lucid dreaming เป็นเรื่องจริงที่ผมก็ทำการทดลองกับตัวเอง นักวิทยาศาสตร์ตั้งทฤษฏีขึ้นถึงปัจจัยภายในความฝัน แต่ที่ผมทำการทดลองคือปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดlucid dreamingขึ้นโดยใช้เวลานานเป็นปี ผ่านการทดลองกับสถาณการณ์ต่างๆจนกระทั่งบังเอิญค้นพบวิธีที่ทำให้เกิดLucid dreamingขั้น
และเงื่อนไขต่างๆก็มาจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวผมเองเท่านั้น
1.จะต้องอยู่ในสภาพง่วงจัดแบบเดียวกับเผลอหลับในห้องเรียน เพราะ จะต้องหลับฝัน"ทันที"ที่หลับตาลง
2.ตั้งเวลาตื่นไว้ที่20นาที(อาจเป็นเวลาเฉพาะของผม) เพราะ ไม่สามารถlucid dreamingถ้าไม่ตั้งเวลาตื่นไว้(ยังไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงต้องจับเวลา)
-เคยตั้งไว้15นาทีและทำได้แต่ไม่เคยตั้งไว้น้อยกว่านั้น
-ตั้งนานกว่า20นาทีผลคือ ไม่เกิดlucid dreaming(กุหลับจริงด้วยไงประเด็นตั้งไว้25นาทีตื่นอีกที2ชั่วโมงต่อมา)
3.ไม่สามารถทำLucid dreamingต่อเนื่องหรือหลังตื่นได้ เพราะ จากข้อ1จะต้องเป็นสภาพง่วงมากๆจึงไม่สามรถทำได้หลังจากนอนหลับไปแล้วได้
วิธีที่บอกไว้มีอัตตราการเกิดLucid dreamingถึง80%รวมถึงการที่ตัวผมไม่สามราถทำตามเงื่อนไขที่1ได้
สภาพหลังจากLucid dreamingและข้อที่ควรรู้และไม่ควรทำ ที่เกิดกับตัวผมเองจึงไม่สามารถการันตีได้ว่าคนอื่นจะทำได้หรือทำไม่ได้
1.ความรู้สึกตอนอยู่ในสภาพlucid dreamingยังไม่แน่ชัด แต่คาดว่าจะรู้สึกเหมือนกำลังลอยตัวอยู่ตลอดเวลา(เคยรู้สึกด้วยว่าตัวเองอ้าปากอยู่แล้วพยายามปิดปาก แต่จะทำไรได้ก็ฝันอยู่อะ555)
2.ในฝันเราจะมีแค่สัญชาตญาณไม่สามารถใช้ความคิดได้(จากเรื่องของคนอื่นผมอาจทำไม่ได้เองหรืออาจทำยังไม่ได้)
3.ถ้าเราฝืนใช้ความคิดความฝันจะมืดลงหรือแสดงออกในลักษณะการตาบอด จนกว่าเราจะหยุดคิด(อาจเป็นเพราะเราไม่สามรถคิดระหว่างหลับได้ตั้งแต่แรกแล้ว)
4.เราไม่สามารถควบคุมความฝันได้แบบที่คนอื่นพูดกันได้(ผมอาจทำไม่ได้เอง) เพราะการควบคุมเราต้องพึ่งพาความคิดจึงไปผิดกับข้อที่3
5.ความรู้สึกในฝันจะเป็นของจริงทั้งเจ็บปวด สัมผัส ความกลัว แม้กระทั่งเสียวก็ของจริง(เรื่องนี้ผมคิดว่ามันแล้วแต่สมองคนเราว่าจะจำลองความรู้สึกได้ดีมากแค่ไหน)
6.โปรดระวังสภาพจิตของคุณ สำหรับผมมีความมั่นใจว่าตอนไหนตื่นตอนไหนฝัน จึงไม่กระทบกับชึวิตประจำวัน แต่สำหรับคนขี้ระแวงอาจเกิดการสับสนระหว่างฝันและโลกความเป็นจริงได้ แม้แต่ผมก็เคยสับสนเหมือนกัน
