ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2014-2024) ตลาดหุ้นไทย หรือดัชนี SET Index ดูเหมือนจะ 'ย่ำอยู่กับที่' โดยตลาดเคลื่อนไหวในกรอบประมาณ 1,300-1,800 จุด โดยสิ้นปี 2024 ปิดที่ 1,402 จุด ลดลงจาก 1,416 จุดในสิ้นปี 2023 ซึ่งสะท้อนถึงผลตอบแทนที่ค่อนข้างคงที่และไม่มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม หรืออินโดนีเซีย ที่เติบโตอย่างน่าประทับใจ สถานการณ์นี้เริ่มทำให้นักลงทุนและผู้ติดตามตลาดทุนเริ่มตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นไทย?” และ “เรายังมีโอกาสก้าวหน้าในภูมิภาคนี้อีกหรือไม่?”
เมื่อมองย้อนกลับไป ตลาดหุ้นไทยไม่ได้แสดงถึงการเติบโตที่ชัดเจน โดยผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (CAGR) แทบจะเท่ากับศูนย์ ในขณะที่ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านในอาเซียนเติบโตในระดับที่น่าประทับใจ อย่างเช่น
ตลาดใหม่, การเติบโตของธนาคารและอสังหาฯ
(ไม่นับรวมลาวที่ตลาดเคลื่อนไหวช้า เมียนมาที่มีปัญหาการเมืองทำให้ตลาดไม่เติบโต และบรูไนที่ไม่มีตลาดหุ้น)
เหตุผลที่ตลาดหุ้นไทยไม่โต มาจาก
1.โครงสร้างตลาดที่กระจุกตัว โดยหุ้นในดัชนี SET50 มีสัดส่วนกว่า 70% ของมูลค่าตลาดรวม โดยพึ่งพากลุ่มพลังงาน ธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเติบโตช้าและอิ่มตัว
2.เศรษฐกิจที่โตต่ำ GDP ไทยเติบโตเฉลี่ยเพียง 2-3% ต่อปี ขณะที่เวียดนามโต 6-7% และไทยเองก็มีหนี้ครัวเรือนสูงเกิน 90% ของ GDP ส่งผลต่อการบริโภคภายในประเทศ
3.ความไม่แน่นอนทางการเมือง จากประเด็นความเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลและนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่น
4.ขาดหุ้นในอุตสาหกรรมใหม่ เพราะไทยเองยังขาดหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีหรือธุรกิจนวัตกรรมที่สามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนระยะยาว
และบทเรียนจากตลาดหุ้นเพื่อนบ้านที่เราควรนำเอามาศึกษา คือ
1.เวียดนาม: นับเป็นตลาด The Rising Star เพราะมีการสนับสนุนการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) และการเติบโตของอุตสาหกรรมส่งออกช่วยดันตลาดหุ้นเวียดนามให้เติบโตเร็วที่สุดในอาเซียน
2.อินโดนีเซีย: มีประชากรคือพลัง จากฐานประชากรกว่า 270 ล้านคนช่วยผลักดันการบริโภคในประเทศและสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
3.สิงคโปร์: เสถียรภาพคือจุดเด่น เป็นประเทศตลาดหุ้นเน้นหุ้นที่มีเสถียรภาพ เช่น ธนาคารและ REITs ซึ่งดึงดูดนักลงทุนที่มองหาความมั่นคง
ตลาดหุ้นไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอาจดูเหมือน 'นิ่ง' แต่ก็มีทั้งความท้าทายและโอกาสที่รอการปลดล็อก หากสามารถปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งการเพิ่มความหลากหลายของหุ้นในตลาด สนับสนุนธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยี พลังงานสะอาด และธุรกิจสุขภาพ การดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ การลดข้อจำกัดด้านภาษีและนโยบาย พร้อมสร้างความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเมือง การสร้างนโยบายระยะยาวที่ต่อเนื่อง การเร่งดำเนินโครงการเมกะโปรเจกต์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และผลักดันธุรกิจในประเทศ ก็อาจจะทำให้เราอาจเห็นตลาดหุ้นไทยกลับมาโดดเด่นอีกครั้งในเวทีอาเซียน คำถามสำคัญคือ เราพร้อมจะเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาให้ตลาดหุ้นไทยของเราก้าวหน้าต่อไปหรือยังคะ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02crrjTWC2K7Bp9p6nY1gwZPAevZmPV9F6FgRhGeW6FBHDpAHxV5meHjzQVR4G7h8tl&id=100064606066871&mibextid=NOb6eG
10 ปี ตลาดหุ้นไทย ทำไมยังย่ำอยู่กับที่ ?
