สวัสดีค่ะวันนี้จะมานำเสนออุทาหรณ์สอนใจภัยจากคนใกล้ตัวนะคะ
เรื่องนี้เกี่ยวกับการโดนเพื่อนชักชวนให้ไปทำงานต่างประเทศแล้วโดนมิจฉาชีพหลอก จนนำไปสู่ความแตกหักระหว่างเพื่อนค่ะ
เพื่อนคนนี้เป็นคนที่เข้ามาเทรนงานพร้อมกัน(รู้จักกัน4เดือน) เขาชอบพูดว่าตัวเองเคยไปทำงานที่ต่างประเทศมาหลายประเทศแล้ว มีประสบการ์ณมากมาย ดูออกว่าใครเป็นมิจหรือใครที่พาไปจริงๆ
หลังจากนั้นเขาชวนเราไปทำงานต่างประเทศกับเขาค่ะ โดยเขาบอกว่าคนที่ติดต่อมานี้เคยพาเพื่อนเขาไปทำงานที่ประเทศโปแลนด์มาแล้ว คนนี้ของจริงเพราะคนพาไปเป็นทำงานกรมแรงงาน
ขั้นแรกเขาบอกว่ามีค่าใช้จ่าย15,900บาทถ้วน ไม่มีอะไรเพิ่มเติมอีก ด้วยความอยากไปบวกกับความเชื่อใจเพื่อนในตอนนั้นเราก็ตัดสินใจที่จะไปกับเขาค่ะ ได้ทำการส่งเอกสารต่างๆไปให้ และเขาบอกให้ชำระเงินภายใน4ทุ่มของวันนั้นและเอกสารจากนายจ้างจะมาเพิ่มเติมในวันถัดไป
ด้วยความอยากเช็คให้แน่ใจเราเลยแอดไลน์และโทรคุยกับเอเจนที่จะพาไป เราก็ลังเลกลัวโดนหลอกเลยถามเพื่อนหลายรอบว่าเชื่อใจได้ใช่ไหม เพื่อนเราก็บอกว่าพวกเอเจนซี่เป็นแบบนี้ทุกคนนั้นแหละ เขาไปมาด้วยหลายเจ้ามันก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น พอคุยแล้วดูไม่มีปัญหาอะไรทำให้เราหลงเชื่อสนิท
(คิดย้อนไปเราพลาดมากค่ะ ความโลภบังตา เราน่าจะขอรายละเอียดและสอบถามให้ดีกว่านี้)
*15,900บาทเป็นค่าตรวจโรคและค่ากงศุล
เวลา3ทุ่ม40 เราเลิกงาน เพื่อนก็รีบบอกให้โอนเงินไปให้เอเจนเป็นจำนวน15,900บาท ให้รีบโอนเพราะระบบจะปิดแล้ว และเขาได้ทำการโอนไปแล้วตอนนี้รอเราอยู่คนเดียวเพราะจะต้องส่งเอกสารเพิ่มเติมอีก
ด้วยความกลัวว่าจะไม่ทันเราเลยกดโอนไปเลยที่เดียวตามจำนวนเงินที่เขาบอกแต่ธนาคารไม่ให้โอนเพราะโดนจำกัดยอดการโอนไว้ เพื่อนก็เลยบอกให้แบ่งโอนทีละ5,000บาท เราก็ทำตามที่เขาบอกและโอนไป15,000 ต่อมาเพื่อนเลยเอีตื่อนว่าให้โอนอีก900เพราะเงินขาดไป เราก็โอนเพิ่มตามที่เขาบอกจนครบจำนวนเงินทตกลงกัน