7.เรื่องน่าขนลุกอยู่ขณะอยู่ในสภาพlucid dreamingคือ เราไม่สามารถสั่งการให้ตัวเองตื่นได้จนกว่าจะมีปัจจัยอื่นมาปลุก(เสียงนาฬิกาปลุก)จากข้อ2
8.เราจะสั่งการให้ตัวเองตื่นได้แต่ไม่ใช่การตื่นจริงๆแต่จะแสดงออกแบบฝันซ้อนฝัน เราจะรู้ว่าตัวเองตื่นจริงๆก็ต่อเมื่อเราตื่นจากเสียงของนาฬิกาปลุก
9.อย่าได้ลองดีไปบอกคนอื่นว่านี่คือฝัน มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับแต่อย่างใดแต่มันเกี่ยวกับข้อ2.สัญชาตญาณ คุณจำมาแบบไหนสิ่งนั้นจะเกิดกับคุณ(กรณีของผมคือถูกคนทั้งหมู่บ้านตามล่า แบบตามล่าแม่มดอะไรแบบนั้นเลย)
10.ในกรณีที่ฝันร้าย ช่วยไม่ได้นะครับ ความรู้สึกเรื่องเวลาในฝันมันจะนานกว่าโลกความจริง ทำได้แค่ต้องทนทุกทรมาณจนกว่าเสียงนาฬิกาปลุกจะดังขึ้นในอีก20นาทีท
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นการทดลองที่ได้ผลกับตัวผมเองส่วนวิธีการฝึกยังไม่แน่ชัดเพราะอย่างที่บอกไปว่าผมบังเอิญค้นพบ
แต่วิธีที่ผมใช้ฝึกทำคือให้ความรู้สึกว่าอยากlucid dreamingจริงๆให้มันซึมซับเข้าไปในส่วนลึกของสมองและนึกถึงฝันให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ผมจะไม่หยุดทดลองค้นคว้าจนกว่าจะควบคุมมันได้สมบูรณ์
Lucid dreaming หรือ การรู้ตัวว่าฝัน(ที่เกิดขึ้นกับผมเอง)
และเงื่อนไขต่างๆก็มาจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวผมเองเท่านั้น
1.จะต้องอยู่ในสภาพง่วงจัดแบบเดียวกับเผลอหลับในห้องเรียน เพราะ จะต้องหลับฝัน"ทันที"ที่หลับตาลง
2.ตั้งเวลาตื่นไว้ที่20นาที(อาจเป็นเวลาเฉพาะของผม) เพราะ ไม่สามารถlucid dreamingถ้าไม่ตั้งเวลาตื่นไว้(ยังไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงต้องจับเวลา)
-เคยตั้งไว้15นาทีและทำได้แต่ไม่เคยตั้งไว้น้อยกว่านั้น
-ตั้งนานกว่า20นาทีผลคือ ไม่เกิดlucid dreaming(กุหลับจริงด้วยไงประเด็นตั้งไว้25นาทีตื่นอีกที2ชั่วโมงต่อมา)
3.ไม่สามารถทำLucid dreamingต่อเนื่องหรือหลังตื่นได้ เพราะ จากข้อ1จะต้องเป็นสภาพง่วงมากๆจึงไม่สามรถทำได้หลังจากนอนหลับไปแล้วได้
วิธีที่บอกไว้มีอัตตราการเกิดLucid dreamingถึง80%รวมถึงการที่ตัวผมไม่สามราถทำตามเงื่อนไขที่1ได้
สภาพหลังจากLucid dreamingและข้อที่ควรรู้และไม่ควรทำ ที่เกิดกับตัวผมเองจึงไม่สามารถการันตีได้ว่าคนอื่นจะทำได้หรือทำไม่ได้
