ก่อนไปเรียนที่ญี่ปุ่นต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง

แนะนำตัว: เป็นคนไทยไปเรียนโรงสอนภาษาที่ประเทศญี่ปุ่นจ้า อายุ 17-18 ระหว่างที่ทำเอกสารยื่นเข้า (น่าปวดหัวมากเลย)

ขอเกริ่นก่อนว่า กว่าจะได้เอกสารแต่ละอย่างมันไม่ง่ายเลย ต้องใช้ทั้งเวลาและเงินเป็นจำนวนมหาศาล เพราะงั้นใครที่อยากไปเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นต้องเตรียมตัวกันให้ดีๆ เผื่อเวลาทำการเอาไว้ด้วยนะ 

เอาละเข้าเรื่องกันเลย

การไปเรียนที่ญี่ปุ่นต้องมีอะไร
-หนึ่งคือภาษาญี่ปุ่น ต้องได้ในระดับ N4 หรือ มีชั่วโมงการเรียนภาษา (ต้องมีใบรับรองจากโรงเรียนสอน) ไม่ต่ำกว่า150ชั่วโมง: นี่ก็เพื่อให้เราได้มีความรู้ ความเข้าใจภาษาญี่ปุ่นในระดับชีวิตประจำวัน ไม่อย่างงั้นการอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นจะเหนื่อยมากในแต่ละวัน

-สอง เอกสาร: ว่าด้วยเรื่องเอกสารแล้วนั้น มีหลายอย่างที่คุณต้องเตรียม และบางอย่างก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆเลยทีเดียว (ส่วนตัวใช้เวลาเตรียมและรอเอกสารให้เสร็จทั้งหมด ตั้งแต่ต้นเดือน2 --เสร็จเดือน9ต้นเดือน ขึ้นเครื่องบินเดือน9ปลายๆจ้า)

-สามคือ เงินเตรียมเงินไว้ให้พร้อม ในช่วงที่ค่าเงินญี่ปุ่นต่ำทุกคนก็อาจกำลังดีใจ แต่อย่าลืมไปว่าของที่นี่ก็จะแพงขึ้นด้วยเช่นกัน (วันที่30/1/2025) เราเช็กราคากับรุ่นพี่ที่อยู่มาก่อนแล้ว ค่าของและอาหารแพงขึ้นจริงๆ

-อย่างสุดท้ายคือการเตรียมใจ แน่นอนหลายคนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ก็ต้องอยากไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่นอยู่แล้ว และไม่ว่าเหตุผลนั้นจะเป็นอะไร เราอยากให้คุณคิดให้ดี คิดให้เยอะ ว่าพร้อมที่จะมาใช้ชีวิตใหม่ที่นี่จริงๆไหม ความฝันที่อยากตาม จำเป็นต้องมาถึงญี่ปุ่นจริงๆรึเปล่า เพราะเมื่อคุณเลือกไปแล้ว คุณจะหันหลังกลับไม่ได้อีก เวลาก็จะเสียไป เงินก็จะเสียไป บางทีตัวตนของคุณก็จะเปลี่ยนไป

แต่ถ้าคุณแน่ใจแล้ว ก็อ่านต่อไปได้เลย!!

ภาษาญี่ปุ่น
คนส่วนใหญ่จะแนะนำให้เรียนที่ไทยจนถึง N4 แล้วมาที่ประเทศญี่ปุ่น นี้ก็เป็นวิธีที่ดี ถ้าคุณแค่อยากมาเรียนเอาภาษากลับไปอัปเงินเดือนที่ไทย หรือแค่อยากเรียนภาษาเฉยๆ โดยไม่มีกรอบเวลามาเร่งคุณ แต่!!!