เช้าวันต่อมาเอกสารไม่มาตามที่คุยกันไว้ ทางเอเจนได้สร้างไลน์กลุ่มแล้วบอกให้เราโอนเพิ่มไปอีก5,000บาทถึงจะได้เอกสาร เราไม่ยอมโอน พวกเราถือสายคุยกันได้4ชั่วโมง เนื้อความว่าตอนนี้เพื่อนเราจ่ายครบแล้วมีแต่เราคนเดียวที่ไม่ยอมจ่ายทำให้คนอื่นล่าช้าไปหมด และเพื่อนเราได้บอกว่า"ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะโอนนะ ให้มันรู้ๆกันไปเลยว่าสรุปยังไง เพราะตอนนี้รอเธอคนเดียวฉันโอนแล้ว" ด้วยความเสียดายเงินตอนนั้นก็ทำให้เราตัดสินใจโอนไปอีก5,000 จนตอนนี้จากที่คุยกันว่าจ่ายแค่15,900 ก็กลายเป็น20,900
ทางเอเจนบอกให้รอช่วงบ่ายเดี๋ยวจะดึงเข้ากลุ่มไลน์และนายจ้างจะติดต่อมาพร้อมเอกสาร
(ในระหว่างที่คุยกันเราทักถามเพื่อนในไลน์ตลอดว่าสรุปยังไง ได้โอนไหม เชื่อใจได้จริงหรอแต่เขาก็ไม่อ่านไม่ตอบเลย)
ตกบ่ายวันนั้นยังไม่มีวี่แว่วการตอบกลับมาหรือเอกสารใดๆ เราเร่งให้เพื่อนไปถามแต่เขานิ่งเฉยและบอกว่ารอก่อนสิ เรารอไม่ไหวเลยโทรถามแต่เอเจนวีนใส่และบอกว่าอย่าเร่ง
สักพักเอเจนโทรมาและบอกว่าให้โอนค่าประกันตั๋วเครื่องบินเพิ่มไปอีก10,000 เราก็ด่าไปเลย จะบ้าหรอจ่ายไปตั้งขนาดนั้นจะให้มาจ่ายเพิ่มอีก เราเลยบล็อคเอเจนทิ้งทันที
ต่อมาทางเอเจนก็ได้ติดต่อไปหาเพื่อนเรา เพื่อนเราจึงบอกให้เราปลดบล็อกเอเจนแล้วลองคุยกับเขาดูก่อน เราปฏิเสธเสียงแข็งแต่เพื่อนก็ยังยื่นมือถือของเขาที่มีเอเจนอยู่ในสายมาให้เรื่อยๆเราจึงเดินหนี
เพื่อนตัดสินใจจะไปหาเอเจนที่กรุงเทพในวันนัดตรวจโรค โดยก่อนไปเขามีการชักชวนและตอแยเราตลอดเวลาว่าให้เราไปกับเขา เขาถามว่า"เธอไม่เสียดายเงินหรอ ก็ไปพร้อมกันให้มันรู้ไปเลยว่าสรุปจริงไหม ถ้าเจอเขาเราจะได้รู้" แต่จุดนั้นเราบอกตามตรงว่าถึงจะได้ไปจริงก็ไม่อยากไปแล้วเพราะไม่รู้จะได้ไปทำงานแบบที่เราคิดจริงไหม
เราปฏิเสธและบอกให้เพื่อนรายงานข่าวด้วยว่าสรุปยังไงกันแน่ ได้ไปจริงไหมแล้วเอเจนเป็นอย่างไรบ้าง
ผ่านมา2วันเพื่อนขาดการติดต่อ เราทักไลน์ไปในวันที่หนึ่งและสองแต่เขาไม่อ่านไม่ตอบ ด้วยความกังวลเราเลยโทรถามเพื่อนอีกคนที่มาเทรนงานด้วยกันว่าติดต่อเพื่อนเราได้ไหม เพื่อนคนนั้นติดต่อไปและเพื่อนของเราก็ตอบกลับเขาทันที
