อิงกริดและมาร์ธาเป็นเพื่อนสนิทกันในวัยเยาว์ ทั้งสองเคยทำงานร่วมกันในนิตยสารแห่งหนึ่ง
ด้วยภาระหน้าที่และการเติบโตที่มากขึ้นแต่ละคนมีเส้นทางเดินของตัวเอง จนทำให้ไม่ได้พบกันอีกเลยหลายสิบปี..
หลังจากเวลาผ่านไป ทั้งสองกลับมาพบกันอีกครั้งในสถานการณ์อันยากลำบาก
เมื่ออิงกริดพบว่ามาร์ธา เพื่อนที่ห่างหายไปนานของเธอนั้นกำลังป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย
ด้วยความสงสารและเห็นใจ.. อิงกริดจึงไปเยี่ยมมาร์ธาที่โรงพยาบาลทุกวันเพื่อหวังจะให้เพื่อนมีกำลังใจในการต่อสู้กับโรคร้าย
มาร์ธาดีใจที่เพื่อนมาหา ทั้งสองพูดคุยแลกเปลี่ยนความทรงจำในอดีตรวมถึงชีวิตที่ผ่านมา
แต่แล้วเมื่อการรักษานั้นดูไม่ได้ตอบสนองอะไรอีกแล้ว.. มาร์ธาจึงขอร้องให้อิงกริดทำบางสิ่งให้กับเธอ
นั่นก็คือ ขอให้อิงกริดอยู่เป็นเพื่อน ก่อนที่มาร์ธาจะตัดสินใจจบชีวิตด้วยตัวเธอเอง...
The Room Next Door (ภาษาสเปน: La habitación de al lado) เขียนบทและกำกับโดยเปโดร อัลโมโดวาร์
สุดยอดผู้กำกับชาวสแปนิชที่รังสรรค์ผลงานภาพยนตร์แบบภาษาอังกฤษเป็นเรื่องแรกในชีวิต (22 เรื่องก่อนหน้านี้เป็นสเปนทั้งหมด)
อิงจากนิยาย What Are You Going Through โดย Sigrid Nunez
นำแสดงโดยสองเทพในวงการบันเทิงอย่าง ทิลดา สวินตัน และจูลีแอนน์ มัวร์
เปโดร อัลโมโดวาร์ มีผลงานที่คอหนังสายรางวัลจดจำได้เป็นอย่างดีกับ All About My Mother (1999).. Talk to Her (2002)
ซึ่งทำให้อัลโมโดวาร์เป็นผู้กำกับชาวสเปนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนนึงในวงการของสเปน
เมื่อกวาดรางวัลใหญ่ทั้งออสการ์.. บาฟต้า และลูกโลกทองคำ เรียกว่าจากสถาบันหลักเก็บเรียบ
มาในครั้งนี้ก็ยังคงเป็นดราม่าหนักๆเช่นเคยกับเรื่องราวของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย
ที่อยากจะจากโลกนี้ไปอย่างไม่ทรมาน และด้วยการเลือกที่จะไปด้วยตนเอง
ภาพยนตร์เรื่องนี้เอาประเด็นดังกล่าวมานำเสนอผ่านการแสดงของ 2 ดาราชั้นนำที่แค่เห็นชื่อปุ๊บก็ควรค่าแล้วครับ
กับการรับชม ทั้ง ทิลดา สวินตัน และจูลีแอนน์ มัวร์ คือสุดยอดดาราในวงการที่ไม่ว่าจะรับบทไหนก็ดีงามไปซะทุกเรื่อง
เรื่องนี้ทั้งสองคือตัวเดินเรื่องแทบจะเรียกได้ว่าเกือบ 100% เต็มเลยก็ว่าได้ และบทหนังก็ดีจนน่าจะทำเป็นละครเวทีเลยล่ะ
ทิลดา สวินตัน ในบทของมาร์ธา อดีตนักข่าวสงครามหญิงผู้มีอดีตอันโลดโผน
เท่าที่ฟังเธอเล่าถึงชีวิตที่ผ่านมาก็น่าจะดูเหมือนว่าเธอได้ทำทุกอย่างจนคุ้มแล้วไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว
เธอเป็นหญิงแกร่งที่สู้ในทุกสมรภูมิชีวิตด้วยตัวคนเดียวเสมอ ยกเว้นเรื่องเดียวที่เธอประสบความล้มเหลว
นั่นคือความสัมพันธ์กับลูกสาวตัวเอง ปมเดียวในชีวิตที่เธอยังแก้ไขไม่ได้
แววตาของทิลดา ยังเหมือนกับมหาสมุทรอันดิ่งลึกลงไปอย่างไรก้นบึ้งในทุกครั้งที่ผมได้เห็น
