อยากปรึกษาค่ะ มั่นใจว่าแม่หลายๆ คนเคยผ่านจุดนี้ เราเป็นอีกคนที่ยังลังเลและใกล้จะต้องตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง อยากให้ทุกคนช่วยคิดบนพื้นฐานข้อมูลของเราเนื่องจากแต่ละบ้านคงมีเหตุปัจจัยที่แตกต่างกันไป ซึ่งของเรามีปัจจัยดังนี้ค่ะ
หากเลือก ลาออก ,,
ต้องตัดใจจากงาน จากเงินเดือน และสังคม แต่สิ่งที่ได้คือดูแลลูก 100% สามีไฟเขียวแล้ว ในขณะที่เราก็เตรียมเงินสำรองสำหรับเลี้ยงดูลูก 2 ปี 300,000฿ เท่ากับว่าต้องใช้เดือนละ 12,500 ไม่เกินนี้ และสำรองอีก 300,000฿ ไว้เผื่อฉุกเฉิน ในขณะเดียวกันก็ต้องหางานเสริมทำไปด้วย แลกกับเงิน 1.2ล้านที่หายไป(เงินเดือน2ปี+โบนัส) เพื่อมาดูลูกเอง อย่างว่า ถ้าเวลาผ่านไปแล้ว จะกี่ล้านก็ซื้อคืนไม่ได้ ลูกเป็นเด็กแค่ครั้งเดียว และช่วงที่สำคัญที่สุดคือ 1-3 ปีแรก ฐานพีระมิดยิ่งแข็งแรงเท่าไหร่ได้ยิ่งดี ลูกเข้าโรงเรียนแล้วค่อยรับงานเพิ่มขึ้นก็ยังได้ อีก4ปี แพลนมีน้องคนที่2 เผลอๆ นี่อาจจะเป็นการก้าวออกมาจากงานประจำอย่างถาวร เพื่อเข้าสู่โหมดเจ้าของธุรกิจ หรือมันถึงเวลาแล้วจริงๆ 7ปีกับการทำงานประจำเพื่อก้าวสู่เจ้าของธุรกิจ และแม่ที่ได้ดูแลคุณภาพชีวิตลูก100% ได้ใช้ชีวิตและทำกิจกรรมร่วมกันแบบจุใจ สายสัมพันธ์แน่นแฟ้น และเป็นการก้าวออกจากเซฟโซนครั้งใหญ่ในชีวิต
หากเลือก ทำงานต่อ ,,
ในทางกลับกัน ถ้ายังกอดงานไว้ เงินเดือนอาจจะแตะถึง 50,000 เท่ากับว่า 2 ปีเราจะทำเงินได้จากงานประจำ 1.2m. ซึ่งก็เป็นเงินจำนวนเยอะพอสมควร มีงาน มีเงิน มีสังคม ไม่ต้องเอาเงินเก็บออกมาใช้ แต่ต้องฝากย่าเลี้ยงลูก 4 วัน สลับกับเราได้เลี้ยงอีก 3 วัน (เสาร์ ทิต พุธ) มีโอกาสได้ดูแลน้องหลังเลิกงานทุกวัน และมีเงินเก็บสวยๆ ไปด้วย ต้องปิดตาข้างหนึ่งเพราะวิธีการเลี้ยงของย่าอาจจะไม่ถูกใจเราเท่าไหร่นัก ต้องยอมรับให้ได้ ได้ดูแลลูก50%ทำงาน50% ยังพอมีตัวตนและเป็นแม่ที่มีอยู่จริงได้บ้าง ทางเลือกนี้เซฟเรื่องเงินมากๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเลย สามีไม่แบกภาระฝ่ายเดียว (ซึ่งเขาโอเคกับทั้งสองทางเลือก) 3ปีน้องจะมีโค้ช2คนย่าและแม่ อาจจะคอนโทลน้องไม่ได้100% ทำงานต้องรีบกลับบ้างทีก็รู้สึกว่าทำงานหยาบขึ้น รีบทำ รีบกลับ ต้องเดินทางแต่เช้ามืด พลาดโอกาสในการมอร์นิ่งลูก กลับมาส่งเข้านอน แทบไม่ได้ทำกิจกรรมอื่นๆ (ยกเว้นวันหยุดแม่) มันเพียงพอไหมนะ ถ้าเลือกทางนี้ต้องปล่อยวางหลายๆ อย่าง และยอมรับมั่นใจในตัวย่า ทำงานอีกสัก 3-4 ปี เก็บเงินอีกสักก้อน แพลนมีคนที่สองค่อยออกมาฟลูไทม์อาจจะปลอดภัยกว่า หรือเปล่า?