เราเริ่มตะหงิดใจ ทำไมทีเราเขาไม่ตอบ แล้วกับอีกคนที่แถบไม่ได้ติดต่อกันเขาถึงตอบกลับได้ทันที และเขาได้บอกอีกว่าเขาไม่ได้ไปกรุงเทพแล้วเพราะแฟนบอกว่ามันน่าสงสัยเลยตัดสินใจไม่ไป แต่ตอนเราติดต่อเขาไม่ได้ทำไมเขาไม่กลับมารายงานเราว่าไม่ได้ไปกรุงเทพแล้วทั้งๆที่เขาก็รู้ว่าเรารอฟังข่าวอยู่
เวลาผ่านไปจนเข้าววันที่6
เพื่อนเรากลับมาทำงานพร้อมความอารมณ์ดีและร่าเริง เข้ามาทักทายเราตามปกติแซวเล่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเราต้องจี้ถามเขาเรื่องเอเจนและเราพบว่าแท้จริงแล้วเพื่อนเราโอนเงินไปแค่5,000บาท
เราโมโห ถามเขาว่าทำไมเขาไม่บอกเราว่าเขาโอนไปแค่นั้น ให้เราโอนเยอะทำไม
เขาบอกว่าเขาไม่รู้ว่าเราโอนไปเยอะขนาดนั้น แต่ทุกคนจำได้ใช่ไหมที่เราบอกว่าเขาเป็นคนบอกเองแท้ๆว่าเขาโอนแล้วและให้เรารีบโอนเงินไป15,900บาท เขาบอกเองด้วยซ้ำว่าเราโอนขาดไป900 แล้วตอนนี้บอกว่าไม่รู้มันฟังไม่ขึ้น
วันที่7
เราตัดสินใจถามเขาตรงๆ เราชวนเขาไปแจ้งความแต่เขาบอกไม่ไป ถ้าจะไปก็ไปคนเดียวเพราะเขาจะไปกับเอเจนคนนี้อยู่ เราเลยถามไปว่าไหนแฟนบอกไม่ให้ไป เขาก็ตอบกลับมาว่ามีคนทักมาเพิ่มเป็นคนที่ได้ไปตรวจโรควันที่เราไม่ได้ไป เดี๋ยวเขาจะตามไปอีกรอบและได้ทิ้งท้ายด้วยการชักชวนให้เราไปกับเขาอีก เราก็ปฏิเสธ ตอนนี้เรื่องใหญ่แล้ว เพื่อนก็โกหกพูดกลับไปมา
เราถามเขาอีกรอบว่าทำไมไม่บอกเราเลยว่าตัวเองโอนไปแค่นั้น เขาโมโหแล้วตอบกลับ"มันไม่ใช่หน้าที่ของฉันที่จะไปคอยดูว่าเธอโอนเท่าไหร่ เธอก็ไม่ถามเองว่าฉันโอนเท่าไหร่แล้วจะมาโทษทำไม แล้วที่ฉันติดต่อไม่ได้สองวันเป็นเพราะว่าฉันไม่ได้ใช้มือถือช่วงนั้น และอีกอย่างที่ฉันไม่ได้บอกว่าไม่ได้ไปกรุงเทพแล้วมันก็เรื่องส่วนตัวของฉัน เธอไม่ต้องรู้"
พอได้ยินแบบนั้นเราอึ้งมาก ได้เห็นธาตุแท้ก็วันนี้
และเขาพูดทิ้งท้ายอีกว่า ถ้าเสียดายเงินก็ไปแจ้งความเลย
จากที่ฟังเรื่องนี้ทุกคนมีความคิดเห็นยังไงบ้างค่ะ ทุกคนคิดว่าเพื่อนเราเป็นพวกเดียวกับมิจฉาชีพหรือเปล่า เขาทำเป็นขบวนการ หรือเพื่อนเราแค่หาข้อแก้ตัว
คิดเห็นยังไงทิ้งคอมเม้นด้านล่างได้เลยนะคะ