คือเป็นคนที่ไม่สามารถเดาใจได้เลย ปากยิ้มแต่สายตานี่นิ่งงัน เป็นดาราที่ผมรักมากๆคนนึงเลยทีเดียว
กับบทนี้ทิลดาก็โดดเด่นอย่างยิ่งกับสภาวะของคนที่พร้อมแล้วที่จะลาจากทุกสิ่งบนโลกใบนี้
โดยหวังจะให้การพักผ่อนครั้งสุดท้ายของเธอเป็นไปอย่างที่ตนต้องการ สมกับที่เธอตั้งใจ
ขณะที่ จูลีแอนน์ มัวร์ ในบทของอิงกริดนักเขียนดัง ผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีย์
เมื่อรู้ว่าเพื่อนเก่าอย่างมาร์ธากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เธอไม่เคยมีคำถามใดๆเลยนอกจากเป็นผู้รับฟังที่ดี
ไม่ว่ามาร์ธาอยากทำอะไรเธอพร้อมให้การสนับสนุน แม้กระทั่งเมื่อเพื่อนอยากจะจบชีวิตตัวเองก็ตามที..
นั่นเพราะว่าเธอเข้าใจดีว่าหากเพื่อนคิดจะทำอะไรลงไปแล้วนั่นย่อมหมายถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่ได้เลือกแล้ว
สิ่งที่อิงกริดพอทำได้ก็คือ ช่วยให้ทุกอย่างออกมาอย่างราบรื่นตามที่เพื่อนต้องการให้มากที่สุดเท่านั้นพอ..
ถกกันมายาวนาน และก็คงจะไม่มีทางที่จะได้ข้อสรุปง่ายๆกับเรื่องของการุณยฆาต
หรือสิทธิในการที่จะจบชีวิตตนเองเพื่อพ้นความทรมานจากโรคร้ายหรือสภาวะทุพพลภาพใดๆก็ตามที่ตัวเองกำลังประสบอยู่
ซึ่งนอกจากจะสร้างความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจให้กับตนเองแล้ว คนรอบข้างก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน
เราไม่สามารถที่จะเลือกเกิดได้ แต่เราเลือกที่จะตายได้มั้ย นี่คือคำถามในสังคม
แน่นอนว่าในการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายรวมถึงขัดต่อหลักศาสนาและคำสอนต่างๆว่าด้วยการฆ่าตัวตายนั้นเป็นบาปมหันต์
หากแต่ว่าถ้าคนผู้นั้นมีอาการป่วยในระดับที่ไม่สามารถจะดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
ในแบบที่เขาต้องการจะเป็นได้อีก.. และอยากจะทิ้งลมหายใจของตนเอง..
เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกทางออกให้ตัวเองได้เลยหรือ..
ดั่งหิมะพร่างพรายจากฟากฟ้า ละอองเกล็ดสวยงามและสุดท้ายก็ร่วงลงมาสู่ดินไม่ต่างกัน
ตัวมาร์ธ่าเปรียบตัวเองเป็นเช่นนั้น ซึ่งก็หมายถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้
เราล้วนแล้วแต่มีปลายทางเดียวกันที่แน่นอนที่สุดคือความตาย เพียงแต่ฉากสุดท้ายของแต่ละคนจะเป็นเช่นไร
หากเลือกได้เราก็อยากจะไปอย่างสงบและสวยงามที่สุด ผมเชื่อเช่นนั้น
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== The Room Next Door (2024) เธอจะอยู่เป็นเพื่อนฉัน...ในวันสุดท้ายของชีวิตได้ไหม.. ==
อิงกริดและมาร์ธาเป็นเพื่อนสนิทกันในวัยเยาว์ ทั้งสองเคยทำงานร่วมกันในนิตยสารแห่งหนึ่ง
ด้วยภาระหน้าที่และการเติบโตที่มากขึ้นแต่ละคนมีเส้นทางเดินของตัวเอง จนทำให้ไม่ได้พบกันอีกเลยหลายสิบปี..