ลังเลเหลือเกินค่ะ ลึกๆ เราคงมีคำตอบในใจอยู่แล้วเพียงแต่ช่วงตัดสินใจมันลังเล หาข้อมูลบลาๆ อยากฟังความคิดเหตุขอผู้มีประสบการณ์มาก่อน หรือมีข้อแนะนำเพิ่มเติมช่วยไกท์ทางให้กับแม่คนนี้หน่อยค่ะ
อยากลาออกมาเลี้ยงลูก
หากเลือก ลาออก ,,
ต้องตัดใจจากงาน จากเงินเดือน และสังคม แต่สิ่งที่ได้คือดูแลลูก 100% สามีไฟเขียวแล้ว ในขณะที่เราก็เตรียมเงินสำรองสำหรับเลี้ยงดูลูก 2 ปี 300,000฿ เท่ากับว่าต้องใช้เดือนละ 12,500 ไม่เกินนี้ และสำรองอีก 300,000฿ ไว้เผื่อฉุกเฉิน ในขณะเดียวกันก็ต้องหางานเสริมทำไปด้วย แลกกับเงิน 1.2ล้านที่หายไป(เงินเดือน2ปี+โบนัส) เพื่อมาดูลูกเอง อย่างว่า ถ้าเวลาผ่านไปแล้ว จะกี่ล้านก็ซื้อคืนไม่ได้ ลูกเป็นเด็กแค่ครั้งเดียว และช่วงที่สำคัญที่สุดคือ 1-3 ปีแรก ฐานพีระมิดยิ่งแข็งแรงเท่าไหร่ได้ยิ่งดี ลูกเข้าโรงเรียนแล้วค่อยรับงานเพิ่มขึ้นก็ยังได้ อีก4ปี แพลนมีน้องคนที่2 เผลอๆ นี่อาจจะเป็นการก้าวออกมาจากงานประจำอย่างถาวร เพื่อเข้าสู่โหมดเจ้าของธุรกิจ หรือมันถึงเวลาแล้วจริงๆ 7ปีกับการทำงานประจำเพื่อก้าวสู่เจ้าของธุรกิจ และแม่ที่ได้ดูแลคุณภาพชีวิตลูก100% ได้ใช้ชีวิตและทำกิจกรรมร่วมกันแบบจุใจ สายสัมพันธ์แน่นแฟ้น และเป็นการก้าวออกจากเซฟโซนครั้งใหญ่ในชีวิต
หากเลือก ทำงานต่อ ,,
ในทางกลับกัน ถ้ายังกอดงานไว้ เงินเดือนอาจจะแตะถึง 50,000 เท่ากับว่า 2 ปีเราจะทำเงินได้จากงานประจำ 1.2m. ซึ่งก็เป็นเงินจำนวนเยอะพอสมควร มีงาน มีเงิน มีสังคม ไม่ต้องเอาเงินเก็บออกมาใช้ แต่ต้องฝากย่าเลี้ยงลูก 4 วัน สลับกับเราได้เลี้ยงอีก 3 วัน (เสาร์ ทิต พุธ) มีโอกาสได้ดูแลน้องหลังเลิกงานทุกวัน และมีเงินเก็บสวยๆ ไปด้วย ต้องปิดตาข้างหนึ่งเพราะวิธีการเลี้ยงของย่าอาจจะไม่ถูกใจเราเท่าไหร่นัก ต้องยอมรับให้ได้ ได้ดูแลลูก50%ทำงาน50% ยังพอมีตัวตนและเป็นแม่ที่มีอยู่จริงได้บ้าง ทางเลือกนี้เซฟเรื่องเงินมากๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเลย สามีไม่แบกภาระฝ่ายเดียว (ซึ่งเขาโอเคกับทั้งสองทางเลือก) 3ปีน้องจะมีโค้ช2คนย่าและแม่ อาจจะคอนโทลน้องไม่ได้100% ทำงานต้องรีบกลับบ้างทีก็รู้สึกว่าทำงานหยาบขึ้น รีบทำ รีบกลับ ต้องเดินทางแต่เช้ามืด พลาดโอกาสในการมอร์นิ่งลูก กลับมาส่งเข้านอน แทบไม่ได้ทำกิจกรรมอื่นๆ (ยกเว้นวันหยุดแม่) มันเพียงพอไหมนะ ถ้าเลือกทางนี้ต้องปล่อยวางหลายๆ อย่าง และยอมรับมั่นใจในตัวย่า ทำงานอีกสัก 3-4 ปี เก็บเงินอีกสักก้อน แพลนมีคนที่สองค่อยออกมาฟลูไทม์อาจจะปลอดภัยกว่า หรือเปล่า?
ลังเลเหลือเกินค่ะ ลึกๆ เราคงมีคำตอบในใจอยู่แล้วเพียงแต่ช่วงตัดสินใจมันลังเล หาข้อมูลบลาๆ อยากฟังความคิดเหตุขอผู้มีประสบการณ์มาก่อน หรือมีข้อแนะนำเพิ่มเติมช่วยไกท์ทางให้กับแม่คนนี้หน่อยค่ะ