เมื่อมองย้อนกลับไป ตลาดหุ้นไทยไม่ได้แสดงถึงการเติบโตที่ชัดเจน โดยผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (CAGR) แทบจะเท่ากับศูนย์ ในขณะที่ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านในอาเซียนเติบโตในระดับที่น่าประทับใจ อย่างเช่น
ตลาดใหม่, การเติบโตของธนาคารและอสังหาฯ
(ไม่นับรวมลาวที่ตลาดเคลื่อนไหวช้า เมียนมาที่มีปัญหาการเมืองทำให้ตลาดไม่เติบโต และบรูไนที่ไม่มีตลาดหุ้น)
เหตุผลที่ตลาดหุ้นไทยไม่โต มาจาก
1.โครงสร้างตลาดที่กระจุกตัว โดยหุ้นในดัชนี SET50 มีสัดส่วนกว่า 70% ของมูลค่าตลาดรวม โดยพึ่งพากลุ่มพลังงาน ธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเติบโตช้าและอิ่มตัว
2.เศรษฐกิจที่โตต่ำ GDP ไทยเติบโตเฉลี่ยเพียง 2-3% ต่อปี ขณะที่เวียดนามโต 6-7% และไทยเองก็มีหนี้ครัวเรือนสูงเกิน 90% ของ GDP ส่งผลต่อการบริโภคภายในประเทศ
3.ความไม่แน่นอนทางการเมือง จากประเด็นความเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลและนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่น
4.ขาดหุ้นในอุตสาหกรรมใหม่ เพราะไทยเองยังขาดหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีหรือธุรกิจนวัตกรรมที่สามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนระยะยาว
และบทเรียนจากตลาดหุ้นเพื่อนบ้านที่เราควรนำเอามาศึกษา คือ
1.เวียดนาม: นับเป็นตลาด The Rising Star เพราะมีการสนับสนุนการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) และการเติบโตของอุตสาหกรรมส่งออกช่วยดันตลาดหุ้นเวียดนามให้เติบโตเร็วที่สุดในอาเซียน
2.อินโดนีเซีย: มีประชากรคือพลัง จากฐานประชากรกว่า 270 ล้านคนช่วยผลักดันการบริโภคในประเทศและสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
3.สิงคโปร์: เสถียรภาพคือจุดเด่น เป็นประเทศตลาดหุ้นเน้นหุ้นที่มีเสถียรภาพ เช่น ธนาคารและ REITs ซึ่งดึงดูดนักลงทุนที่มองหาความมั่นคง
ตลาดหุ้นไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอาจดูเหมือน 'นิ่ง' แต่ก็มีทั้งความท้าทายและโอกาสที่รอการปลดล็อก หากสามารถปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งการเพิ่มความหลากหลายของหุ้นในตลาด สนับสนุนธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยี พลังงานสะอาด และธุรกิจสุขภาพ การดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ การลดข้อจำกัดด้านภาษีและนโยบาย พร้อมสร้างความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเมือง การสร้างนโยบายระยะยาวที่ต่อเนื่อง การเร่งดำเนินโครงการเมกะโปรเจกต์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และผลักดันธุรกิจในประเทศ ก็อาจจะทำให้เราอาจเห็นตลาดหุ้นไทยกลับมาโดดเด่นอีกครั้งในเวทีอาเซียน คำถามสำคัญคือ เราพร้อมจะเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาให้ตลาดหุ้นไทยของเราก้าวหน้าต่อไปหรือยังคะ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02crrjTWC2K7Bp9p6nY1gwZPAevZmPV9F6FgRhGeW6FBHDpAHxV5meHjzQVR4G7h8tl&id=100064606066871&mibextid=NOb6eG