หลังจากเวลาผ่านไป ทั้งสองกลับมาพบกันอีกครั้งในสถานการณ์อันยากลำบาก
เมื่ออิงกริดพบว่ามาร์ธา เพื่อนที่ห่างหายไปนานของเธอนั้นกำลังป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย
ด้วยความสงสารและเห็นใจ.. อิงกริดจึงไปเยี่ยมมาร์ธาที่โรงพยาบาลทุกวันเพื่อหวังจะให้เพื่อนมีกำลังใจในการต่อสู้กับโรคร้าย
มาร์ธาดีใจที่เพื่อนมาหา ทั้งสองพูดคุยแลกเปลี่ยนความทรงจำในอดีตรวมถึงชีวิตที่ผ่านมา
แต่แล้วเมื่อการรักษานั้นดูไม่ได้ตอบสนองอะไรอีกแล้ว.. มาร์ธาจึงขอร้องให้อิงกริดทำบางสิ่งให้กับเธอ
นั่นก็คือ ขอให้อิงกริดอยู่เป็นเพื่อน ก่อนที่มาร์ธาจะตัดสินใจจบชีวิตด้วยตัวเธอเอง...
The Room Next Door (ภาษาสเปน: La habitación de al lado) เขียนบทและกำกับโดยเปโดร อัลโมโดวาร์
สุดยอดผู้กำกับชาวสแปนิชที่รังสรรค์ผลงานภาพยนตร์แบบภาษาอังกฤษเป็นเรื่องแรกในชีวิต (22 เรื่องก่อนหน้านี้เป็นสเปนทั้งหมด)
อิงจากนิยาย What Are You Going Through โดย Sigrid Nunez
นำแสดงโดยสองเทพในวงการบันเทิงอย่าง ทิลดา สวินตัน และจูลีแอนน์ มัวร์
เปโดร อัลโมโดวาร์ มีผลงานที่คอหนังสายรางวัลจดจำได้เป็นอย่างดีกับ All About My Mother (1999).. Talk to Her (2002)
ซึ่งทำให้อัลโมโดวาร์เป็นผู้กำกับชาวสเปนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนนึงในวงการของสเปน
เมื่อกวาดรางวัลใหญ่ทั้งออสการ์.. บาฟต้า และลูกโลกทองคำ เรียกว่าจากสถาบันหลักเก็บเรียบ
มาในครั้งนี้ก็ยังคงเป็นดราม่าหนักๆเช่นเคยกับเรื่องราวของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย
ที่อยากจะจากโลกนี้ไปอย่างไม่ทรมาน และด้วยการเลือกที่จะไปด้วยตนเอง
ภาพยนตร์เรื่องนี้เอาประเด็นดังกล่าวมานำเสนอผ่านการแสดงของ 2 ดาราชั้นนำที่แค่เห็นชื่อปุ๊บก็ควรค่าแล้วครับ
กับการรับชม ทั้ง ทิลดา สวินตัน และจูลีแอนน์ มัวร์ คือสุดยอดดาราในวงการที่ไม่ว่าจะรับบทไหนก็ดีงามไปซะทุกเรื่อง
เรื่องนี้ทั้งสองคือตัวเดินเรื่องแทบจะเรียกได้ว่าเกือบ 100% เต็มเลยก็ว่าได้ และบทหนังก็ดีจนน่าจะทำเป็นละครเวทีเลยล่ะ
ทิลดา สวินตัน ในบทของมาร์ธา อดีตนักข่าวสงครามหญิงผู้มีอดีตอันโลดโผน
เท่าที่ฟังเธอเล่าถึงชีวิตที่ผ่านมาก็น่าจะดูเหมือนว่าเธอได้ทำทุกอย่างจนคุ้มแล้วไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว
เธอเป็นหญิงแกร่งที่สู้ในทุกสมรภูมิชีวิตด้วยตัวคนเดียวเสมอ ยกเว้นเรื่องเดียวที่เธอประสบความล้มเหลว
นั่นคือความสัมพันธ์กับลูกสาวตัวเอง ปมเดียวในชีวิตที่เธอยังแก้ไขไม่ได้
