเขาโมโหที่โดนจับยืนแบ็กขวา ก็ไม่จริงเช่นกัน

แบงค์อธิบายในเรื่องนี้ว่า ตอนที่เขาโดนจับยืนแบ็กขวา เกิดขึ้นจริง แต่เป็นเพราะแบ็กขวาตัวจริงและตัวสำรอง เจ็บพร้อมกันพอดี ดังนั้นโค้ชเลยให้เขาไปยืนตรงนั้นเฉพาะกิจแค่เซสชั่นเดียวเท่านั้น แต่พอวันรุ่งขึ้น เขาก็กลับไปเล่นตัวรุกตามเดิม ไม่มีดราม่าอะไรทั้งสิ้น

ผมถามศุภณัฏฐ์ว่า แล้วเหตุผลอะไรที่เขาตัดสินใจกลับมาไทย ไม่อยากสู้ต่อที่ยุโรปแล้วหรือ? เพราะผมจำได้ว่า แบงค์เคยบอกไว้ ว่าความฝันของเขาคือการเล่นต่างแดน

ศุภณัฏฐ์ อธิบายว่า ในใจลึกๆ ก็อยากสู้ต่อให้สุดที่เบลเยี่ยม ถ้าเลือกด้วยหัวใจ ก็อาจทำแบบนั้น แต่เมื่อโตขึ้น เขารู้สึกว่า บางอย่างควรเลือกด้วยสมอง

กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาคิดอย่างรอบคอบ และมองว่า โอกาสได้ลงเล่นในสนาม เป็นเรื่องสำคัญกว่า

สำหรับนักฟุตบอล ในช่วงอายุ 18-22 ปี การได้ลงเล่นต่อเนื่องคือสิ่งจำเป็น ถ้าไม่ได้เล่น ก็หยุดพัฒนา

ลิเวอร์พูล ส่งเบน โด๊ค (19 ปี) ไปอยู่มิดเดิลสโบรห์ เพื่อให้ลงเล่นเยอะๆ หรือ บาร์เซโลน่า ส่งวิตอร์ โรเก้ (19 ปี) ไปเรอัล เบติส เพื่อเก็บเลเวล ที่ไหนในโลกก็ทำแบบนั้น คือดาวรุ่งพรสวรรค์ จะนั่งจับเจ่า ในซุ้มม้านั่งสำรองตลอดไปไม่ได้

ในฤดูกาลแรกของศุภณัฏฐ์ กับลูเวิน (2022-23) เขาได้ลงเล่นพอสมควร มีชื่ออยู่ใน Squad ทั้งหมด 17 นัด ได้ลง 14 นัด ไม่ได้ลง 3 นัด

แต่พอเข้าสู่ฤดูกาลที่ 2 อยู่ๆ เฮดโค้ชออสการ์ การ์เซีย ก็ตัดสินใจเปลี่ยนแนวทาง ไปเลือกใช้ผู้เล่นคนอื่น โดยเฉพาะโคนัน เอ็นดรี้ ชาวไอวอรีโคสต์ และไม่ให้โอกาสศุภณัฎฐ์ได้ลงเล่นอีกแล้ว

จากจำนวนเกมทั้งหมด 13 นัดของลูเวิน ในซีซั่นที่ 2 ศุภณัฏฐ์ ได้ลง 3 นัด มีชื่อเป็นสำรองแต่ไม่ได้เล่น 7 นัด และไม่มีชื่อบนม้านั่งสำรองอีก 3 นัด

หลายๆ เกม ที่แบงค์ต้องนั่งบนม้านั่งสำรองแบบไร้จุดหมาย ตัวอย่างเช่น เกมที่ลูเวิน แพ้ เกนท์ 3-0 เกมนั้นเมื่อสกอร์ตามหลังห่างแล้ว แทนที่โค้ชจะส่งศุภณัฏฐ์ ที่เป็นตัวรุกลงมาลุ้นยิงคืน แต่กลับเลือกส่งกองหลังลงมาอุด เพื่อไม่ให้โดนยิงมากไปกว่านี้

ไม่ใช่ความผิดของโค้ชที่วางแท็กติกแบบนั้น แต่ในมุมของแบงค์ เขาก็ได้แต่ตั้งคำถามในใจว่า ทุกวินาทีที่ผ่านไป ที่ไม่ได้ลงเล่น ก็เสียโอกาสพัฒนาตัวเอง

ดังนั้น ศุภณัฏฐ์จึงตัดสินใจเรื่องนี้ ร่วมกับต้นสังกัด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และตกลงใจว่า ยกเลิกสัญญายืมตัวแล้วกลับมาที่ไทยก่อนดีกว่า

