ในฐานะที่ติดตามวงการหนังไทยมานาน
ตั้งแต่ยุคซบเซา มีแต่หนังวัยรุ่น กลาดเกลื่อน แต่ก็ไปสุดในยุคนั้น เช่น ล่องจุ๊น ขอหมอนใบนั้นฯ โลกทั้งใบให้นายคนเดียว 18 ฝนคนอันตราย
จักรยานสีแดง 303 กลัว/กล้า/อาฆาต ฯลฯ มากมาย แต่รายได้ก็ไม่ได้แรง หรือสูงสุดก็ราว 40-50 ล้านบาท
จนการมาถึงของภาพยนตร์ 2499 อันธพาลครองเมือง นางนาก บางระจัน เรื่อยมา จนถึงองค์บาก ต้มยำกุ้ง หนังไทยก็เริ่มเฟื่องฟู
รุ่งเรืองทั้งด้านจำนวน เนื้อหา หลากหลายแนว รวมทั้งทุนสร้าง ไปสุดจนถึงทำเงินในตลาดนานาชาติ
แต่ก็อยู่ภายใต้ตลาดคนดูหนังไทย ที่หนังต่างประเทศ โดยเฉพาะฮอลลีวูด มีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า ในไทยนิยมมากกว่า
หนังไทย ถ้าไม่แรงจริง เพียงแค่ 3 วัน ก็ได้เห็นการลดรอบถอดโรง จนรายได้พ่ายแพ้ และขาดทุนไปในที่สุด
ยกเว้น ตำนานหนึ่งเดียว โหมโรง ที่ยืนระยะจุดกระแสคนรักดนตรีไทย จนทำเงินหลายสัปดาห์ รอดพ้นการขาดทุนไปในที่สุด
แต่รุ่งเรืองแล้วก็ต้องโรยรา หนังไทยผ่านช่วงเวลาดังกล่าว มาหลายรอบ จขกท คิดว่า ปัจจุบัน คงประครองตัว
เพราะผ่านมาเกือบ 30 ปี แล้ว บรรดาหนังฮอลลีวูด เกาหลี ญี่ปุ่น จีน อินเดีย ยุโรป หรือประเทศอื่นทั่วโลก พัฒนางานหนังไปสุดๆ แล้ว
หนังไทย ถ้าไม่พ้นแนวรักโรแมนติก ผี ตลก ก็ยากจะทำเงิน และ จขกท ก็คิดผิด
เพราะในปี 2567 หนังไทยกลับมาได้รับความนิยม สามารถสู้กับหนังจากต่างประเทศ ทำเงินเป็นกอบเป็นกำ
มีหนังไทยหลากหลายแนว ที่แปลกใหม่ และดีไปกว่าทศวรรษที่ผ่านมามากมาย กำไรนักดูหนังคนไทย ที่ก่อนตาย ก็จะได้อิ่มใจว่ามีหนังไทย
ที่เป็นที่รัก ประทับใจอยู่ เช่น หลานม่า วิมานหนาม วัยหนุ่ม 2544 ธี่หยด 2 สัปเหร่อ อนงค์ เป็นต้น
การได้ส่วนแบ่งทางการตลาด เกินกว่าครึ่ง คือ ความนิยมของหนังไทย แต่สาเหตุหลักที่หนังต่างประเทศ เข้าสตรีมมิ่ง แพลตฟอร์มต่าง ๆ
รวดเร็วในเวลาไม่กี่เดือน อาจจะทำให้นักดูหนัง รอที่จะดูในแพลตฟอร์มเหล่านั้น ก็ได้
จขกท ขอบคุณผู้สร้าง ผู้จัดจำหน่ายหนังไทย ทั้งผู้ผลิตเก่า ๆ ผู้ผลิตใหม่ ๆ ที่ช่วยกันพัฒนางาน ทำตลาดกับคนดูหนังคนไทย
ทำให้ศักยภาพของหนังไทยยุคนี้ พัฒนา เป็นที่ชื่นชม และพูดถึงไปในโลกออนไลน์ตลอดไปครับ.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
https://marketeeronline.co/archives/396811