ถ้าคุณมีเป้าหมายที่จะอยู่ญี่ปุ่นต่อ ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามหาลัยหรือการหางานที่ญี่ปุ่น ซึ่งส่วนใหญ่การทำแบบนี้คุณจะต้องได้N2ขึ้นไป แต่เวลาที่คุณมีนั้นจำกัดมาก คุณอาจโดนกดดันจากครอบครัวเรื่องยังไม่เข้ามหาลัยและเลือกที่จะทำ gap year หรืออาจโดนกดดันเรื่องการไปเรียนที่ต่างประเทศโดยไม่มีอะไรมารองรับถึงอาชีพที่ตอนนี้คุณเองก็ยังไม่ได้ และภาษาของคุณก็ยังไม่ดีพอที่คนญี่ปุ่นจะรับเข้ามหาลัยหรือบริษัท ในเวลาเช่นนี้คุณอยากได้ภาษามากๆๆ และคุณคิดว่าการไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นนี่แหละดี

แต่ในความเป็นจริง (จากประสบการณ์ตรง) การเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นช้ามากๆ เมื่อเทียบกับตอนที่เราเรียนที่ไทย ถ้าเป้าหมายของคุณไม่ใช่การมาเรียนรู้วิถีชีวิตคนญี่ปุ่น แต่เป็นการสอบให้ผ่าน N2-N1 ครูที่ไทยจะสอนให้คุณสอบผ่านได้เร็วกว่า เพราะครูที่ญี่ปุ่นจะสอนแบบเจาะจง ละเอียดในเชิงที่ว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงใช้คำนี้ มีที่มาที่ไปยังไง บลาๆ แน่นอนว่าทั้งสองมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของคุณ

ถ้าคุณมีเป้าหมายเป็นการสอบให้ผ่าน เราจะแนะนำให้คุณอยู่ไทยแล้วเรียนที่ไทยจนกว่าจะได้ N2 แล้วค่อยมาใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น
1. ค่าเข้าสอบ JLPT ที่ไทยถูกกว่า
2. ใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นได้สบายกว่า เพราะคุณจะรู้คำศัพท์มากแล้ว, การอ่านอะไรที่เป็นเอกสารที่ญี่ปุ่นก็ง่าย (ที่ญี่ปุ่นเวลาทำเอกสารจะเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนนะจ๊ะภาษาอังกฤษแทบไม่มี มันจะลำบากมาก ขนาดเราอยู่ระดับn3ต้นๆตอนที่มา ถือว่าการทำเอกสารทั่วไปนั้นยากแบบมากๆๆ)
3. ใช้เวลาน้อยกว่า ในที่นี้คือถ้าคุณเรียนที่ไทยที่โรงเรียนสอนภาษาอย่างจริงจัง (จันทร์ถึงศุกร์เช้าถึงเย็น) เราลองนับๆดูแล้วและดูจากรุ่นพี่ที่อยู่มาก่อน ที่ไทยจะสอนเร็วกว่า อย่างเราเองที่เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นจาก 0 เมื่อต้นปี 2024 และมาญี่ปุ่นปลายเดือน9 ปี2024 ในเวลาไม่ถึง10เดือน ก็สามารถอยู่ในระดับ n3ต้นได้ (ต้องเรียนหนักมากจริงๆ เพราะห้องที่เราเรียนมีแต่คนเก่ง มันเลยผลักดันเราไปด้วย คะแนนเต็ม114 ทุกคนในห้องจะได้ไม่ต่ำกว่า 80 และส่วนใหญ่ก็ได้ 90ขึ้น เซนเซยังตกใจ ค่าaverageอยู่ที่94%) น่าเสียดายที่เรามาเรียนที่ญี่ปุ่นต่อ เพื่อนที่ไทยเลยไปไกลกว่า
4. เรียนที่ไทยมีคนไทยที่เป็นเพื่อมร่วมคลาสช่วย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าที่เราพัฒนาอย่างก้าวกระโดดก็เป็นเพราะเพื่อนที่แข่งกันเรียน แต่ก็ช่วยกันเรียนไปด้วย ทุกคนช่วยกันดันให้ได้เกรด A /A+ อยู่เสมอ เอามาอวดกันว่าครั้งนี้สอบได้เท่าไหร่ มันเลยเป็นบรรายากาศที่ดีมากในการเรียนรู้ เมื่อเทียบกับการเรียนที่ญี่ปุ่นที่80% มีแต่คนจีนกับคนเกาหลี และครูจะอธิบายเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน (ที่ไทยก็เรียนกับครูญี่ปุ่นแต่ว่าเป็นครูญี่ปุ่นที่พูดอังกฤษได้ทุกคน ที่นี่อาจมีพูดไม่ได้บ้าง ถ้าเราไม่เข้าใจจริงๆจะหาตัวช่วยได้ยากมาก)
5. วีซ่านักเรียนที่เรียนภาษาที่ญี่ปุ่นได้แค่2ปีเท่านั้น เพราะอย่างงั้นถ้าคุณจะไปเรียนโรงเรียนสอนภาษาที่ญี่ปุ่นจริง ก็กะเวลาให้ดี 2ปีอาจจะดูนาน แต่ถ้าต้องมาเครียดกับการสอบJLPT 2ปีก็แป๊ปเดียว (เราเห็นหลายคนที่ไปญี่ปุ่นตอนพื้นฐานยังน้อย แล้วอยู่ที่นั่นจนจบ2ปี แต่ก็ยังต้องกลับมาเรียนโรงเรียนสอนภาษาในไทยอยู่ดี เพราะเขาไม่ผ่านN2)