การกลับมาไทย ก็สมประโยชน์กับทั้งแบงค์ และ บุรีรัมย์

ในมุมของแบงค์นั้น ข้อดีอย่างแรกในการกลับมา คือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีโปรแกรมแข่งขัน 5 รายการ ย่อมมีโอกาสได้ลงมากกว่า มันไม่สนุกหรอก ที่ตัวเองเป็น ตัวหลักทีมชาติไทย แต่ต้องนั่งเป็นตัวสำรองแบบไม่ได้เล่นสักนาทีในสโมสร

และ ข้อดีอย่างที่สอง คือ คุณภาพของบุรีรัมย์ ไม่ด้อยไปกว่าลูเวิน ทั้งเรื่องความเข้มข้นในทีม และ คุณภาพของโปรแกรมการแข่ง

เว็บไซต์ ฟุตบอลดาต้าเบส ระบุว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คือสโมสรอันดับ 242 ของโลก ณ เวลานี้ แต่โอเอช ลูเวิน อยู่อันดับ 615 ของโลก

ส่วนฝั่งบุรีรัมย์ แน่นอนว่าอยากได้แบงค์คืนมาอยู่แล้ว เพราะนี่คือตัวรุกที่เล่นได้ทุกตำแหน่ง คือได้แบงค์มาคนเดียว สโมสรก็เพิ่มพลังได้เยอะ และแบงค์จะสามารถช่วยทีมได้เยอะมาก ใน ACL Elite  ที่รออยู่

เมื่อทุกฝ่าย ตกลงกันได้ แบงค์ก็เลยกลับมาไทย เพื่อนับหนึ่งกับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดให้ดีที่สุดก่อน แล้วจากนั้น อนาคตจะเป็นอย่างไรค่อยว่ากันอีกที

กลับมาไทยช่วงแรกๆ ศุภณัฏฐ์ ยังไม่ได้เล่นให้กับสโมสร เพราะโฟกัสที่โปรแกรม AFF กับทีมชาติไทย และทุกคนก็เห็นไปแล้ว ว่าเขาทำผลงานโดดเด่นมากๆ จนคว้ารางวัลดาวรุ่งแห่งทัวร์นาเมนต์ พร้อมกับความนิยมที่เพิ่มขึ้นทั่วอาเซียน

พอจบ AFF คราวนี้ก็ได้เวลาที่เขาต้องลงเล่นให้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทุกคนอยากรู้ว่าแบงค์จะรักษาความต่อเนื่องได้หรือไม่

เกมที่ 1 บุรีรัมย์ ไปเยือนแบงค็อก ยูไนเต็ด เกมนี้แบงค์ยังดูจับจังหวะไม่ได้ ได้ลง 58 นาที ก็โดนเปลี่ยนตัวออก และทีมก็แพ้ไป 3-2

เกมที่ 2 บุรีรัมย์ เปิดบ้านเจอ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ในครึ่งแรกทีมนำขาด 5-0 เฮดโค้ชออสมาร์ ลอส เลยส่งแบงค์ลงมานาทีที่ 46 เป็นตัวสำรอง และเขาก็ปล่อยของทันที เมื่อตอกส้นให้บิสโซลี่ ยิงเข้าไป ตามด้วยโหม่งจ่อๆ เป็นประตู จบเกมบุรีรัมย์ชนะ 8-0 แบงค์ยิง 1 แอสซิสต์ 1

เกมที่ 3 บุรีรัมย์ เปิดบ้านเจอ ขอนแก่น ยูไนเต็ด ด้วยผลงานที่ดีจากเกมเชียงราย เขากลับมายึดตัวจริงได้สำเร็จ เล่นในตำแหน่งตัวฟรี ยืนปีกขวา สลับกับ กลางรุก และเกมนี้ ศุภณัฏฐ์ สร้างประวัติศาสตร์ เป็นนักเตะคนแรก ที่ทำ 3 ประตู และ 3 แอสซิสต์ในเกมเดียว ช่วยทีมชนะ 9-0

ศุภณัฎฐ์ เริ่มก่อนด้วย 3 แอสซิสต์ แจกจ่ายให้มาร์ติน โบอาเคีย (2 ลูก) กับ บิสโซลี่ ทั้งสามลูกคือถวายพานแบบให้เพื่อนยิงง่ายสุดๆ แล้ว

พอแอสซิสต์เสร็จ เขาก็เริ่มยิงประตูด้วยตัวเองบ้าง และมาซัดได้ 3 ลูก โดยหนึ่งในนั้น ประตู 7-0 รัตนากร ใหม่คามิ เปิดฟรีคิกเข้ามา ศุภณัฏฐ์ วิ่งมาวอลเลย์แบบไม่จับ บอลพุ่งเข้าประตูแบบเหนือชั้นสุดๆ เป็นการยิงด้วยเซนส์ล้วนๆ