+งดซ้ำเติมนะคะแค่นี้ก็เครียดมากพอแล้ว
มิตรภาพสู่มิจฉาชีพ
เรื่องนี้เกี่ยวกับการโดนเพื่อนชักชวนให้ไปทำงานต่างประเทศแล้วโดนมิจฉาชีพหลอก จนนำไปสู่ความแตกหักระหว่างเพื่อนค่ะ
เพื่อนคนนี้เป็นคนที่เข้ามาเทรนงานพร้อมกัน(รู้จักกัน4เดือน) เขาชอบพูดว่าตัวเองเคยไปทำงานที่ต่างประเทศมาหลายประเทศแล้ว มีประสบการ์ณมากมาย ดูออกว่าใครเป็นมิจหรือใครที่พาไปจริงๆ
หลังจากนั้นเขาชวนเราไปทำงานต่างประเทศกับเขาค่ะ โดยเขาบอกว่าคนที่ติดต่อมานี้เคยพาเพื่อนเขาไปทำงานที่ประเทศโปแลนด์มาแล้ว คนนี้ของจริงเพราะคนพาไปเป็นทำงานกรมแรงงาน
ขั้นแรกเขาบอกว่ามีค่าใช้จ่าย15,900บาทถ้วน ไม่มีอะไรเพิ่มเติมอีก ด้วยความอยากไปบวกกับความเชื่อใจเพื่อนในตอนนั้นเราก็ตัดสินใจที่จะไปกับเขาค่ะ ได้ทำการส่งเอกสารต่างๆไปให้ และเขาบอกให้ชำระเงินภายใน4ทุ่มของวันนั้นและเอกสารจากนายจ้างจะมาเพิ่มเติมในวันถัดไป
ด้วยความอยากเช็คให้แน่ใจเราเลยแอดไลน์และโทรคุยกับเอเจนที่จะพาไป เราก็ลังเลกลัวโดนหลอกเลยถามเพื่อนหลายรอบว่าเชื่อใจได้ใช่ไหม เพื่อนเราก็บอกว่าพวกเอเจนซี่เป็นแบบนี้ทุกคนนั้นแหละ เขาไปมาด้วยหลายเจ้ามันก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น พอคุยแล้วดูไม่มีปัญหาอะไรทำให้เราหลงเชื่อสนิท
(คิดย้อนไปเราพลาดมากค่ะ ความโลภบังตา เราน่าจะขอรายละเอียดและสอบถามให้ดีกว่านี้)
*15,900บาทเป็นค่าตรวจโรคและค่ากงศุล
เวลา3ทุ่ม40 เราเลิกงาน เพื่อนก็รีบบอกให้โอนเงินไปให้เอเจนเป็นจำนวน15,900บาท ให้รีบโอนเพราะระบบจะปิดแล้ว และเขาได้ทำการโอนไปแล้วตอนนี้รอเราอยู่คนเดียวเพราะจะต้องส่งเอกสารเพิ่มเติมอีก
ด้วยความกลัวว่าจะไม่ทันเราเลยกดโอนไปเลยที่เดียวตามจำนวนเงินที่เขาบอกแต่ธนาคารไม่ให้โอนเพราะโดนจำกัดยอดการโอนไว้ เพื่อนก็เลยบอกให้แบ่งโอนทีละ5,000บาท เราก็ทำตามที่เขาบอกและโอนไป15,000 ต่อมาเพื่อนเลยเอีตื่อนว่าให้โอนอีก900เพราะเงินขาดไป เราก็โอนเพิ่มตามที่เขาบอกจนครบจำนวนเงินทตกลงกัน