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็แล้วแต่ท่านจะเลือก แต่ทุกคนก็ต้องเรียนที่ไทยให้ได้N4กันก่อนอยู่แล้ว เราเลยอยากแนะนำให้ไปเรียนโรงเรียนที่เขาสอนกันเข้มๆเลย เรามีเพื่อนหลายคนมากที่เรียนตั้งนานแต่ไม่ได้อะไรเลย เพราะสอนง่ายและช้าเกินไป

ตอนที่เราเลือกว่าจะเรียน โรงเรียนที่ให้งานเยอะสอนเข้ม หรือโรงเรียนที่งานน้อยแล้วสบายกว่า พ่อเราพูดว่า "จะเรียนทั้งทีจะไปเรียนที่ง่ายทำไม เรียนให้เหมือนกับตอนที่เรียนมัธยมไปเลย" แล้วเราก็เชื่อคำสอนนี้ ก็เหมือนการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน และการอยู่ท้ายหางมังกร ย่อมดีกว่าหัวสุนัข

เอกสาร ไปญี่ปุ่น
การเตรียมเอกสารนั้น เราอาจจะแนะนำให้มากไม่ได้ จะมีก็แต่ list ที่ต้องเตรียมคร่าวๆ เพราะแต่ละเอเยนซี่ที่คุณไป ก็มี request ต่างกัน แต่เราแนะนำว่าถ้าจะไป ไปกับโรงเรียนดีที่สุด เพราะพวกเขาจะช่วยคุณสุดความสามรถ และคอยเช็กเอกสารให้เพื่อที่จะผ่านการตรวจของรัฐบาลญี่ปุ่นได้
เราจะเรียบเรียงให้ตามที่เราทำมานะ

ขั้นแรก
เลือกสถาบันที่อยากเรียน

เตรียมเอกสาร

ผู้สมัคร (ทุกอย่างควรที่จะส่งสองแบบ file และ print ออกมา #อย่าลืมเก็บเอกสารทั้งหมดเผื่อภายภาคหน้า# )
- เตรียมเอกสารตามที่โรงเรียนนั้นๆขอ (แต่ละโรงเรียนในญี่ปุ่นก็ขอไม่เหมือนกัน)
- ส่งใบสมัคร และ สำเนาพาสปอร์ต (ในใบสมัครนั้นส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลของตัวผู้เรียนและครอบครัว, รูปถ่าย, ประวัติการศึกษาตั้งแต่ประถม ปีอะไรเดือนอะไร จบเดือนอะไร ปีอะไร, สถาบันที่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ไทย, (สำหรับคนทำงานแล้วด้วยก็มี Job record ว่าเคยทำงานที่ไหนแล้วบ้าง ปีอะไรเดือนอะไร), ค่าสปอนเซอร์ใครจะจ่าย และจ่ายเท่าไหร่ (เพราะถึงแม้คุณจะทำงานพิเศษได้แต่ก็มีชั่วโมงจำกัด), Essay เหตุผลในการเรียนต่อเป็นภาษาอังกฤษ (ทุกคนต้องเขียนและเขียนยากมาก) คนส่วนใหญ่จะตกม้าตายตรงนี้ เพราะต้องเขียนให้ละเอียดและฝ่ายนั้นต้องเซ็นให้ผ่าน มีบางคนที่เรารู้จัก ปรับแก้มามากกว่าสี่รอบก็ยังไม่ได้ ตรงนี้ต้องเขียนให้ดีประมาณ หนึ่งหน้ากระดาษA4 โดยเขียนเป็นเรียงความ แนะนำตัวเอง เรียนที่ไหนมา อยากเรียนที่นั่นเพราะอะไร เหตุผลที่ต้องไปเรียนที่ญี่ปุ่น (เพราะแบบนี้เราเลยอยากให้คุณคิดให้เยอะๆ) เหตุผลที่เลือกโรงเรียนนั้นๆ เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ไหนมาและเรียนมาแบบไหน แผนหลังเรียนจบ (คนส่วนใหญ่ที่ไปต้องมีแผนหลังเรียนจบที่แน่ชัด เพราะเขาจะดูจากตรงนี้ด้วย) แล้วสำคัญมากคือ ทำไมต้องเรียนภาษาญี่ปุ่น. ตอนแรกอาจดูง่ายแต่เราก็ต้องแก้เหมือนกัน โชคดีหน่อยที่โรงเรียนที่เราไปด้วยช่วยได้มากเลยแก้แค่รอบเดียว
- หลักฐานการศึกษาระดับสูง  และ ทรานสคริปผลการเรียน (ตัวจริงภาษาอังกฤษ)
- ใบรับรองการเรียนภาษาญี่ปุ่น ขั้นต่ำ150ชั่วโมง ออกโดยโรงเรียนสอนภาษา
- ใบรับรองการทำงาน ถ้าคุณทำงานอยู่ (ภาษาอังกฤษ)
- สำเนาหนังสือเดินทาง
- สำเนาทะเบียนบ้าน (ภาษาอังกฤษ)
- รูปถ่าย 4x3ซม พื้นหลังสีขาว แต่งตัวสุภาพ 4ใบ