เกมที่ 4 บุรีรัมย์ เจอนครปฐม ศุภณัฏฐ์ แตะลอดขาเออร์เนสโต้ ภูมิภา จ่ายยัดเข้ากลาง นครปฐมเคลียร์ไม่ขาด มาเข้าทางโบอาเคียยิงสวนเข้าไป ลูกนี้ไม่ได้แอสซิสต์ แต่แบงค์ก็มีส่วนร่วมมากๆ กับการได้ประตู

จากนั้นแบงค์ ก็เป็นฝ่ายยิงประตูเองบ้าง นาทีที่ 44 ยืนถูกที่ถูกเวลา แท็บอินจ่อๆ เข้าไป เกมนั้นบุรีรัมย์ชนะ 3-1 แบงค์ทำได้ 1 ประตู

เกมที่ 5 บุรีรัมย์ ไปเยือน พีที ประจวบ แบงค์เป็นสำรอง ในครึ่งแรกประจวบนำ 1-0 ทำให้ช่วงพักครึ่ง โค้ชต้องส่งแบงค์ลงสนาม และแค่ 8 นาทีที่ลงเล่น เสี้ยววินาทีที่กองหลังประจวบ ปล่อยให้บอลตก แบงค์สปรินท์ตัวไปแบบไม่มีใครคาดคิด หวดโป้ง แบบไม่จับด้วยขวา เข้าประตูไป ตีเสมอ 1-1 ก่อนบุรีรัมย์ จะพลิกชนะในเกมนั้น 2-1

เท่ากับว่า 5 เกมที่ศุภณัฏฐ์ได้ลงสนามในไทยลีก (ตัวจริง 3 สำรอง 2) เขายิงได้ 6 ลูก แอสซิสต์ไป 4 ครั้ง ค่าเฉลี่ยคือทุกๆ นัดต้องมีส่วนร่วมอย่างน้อย 2 ประตู

ศุภณัฏฐ์ ใช้เวลาแค่ 5 เกม ขึ้นเป็นดาวซัลโวคนไทย อันดับ 2 ของไทยลีก (6 ลูก) ตามหลังแค่ศุภชัย ใจเด็ด (19 นัด - 8 ลูก) แค่คนเดียวเท่านั้น คือแซงหน้าตัวไทยทุกคนมาหมดเลย อย่างรวดเร็วมากๆ

สิ่งที่เรารับรู้ได้เลย คือแบงค์เก่งมากจริงๆ เซนส์บอลที่เคยดีมากอยู่แล้ว กลับมาคราวนี้ มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมอีก วิ่งไปตรงไหน ก็ดูจะถูกต้องไปหมด

บุรีรัมย์เป็นทีมที่มีการแข่งขันสูงมาก แต่เขาสอดแทรกเข้าไปได้อย่างเนียนกริ๊บมาก สามารถเล่นร่วมกับ กลุ่มนักเตะที่เขาไม่เคยเล่นด้วยมาก่อน อย่างลูคัส คริสปิม หรือ บิสโซลี่ ได้อย่างไหลลื่น เซนส์ทันกันไปหมด

หลายคนพูดกันว่า เพราะไปเบลเยี่ยมนั่นแหละ ทำให้แบงค์อัพเกรดขึ้น

ในวันนี้ ผมมีโอกาสได้คุยกับแบงค์สั้นๆ ก็เลยถามเขาว่า "ข้อแตกต่าง" ระหว่างลีกเบลเยี่ยม กับไทยลีก คืออะไร ทำไมพอกลับมาไทย แล้วเขาเล่นได้ดีขึ้น

แบงค์อธิบายว่า ที่ลีกเบลเยี่ยม คู่แข่งทุกทีมที่เจอมา นักเตะมีความ "แข็ง" ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นยุโรป หรือ ผู้เล่นแอฟริกา คือทุกคนแข็งแรง และวิ่งเร็วมาก ในขณะที่ไทยลีก ผู้เล่นมีเทคนิคที่ดี แต่ด้วยสรีระของคนเอเชีย มันไม่ได้แข็งขนาดนั้น ทำให้ตัวเขาเล่นง่ายขึ้นกว่าตอนที่เบลเยี่ยม

ผมถามเขาต่อว่า แบงค์เล่นดีมากขนาดนี้ จนมีคนพูดประโยคว่า "ศุภณัฏฐ์ เก่งเกินกว่าจะอยู่ไทยลีกแล้ว เขาคิดอย่างไรบ้าง?"