เช้าวันต่อมาเอกสารไม่มาตามที่คุยกันไว้ ทางเอเจนได้สร้างไลน์กลุ่มแล้วบอกให้เราโอนเพิ่มไปอีก5,000บาทถึงจะได้เอกสาร เราไม่ยอมโอน พวกเราถือสายคุยกันได้4ชั่วโมง เนื้อความว่าตอนนี้เพื่อนเราจ่ายครบแล้วมีแต่เราคนเดียวที่ไม่ยอมจ่ายทำให้คนอื่นล่าช้าไปหมด และเพื่อนเราได้บอกว่า"ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะโอนนะ ให้มันรู้ๆกันไปเลยว่าสรุปยังไง เพราะตอนนี้รอเธอคนเดียวฉันโอนแล้ว" ด้วยความเสียดายเงินตอนนั้นก็ทำให้เราตัดสินใจโอนไปอีก5,000 จนตอนนี้จากที่คุยกันว่าจ่ายแค่15,900 ก็กลายเป็น20,900
ทางเอเจนบอกให้รอช่วงบ่ายเดี๋ยวจะดึงเข้ากลุ่มไลน์และนายจ้างจะติดต่อมาพร้อมเอกสาร
(ในระหว่างที่คุยกันเราทักถามเพื่อนในไลน์ตลอดว่าสรุปยังไง ได้โอนไหม เชื่อใจได้จริงหรอแต่เขาก็ไม่อ่านไม่ตอบเลย)
ตกบ่ายวันนั้นยังไม่มีวี่แว่วการตอบกลับมาหรือเอกสารใดๆ เราเร่งให้เพื่อนไปถามแต่เขานิ่งเฉยและบอกว่ารอก่อนสิ เรารอไม่ไหวเลยโทรถามแต่เอเจนวีนใส่และบอกว่าอย่าเร่ง
สักพักเอเจนโทรมาและบอกว่าให้โอนค่าประกันตั๋วเครื่องบินเพิ่มไปอีก10,000 เราก็ด่าไปเลย จะบ้าหรอจ่ายไปตั้งขนาดนั้นจะให้มาจ่ายเพิ่มอีก เราเลยบล็อคเอเจนทิ้งทันที
ต่อมาทางเอเจนก็ได้ติดต่อไปหาเพื่อนเรา เพื่อนเราจึงบอกให้เราปลดบล็อกเอเจนแล้วลองคุยกับเขาดูก่อน เราปฏิเสธเสียงแข็งแต่เพื่อนก็ยังยื่นมือถือของเขาที่มีเอเจนอยู่ในสายมาให้เรื่อยๆเราจึงเดินหนี
เพื่อนตัดสินใจจะไปหาเอเจนที่กรุงเทพในวันนัดตรวจโรค โดยก่อนไปเขามีการชักชวนและตอแยเราตลอดเวลาว่าให้เราไปกับเขา เขาถามว่า"เธอไม่เสียดายเงินหรอ ก็ไปพร้อมกันให้มันรู้ไปเลยว่าสรุปจริงไหม ถ้าเจอเขาเราจะได้รู้" แต่จุดนั้นเราบอกตามตรงว่าถึงจะได้ไปจริงก็ไม่อยากไปแล้วเพราะไม่รู้จะได้ไปทำงานแบบที่เราคิดจริงไหม
เราปฏิเสธและบอกให้เพื่อนรายงานข่าวด้วยว่าสรุปยังไงกันแน่ ได้ไปจริงไหมแล้วเอเจนเป็นอย่างไรบ้าง
ผ่านมา2วันเพื่อนขาดการติดต่อ เราทักไลน์ไปในวันที่หนึ่งและสองแต่เขาไม่อ่านไม่ตอบ ด้วยความกังวลเราเลยโทรถามเพื่อนอีกคนที่มาเทรนงานด้วยกันว่าติดต่อเพื่อนเราได้ไหม เพื่อนคนนั้นติดต่อไปและเพื่อนของเราก็ตอบกลับเขาทันที