1.ความรู้สึกตอนอยู่ในสภาพlucid dreamingยังไม่แน่ชัด แต่คาดว่าจะรู้สึกเหมือนกำลังลอยตัวอยู่ตลอดเวลา(เคยรู้สึกด้วยว่าตัวเองอ้าปากอยู่แล้วพยายามปิดปาก แต่จะทำไรได้ก็ฝันอยู่อะ555)
2.ในฝันเราจะมีแค่สัญชาตญาณไม่สามารถใช้ความคิดได้(จากเรื่องของคนอื่นผมอาจทำไม่ได้เองหรืออาจทำยังไม่ได้)
3.ถ้าเราฝืนใช้ความคิดความฝันจะมืดลงหรือแสดงออกในลักษณะการตาบอด จนกว่าเราจะหยุดคิด(อาจเป็นเพราะเราไม่สามรถคิดระหว่างหลับได้ตั้งแต่แรกแล้ว)
4.เราไม่สามารถควบคุมความฝันได้แบบที่คนอื่นพูดกันได้(ผมอาจทำไม่ได้เอง) เพราะการควบคุมเราต้องพึ่งพาความคิดจึงไปผิดกับข้อที่3
5.ความรู้สึกในฝันจะเป็นของจริงทั้งเจ็บปวด สัมผัส ความกลัว แม้กระทั่งเสียวก็ของจริง(เรื่องนี้ผมคิดว่ามันแล้วแต่สมองคนเราว่าจะจำลองความรู้สึกได้ดีมากแค่ไหน)
6.โปรดระวังสภาพจิตของคุณ สำหรับผมมีความมั่นใจว่าตอนไหนตื่นตอนไหนฝัน จึงไม่กระทบกับชึวิตประจำวัน แต่สำหรับคนขี้ระแวงอาจเกิดการสับสนระหว่างฝันและโลกความเป็นจริงได้ แม้แต่ผมก็เคยสับสนเหมือนกัน
7.เรื่องน่าขนลุกอยู่ขณะอยู่ในสภาพlucid dreamingคือ เราไม่สามารถสั่งการให้ตัวเองตื่นได้จนกว่าจะมีปัจจัยอื่นมาปลุก(เสียงนาฬิกาปลุก)จากข้อ2
8.เราจะสั่งการให้ตัวเองตื่นได้แต่ไม่ใช่การตื่นจริงๆแต่จะแสดงออกแบบฝันซ้อนฝัน เราจะรู้ว่าตัวเองตื่นจริงๆก็ต่อเมื่อเราตื่นจากเสียงของนาฬิกาปลุก
9.อย่าได้ลองดีไปบอกคนอื่นว่านี่คือฝัน มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับแต่อย่างใดแต่มันเกี่ยวกับข้อ2.สัญชาตญาณ คุณจำมาแบบไหนสิ่งนั้นจะเกิดกับคุณ(กรณีของผมคือถูกคนทั้งหมู่บ้านตามล่า แบบตามล่าแม่มดอะไรแบบนั้นเลย)
10.ในกรณีที่ฝันร้าย ช่วยไม่ได้นะครับ ความรู้สึกเรื่องเวลาในฝันมันจะนานกว่าโลกความจริง ทำได้แค่ต้องทนทุกทรมาณจนกว่าเสียงนาฬิกาปลุกจะดังขึ้นในอีก20นาทีท
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นการทดลองที่ได้ผลกับตัวผมเองส่วนวิธีการฝึกยังไม่แน่ชัดเพราะอย่างที่บอกไปว่าผมบังเอิญค้นพบ
แต่วิธีที่ผมใช้ฝึกทำคือให้ความรู้สึกว่าอยากlucid dreamingจริงๆให้มันซึมซับเข้าไปในส่วนลึกของสมองและนึกถึงฝันให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ผมจะไม่หยุดทดลองค้นคว้าจนกว่าจะควบคุมมันได้สมบูรณ์