ผู้สนับสนุน (คนจ่ายเงินนั่นเอง) 
- สำเนาหนังสือเดินทาง
- หนังสือรับรองการทำงาน (ภาษาอังกฤษ)
- เอกสารแสดงรายได้ (ภาษาอังกฤษ)
- หนังสือรับรองฐานะทางการเงิน (Bank certificate) (ภาษาอังกฤษ)
- Bank statement ย้อนหลัง1ปี บัญชีส่วนตัวเท่านั้น (ภาษาอังกฤษ)
- ใบทะเบียนบ้าน หรือ สูติบัร

ขั้นสอง
- จ่ายค่าตรวจกับโรงเรียน (กรณีของเราเพราะไปกับโรงเรียน) แถมสิ่งนี้ช่วยให้เราไม่เหนื่อยที่จะต้องเช็กเอกสารเอง + ทางโรงเรียนจะมีคนที่ติดต่อฝั่งญี่ปุ่่นอยู่แล้ว เลยช่วยได้มากเมื่อต้องแก้เอกสาร
ปล. เราจะหาจากในเน็ตก็ได้สำหรับคนที่ไปกับ เอเจนซี่ แต่ก็วัดดวงด้วย เพราะมีเพื่อนที่เคยเจอเอเจนซี่ไม่ดี ก็จะทำอะไรลำบากหน่อย

ขั้นสาม
- รอ COE สองถึงสามเดือนหลังจากที่ส่งเอกสาร เพื่อรอ ตม พิจารณา (เอกสารนี้จับไว้ให้มั่น)
- ก่อน COE ออกให้เริ่มดูหอพักในญี่ปุ่น (ได้COEแล้วถึงจองที่พักได้ เพราะเขาไม่รับคนที่ไม่มีCOEนะ)

ขั้นสี่
- ชำระค่าเล่าเรียน

ขั้นห้า
- โรงเรียนหรือ เอเจนซี่จะส่ง COEและCOAให้ (ต้องมีทั้งสองอันนะ ตอนเข้าประเทศญี่ปุ่นอาจต้องใช้) (พวกตั๋วเครื่องบินและหอพักให้ซื้อหลังจากที่ได้ COE แล้วเท่านั้น เพราะถ้าผลมันออกมาว่าไม่ผ่านเราก็ไปเรียนที่ญี่ปุ่นไม่ได้อยู่ดี)
- นำ COE / COA + เอกสารเพิ่มเติมไปขอวีซ่า