2567 ปีทองของหนังไทย
ตั้งแต่ยุคซบเซา มีแต่หนังวัยรุ่น กลาดเกลื่อน แต่ก็ไปสุดในยุคนั้น เช่น ล่องจุ๊น ขอหมอนใบนั้นฯ โลกทั้งใบให้นายคนเดียว 18 ฝนคนอันตราย
จักรยานสีแดง 303 กลัว/กล้า/อาฆาต ฯลฯ มากมาย แต่รายได้ก็ไม่ได้แรง หรือสูงสุดก็ราว 40-50 ล้านบาท
จนการมาถึงของภาพยนตร์ 2499 อันธพาลครองเมือง นางนาก บางระจัน เรื่อยมา จนถึงองค์บาก ต้มยำกุ้ง หนังไทยก็เริ่มเฟื่องฟู
รุ่งเรืองทั้งด้านจำนวน เนื้อหา หลากหลายแนว รวมทั้งทุนสร้าง ไปสุดจนถึงทำเงินในตลาดนานาชาติ
แต่ก็อยู่ภายใต้ตลาดคนดูหนังไทย ที่หนังต่างประเทศ โดยเฉพาะฮอลลีวูด มีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า ในไทยนิยมมากกว่า
หนังไทย ถ้าไม่แรงจริง เพียงแค่ 3 วัน ก็ได้เห็นการลดรอบถอดโรง จนรายได้พ่ายแพ้ และขาดทุนไปในที่สุด
ยกเว้น ตำนานหนึ่งเดียว โหมโรง ที่ยืนระยะจุดกระแสคนรักดนตรีไทย จนทำเงินหลายสัปดาห์ รอดพ้นการขาดทุนไปในที่สุด
แต่รุ่งเรืองแล้วก็ต้องโรยรา หนังไทยผ่านช่วงเวลาดังกล่าว มาหลายรอบ จขกท คิดว่า ปัจจุบัน คงประครองตัว
เพราะผ่านมาเกือบ 30 ปี แล้ว บรรดาหนังฮอลลีวูด เกาหลี ญี่ปุ่น จีน อินเดีย ยุโรป หรือประเทศอื่นทั่วโลก พัฒนางานหนังไปสุดๆ แล้ว
หนังไทย ถ้าไม่พ้นแนวรักโรแมนติก ผี ตลก ก็ยากจะทำเงิน และ จขกท ก็คิดผิด
เพราะในปี 2567 หนังไทยกลับมาได้รับความนิยม สามารถสู้กับหนังจากต่างประเทศ ทำเงินเป็นกอบเป็นกำ
มีหนังไทยหลากหลายแนว ที่แปลกใหม่ และดีไปกว่าทศวรรษที่ผ่านมามากมาย กำไรนักดูหนังคนไทย ที่ก่อนตาย ก็จะได้อิ่มใจว่ามีหนังไทย
ที่เป็นที่รัก ประทับใจอยู่ เช่น หลานม่า วิมานหนาม วัยหนุ่ม 2544 ธี่หยด 2 สัปเหร่อ อนงค์ เป็นต้น
การได้ส่วนแบ่งทางการตลาด เกินกว่าครึ่ง คือ ความนิยมของหนังไทย แต่สาเหตุหลักที่หนังต่างประเทศ เข้าสตรีมมิ่ง แพลตฟอร์มต่าง ๆ
รวดเร็วในเวลาไม่กี่เดือน อาจจะทำให้นักดูหนัง รอที่จะดูในแพลตฟอร์มเหล่านั้น ก็ได้
จขกท ขอบคุณผู้สร้าง ผู้จัดจำหน่ายหนังไทย ทั้งผู้ผลิตเก่า ๆ ผู้ผลิตใหม่ ๆ ที่ช่วยกันพัฒนางาน ทำตลาดกับคนดูหนังคนไทย
ทำให้ศักยภาพของหนังไทยยุคนี้ พัฒนา เป็นที่ชื่นชม และพูดถึงไปในโลกออนไลน์ตลอดไปครับ.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://marketeeronline.co/archives/396811