เราเริ่มตะหงิดใจ ทำไมทีเราเขาไม่ตอบ แล้วกับอีกคนที่แถบไม่ได้ติดต่อกันเขาถึงตอบกลับได้ทันที และเขาได้บอกอีกว่าเขาไม่ได้ไปกรุงเทพแล้วเพราะแฟนบอกว่ามันน่าสงสัยเลยตัดสินใจไม่ไป แต่ตอนเราติดต่อเขาไม่ได้ทำไมเขาไม่กลับมารายงานเราว่าไม่ได้ไปกรุงเทพแล้วทั้งๆที่เขาก็รู้ว่าเรารอฟังข่าวอยู่
เวลาผ่านไปจนเข้าววันที่6
เพื่อนเรากลับมาทำงานพร้อมความอารมณ์ดีและร่าเริง เข้ามาทักทายเราตามปกติแซวเล่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเราต้องจี้ถามเขาเรื่องเอเจนและเราพบว่าแท้จริงแล้วเพื่อนเราโอนเงินไปแค่5,000บาท
เราโมโห ถามเขาว่าทำไมเขาไม่บอกเราว่าเขาโอนไปแค่นั้น ให้เราโอนเยอะทำไม
เขาบอกว่าเขาไม่รู้ว่าเราโอนไปเยอะขนาดนั้น แต่ทุกคนจำได้ใช่ไหมที่เราบอกว่าเขาเป็นคนบอกเองแท้ๆว่าเขาโอนแล้วและให้เรารีบโอนเงินไป15,900บาท เขาบอกเองด้วยซ้ำว่าเราโอนขาดไป900 แล้วตอนนี้บอกว่าไม่รู้มันฟังไม่ขึ้น
วันที่7
เราตัดสินใจถามเขาตรงๆ เราชวนเขาไปแจ้งความแต่เขาบอกไม่ไป ถ้าจะไปก็ไปคนเดียวเพราะเขาจะไปกับเอเจนคนนี้อยู่ เราเลยถามไปว่าไหนแฟนบอกไม่ให้ไป เขาก็ตอบกลับมาว่ามีคนทักมาเพิ่มเป็นคนที่ได้ไปตรวจโรควันที่เราไม่ได้ไป เดี๋ยวเขาจะตามไปอีกรอบและได้ทิ้งท้ายด้วยการชักชวนให้เราไปกับเขาอีก เราก็ปฏิเสธ ตอนนี้เรื่องใหญ่แล้ว เพื่อนก็โกหกพูดกลับไปมา
เราถามเขาอีกรอบว่าทำไมไม่บอกเราเลยว่าตัวเองโอนไปแค่นั้น เขาโมโหแล้วตอบกลับ"มันไม่ใช่หน้าที่ของฉันที่จะไปคอยดูว่าเธอโอนเท่าไหร่ เธอก็ไม่ถามเองว่าฉันโอนเท่าไหร่แล้วจะมาโทษทำไม แล้วที่ฉันติดต่อไม่ได้สองวันเป็นเพราะว่าฉันไม่ได้ใช้มือถือช่วงนั้น และอีกอย่างที่ฉันไม่ได้บอกว่าไม่ได้ไปกรุงเทพแล้วมันก็เรื่องส่วนตัวของฉัน เธอไม่ต้องรู้"
พอได้ยินแบบนั้นเราอึ้งมาก ได้เห็นธาตุแท้ก็วันนี้
และเขาพูดทิ้งท้ายอีกว่า ถ้าเสียดายเงินก็ไปแจ้งความเลย
จากที่ฟังเรื่องนี้ทุกคนมีความคิดเห็นยังไงบ้างค่ะ ทุกคนคิดว่าเพื่อนเราเป็นพวกเดียวกับมิจฉาชีพหรือเปล่า เขาทำเป็นขบวนการ หรือเพื่อนเราแค่หาข้อแก้ตัว
คิดเห็นยังไงทิ้งคอมเม้นด้านล่างได้เลยนะคะ
+งดซ้ำเติมนะคะแค่นี้ก็เครียดมากพอแล้ว