ขั้นหก
- เครียมตัวเดินทางจ้าา (เย้ ตรบมือรั่วๆ) แนะนำให้หาข้อมูลพวกกฎหมายจราจรของญี่ปุ่น ทำประกัน ดูเรื่องภัยพิบัติให้ดี และการทิ้งขยะในญี่ปุ่น การแยกขยะในญี่ปุ่นยากมากนะ เรามาครั้งแรกก็ร้องไห้เพราะแยกขยะไม่ถูกเนี่ยแหละ มันเครียดนะ! เราต้องหาตั้งสี่เวปเพื่อที่จะดูวิธีการทิ้งขยะ TvT (แต่เดี๋ยวทำกระทู้ให้ครั้งหน้า ว่าอะไรต้องทิ้งในถุงไหน แล้วจะมาแนะนำแอปประจำวันที่จะทำให้การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ง่ายขึ้น)

เงิน
เรื่องเงินเป็นสิ่งสำคัญ

เงินที่เตรียมควรมีค่าอะไรบ้าง
- ค่าเข้าเรียน (แต่ละโรงเรียนไม่เท่ากัน) ให้ดูให้ละเอียดว่าเวลาทั้งหมดที่เราไปอยู่มันต้องจ่ายค่าโรงเรียนเท่าไหร่ (วีซ่านักเรียนภาษา ได้แค่สองปี)
- ค่าหอ คำนวจจากระยะเวลาที่อยู่ที่ญี่ปุ่น ก็คูณเอา
- ค่าประกัน
- ค่าจักรยาน ต้องซื้อแน่นอน ไม่มีก็อยู่ยาก (สำหรับคนที่มาเรียนโดยไม่ใช้รถไฟ) แถมมีจักรยานก็ไปได้ทุกที่ + ค่าประกันจักรยาร (แม่เจ้า!! ญี่ปุ่นมีค่าประกันจักรยาร เราก็เพิ่งรู้ตอนมาถึงครั้งแรก)
- ค่าเอกสารของญี่ปุ่น (ค่าทำประกันในประเทศญี่ปุ่น (อันนี้แยกกับประกันของไทย แล้วแต่คนจะซื้อ ประกันญี่ปุ่นที่มาซื้อที่นี่จะให้ส่วนลด70%ถ้าต้องเข้าโรงพยาบาล แนะนำให้ซื้อ, ค่าทำMy number (เท่าที่นึกออกมีแค่นี้) )
- ค่าข้าวของเครื่องใช้ที่เราจะมาซื้อ ตัวอย่างเช่น เตียง, โต๊ะ (อาจเป็นโต๊ะพื้น เราก็ซื้อแบบนี้), ชั้นวางของ (แนะนำอันที่มันเป็นล้อเลื่อนได้ ทำความสะอาดสดวก), ไม้แขวนเสื้อ, ราวตากผ้าเลื่อนได้ (แนะนำ ห้องที่ญี่ปุ่นเล็กมากบางที่อาจมีที่แขวนแต่ก็เล็กไปอยู่ดี ซื้อแบบเลื่อนมาเอามาตากในห้องตอนฤดูหนาวก็ยังได้), ฯลฯ
- ค่าข้าว ที่นี่เมื้อละ500เยน แบบประหยัดนะข้าวเซเว่น ก็คูณเอา / ถ้าเป็นร้านอาหาร แค่ร้านเล็กๆอย่างต่ำก็800เยน / อยู่ประหยัดหน่อยก็ซื้อของมาทำเอง แต่ต้องดูให้ดีนะว่าในอาทิตย์นั้นจะต้องใช้อะไรบ้าง เพราะบางทีของที่ซื้อมาทำอาจแพงกว่าข้าวที่ซื้อทุกวัน
- ค่า IC CARD ควรมี
- ค่าแก๊ชและไฟ (ของเราใช้ประหยัดไม่เกิน3000เยนต่อเดือน และหอเราค่าน้ำฟรี)
- ค่าเน็ต อันนี้หนักสุด เพราะเราใช้wifi บ้าน รวมกับwifi มือถือ 8000เยนต่อเดือน แต่เน็ตแรงไม่มีสะดุด แนะนำ softbank แพงแต่ดีทำก็ง่าย, Rakuten ถูกกว่ามากแต่เพื่อนบอกว่าสดุดบ้าง
- ค่าอื่นๆแล้วแต่คน

ครั้งหน้าจะมาทำ ตอนเข้าตมและสิ่งที่ต้องทำทันทีหลังถึงญี่ปุ่น

หวังว่าสิ่งนี้จะช่วยท่านได้ไม่มากก็น้อย  เม่าเนิร์ด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่