คำตอบของแบงค์ข้อนี้ น่าสนใจมากครับ เขาบอกว่า แน่นอนต้องเคยได้ยิน แต่เขาไม่ได้รู้สึก "อิน" ไปกับคำชื่นชมเหล่านี้

ผมไม่เข้าใจความหมาย ก็เลยขอให้เขาอธิบายเพิ่มหน่อย แบงค์ตอบว่า "ในตอนนี้ ผู้คนชื่นชมผมมากๆ บอกว่าผมเก่งเกินไทยลีกอะไรทำนองนั้น เพราะผมเล่นได้ดี ยิงประตูได้ แอสซิสต์ได้ แต่พี่ลองคิดดูนะครับ ถ้าหากผมฟอร์มหลุดล่ะ ไม่ยิง ไม่แอสซิสต์ บางทีคนเดียวกันที่ชมนั่นแหละ ก็อาจจะพูดได้ว่า ฝีเท้าอย่างผม ไม่เก่งพอจะไปต่างแดน"

"คำชม หรือ คำหนิ มันเกิดขึ้นได้เสมอครับ ผมก็เลยไม่อยากจะเชื่อคำเหล่านี้ เพราะรู้ว่ามันเป็นอารมณ์ของคนพูด หน้าที่ของผม คือตั้งใจเล่นฟุตบอล ไม่ว่าใครจะพูดถึงอย่างไรก็ตาม แล้วใช้แค่ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ"

พอแบงค์พูดจบ ผมทึ่งเลย เพราะนี่เป็นปรัชญาเหมือนกันนะครับ

เคยได้ยินกันไหมครับ ที่เขาบอกว่า คนเราอย่าไปอินกับอะไรมากเกิน ในวันที่มีความสุข ก็ทำใจเตรียมไว้ว่าอนาคตอาจจะเจอความทุกข์ หรือ ถ้าเจอความทุกข์ ก็ให้สบายใจว่าเดี๋ยวก็เจอความสุข

เมื่อไม่อิน ไม่ยึดติด ก็จะมีสมาธิในการทำงานของเราอย่างเต็มที่นั่นเองครับ ศุภณัฏฐ์ ในวัย 22 ปี คิดได้ถึงขนาดนี้แล้ว สุดยอดไปเลย

ผมคิดว่าที่เราเห็นพัฒนาการของแบงค์ ในการกลับมาไทยครั้งนี้ เกิดขึ้นจากสองอย่างรวมกัน

อย่างแรก คือเรื่องสภาพร่างกาย คือเขาไปปะทะกับคู่แข่งที่หนักหน่วงมากๆ ในลีกยุโรปมาแล้ว ไปฝึกหนักอย่างเข้มข้นสุดๆ มาแล้ว พอวันนี้ ต้องเจอกับคู่แข่งที่ไม่หนักขนาดนั้น ไม่เร็วขนาดนั้น แบงค์ก็เลยได้เปรียบกว่าทุกคน

อย่างที่สอง คือเรื่อง mindset เขาไม่เอาใจลงไปเล่นมากเกิน เข้าใจโซเชียล แต่ไม่เต้นไปตามจังหวะ ตามคำพูดของคนอื่น เขาเดินหน้าเพื่อเป้าหมายของตัวเองเท่านั้น

คำถามสุดท้ายที่ผมถามศุภณัฏฐ์ คือ "แล้วเอาจริงๆ ความฝันไปต่างประเทศของแบงค์ยังอยู่ไหม?"

แบงค์ ตอบอย่างชัดเจนว่า "ยังอยู่สิครับ"

แม้จะระเบิดฟอร์มในไทยลีก แต่แพสชั่นที่อยากประสบความสำเร็จในต่างประเทศของศุภณัฏฐ์ ยังคงแรงกล้ามากๆ ครับ

เมื่อไม่กี่วันก่อน เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ประกาศไว้ว่า ไม่มีแผนจะส่งใครไปเล่นต่างแดนในตอนนี้

แต่นี่คือเรื่องของปัจจุบันไงครับ อนาคตอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

สิ่งที่ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ในวัย 22 ปี ต้องทำก่อนในตอนนี้ คือถล่มรีโว่ ไทยลีกให้ราบคาบ แสดงให้เห็นว่า เขาคือนักเตะไทยหมายเลขหนึ่งแบบไม่มีข้อกังขา

และเมื่อเขาทำได้ มีสถิติส่วนตัวที่ดีเยี่ยม บวกกับได้แชมป์หลายๆ รายการ กับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เชื่อไหมว่าโอกาสที่เขาจะได้ย้ายไปเล่นในลีกต่างประเทศอีกครั้ง ต้องมาถึงอย่างแน่นอนครับ

เพราะฝีเท้าระดับนี้ อัจฉริยะเบอร์หนึ่งในเจเนเรชั่น มั่นใจได้เลย ว่าประเทศไทย รั้งไว้ ได้ไม่นานหรอกครับผม

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่