แววตาของทิลดา ยังเหมือนกับมหาสมุทรอันดิ่งลึกลงไปอย่างไรก้นบึ้งในทุกครั้งที่ผมได้เห็น
คือเป็นคนที่ไม่สามารถเดาใจได้เลย ปากยิ้มแต่สายตานี่นิ่งงัน เป็นดาราที่ผมรักมากๆคนนึงเลยทีเดียว
กับบทนี้ทิลดาก็โดดเด่นอย่างยิ่งกับสภาวะของคนที่พร้อมแล้วที่จะลาจากทุกสิ่งบนโลกใบนี้
โดยหวังจะให้การพักผ่อนครั้งสุดท้ายของเธอเป็นไปอย่างที่ตนต้องการ สมกับที่เธอตั้งใจ
ขณะที่ จูลีแอนน์ มัวร์ ในบทของอิงกริดนักเขียนดัง ผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีย์
เมื่อรู้ว่าเพื่อนเก่าอย่างมาร์ธากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เธอไม่เคยมีคำถามใดๆเลยนอกจากเป็นผู้รับฟังที่ดี
ไม่ว่ามาร์ธาอยากทำอะไรเธอพร้อมให้การสนับสนุน แม้กระทั่งเมื่อเพื่อนอยากจะจบชีวิตตัวเองก็ตามที..
นั่นเพราะว่าเธอเข้าใจดีว่าหากเพื่อนคิดจะทำอะไรลงไปแล้วนั่นย่อมหมายถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่ได้เลือกแล้ว
สิ่งที่อิงกริดพอทำได้ก็คือ ช่วยให้ทุกอย่างออกมาอย่างราบรื่นตามที่เพื่อนต้องการให้มากที่สุดเท่านั้นพอ..
ถกกันมายาวนาน และก็คงจะไม่มีทางที่จะได้ข้อสรุปง่ายๆกับเรื่องของการุณยฆาต
หรือสิทธิในการที่จะจบชีวิตตนเองเพื่อพ้นความทรมานจากโรคร้ายหรือสภาวะทุพพลภาพใดๆก็ตามที่ตัวเองกำลังประสบอยู่
ซึ่งนอกจากจะสร้างความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจให้กับตนเองแล้ว คนรอบข้างก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน
เราไม่สามารถที่จะเลือกเกิดได้ แต่เราเลือกที่จะตายได้มั้ย นี่คือคำถามในสังคม
แน่นอนว่าในการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายรวมถึงขัดต่อหลักศาสนาและคำสอนต่างๆว่าด้วยการฆ่าตัวตายนั้นเป็นบาปมหันต์
หากแต่ว่าถ้าคนผู้นั้นมีอาการป่วยในระดับที่ไม่สามารถจะดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
ในแบบที่เขาต้องการจะเป็นได้อีก.. และอยากจะทิ้งลมหายใจของตนเอง..
เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกทางออกให้ตัวเองได้เลยหรือ..
ดั่งหิมะพร่างพรายจากฟากฟ้า ละอองเกล็ดสวยงามและสุดท้ายก็ร่วงลงมาสู่ดินไม่ต่างกัน
ตัวมาร์ธ่าเปรียบตัวเองเป็นเช่นนั้น ซึ่งก็หมายถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้
เราล้วนแล้วแต่มีปลายทางเดียวกันที่แน่นอนที่สุดคือความตาย เพียงแต่ฉากสุดท้ายของแต่ละคนจะเป็นเช่นไร
หากเลือกได้เราก็อยากจะไปอย่างสงบและสวยงามที่สุด ผมเชื่อเช่นนั้น
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===