เอ็ดเวิร์ด เลมูเอล เขาเป็นนักแสดงที่มีอาการป่วยเป็นโรค neurofibromatosis
เป็นกลุ่มของโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเกิดเนื้องอกได้ง่าย
อาการนี้ส่งผลให้ใบหน้าของเขาเสียโฉมโดยสิ้นเชิง ซึ่งนั่นทำให้เอ็ดเวิร์ดรู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อย
เขาไม่มีความมั่นใจใดๆทั้งสิ้น ท่ามกลางสังคมเมืองใหญ่ ใครๆ ก็มองเขาเหมือนตัวประหลาด
เอ็ดเวิร์ดได้พบกับอิงกริด เพื่อนบ้านสาวผู้มีไมตรี เธอเป็นนักเขียนบทละครเวทีและอยู่ห้องติดกันกับเขา
อิงกริดคอยช่วยเหลือ มาพูดคุยกับชายหนุ่มอยู่เสมอ แน่นอนว่าเอ็ดเวิร์ดรู้สึกดีกับอิงกริด
แต่ด้วยใบหน้าแบบนี้คงไม่มีผู้หญิงคนใดสนใจตัวเขาอย่างแน่นอน
เขาตัดสินใจเขาสู่กระบวนการรักษาทางการแพทย์เพื่อเปลี่ยนใบหน้าของตนให้เหมือนคนปกติ
การรักษาได้ผลดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ใบหน้าของเอ็ดเวิร์ดกลับกลายเป็นเหมือนคนปกติธรรมดาอีกครั้ง (โรคนี้ไม่ได้เป็นตั้งแต่กำเนิด)
เขาดีใจกับใบหน้าใหม่ที่ได้รับและเปลี่ยนตัวตน โดยตั้งชื่อตนเองใหม่ว่าเขาคือ "กาย โมรัตซ์"
และอ้างว่าเขาคือญาติของเอ็ดเวิร์ดที่ฆ่าตัวตายไปนานแล้ว
A Different Man เป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญแนวจิตวิทยา เขียนบทและกำกับโดย Aaron Schimberg
นำแสดงโดย Sebastian Stan, Renate Reinsve และ Adam Pearson
ผลงานการสร้างร่วมกันระหว่าง A24 และ Killer Films เรื่องราวของชายที่มีอาการป่วยเป็นโรคเนื้องอกบนใบหน้า
ต้องการจะมีใบหน้าที่เหมือนคนปกติธรรมดาเพื่อที่จะอยู่ในสังคมได้เหมือนคนทั่วไป
นี่คือหนังเสียดสีสังคมโลกยุคปัจจุบันนี้ที่มีมาตรฐานความงามหรือ Beauty Standard
สิ่งที่วัดคุณค่าความเป็นคนจากภายนอก คุณค่าความงามที่ถูกกำหนดขึ้นจากคนในสังคมใดสังคมหนึ่ง
เช่น ผิวขาว ตาโต จมูกโด่ง ปากอิ่ม หุ่นดี ขาเรียว คือความสมบูรณ์แบบในสายตาของคนหมู่มากในสังคม
แม้ว่าทุกวันนี้เราจะเริ่มยอมรับความแตกต่างทางอัตลักษณ์เฉพาะตัวบุคคลกันได้มากขึ้นแล้วก็ตาม
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนส่วนใหญ่ยังตัดสินกันจากภายนอกที่เห็นนั่นคือ มาตรฐานดังกล่าวที่ถูกตัดสินกันไปแล้วว่ามันดี
จากการโฆษณา จากการประชาสัมพันธ์ จากเรื่องเล่าที่ถูกปลูกฝังหรือจะอะไรกันก็ตามที
จนมันเข้าไปสู่มโนสำนึกของเราทุกคนว่าความงามอันชวนมอง หรือคุณค่าที่คุณคู่ควรนั้นมันเป็นเช่นไร..
ต้องแยกก่อนระหว่างความงามกับสุขภาพร่างกายที่ดีนะครับ เดี๋ยวจะปะปนกัน
โดยประเด็นของตัวเอกของเรื่องเนี่ยเขามีอาการป่วย ดังนั้นเขาจึงอยากจะมีความปกติเหมือนคนอื่น
ซึ่งหากเลือกได้แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากเกิดมาแล้วมีอาการป่วยเช่นนั้น เอ็ดเวิร์ดเขาถึงพยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองดีขึ้น
นั่นคือเรื่องของกายภาพ หากแต่ใจของเขานั้น.. ไม่ได้รับการรักษา
เอ็ดเวิร์ดหน้าตาเปลี่ยนไปเหมือนคนปกติ แต่ใจของเขานั้นกลับมีปมใหญ่เหมือนหลุมดำที่ยากจะเยียวยา
อุปมาได้แค่เขาเปลี่ยนแค่เปลือก แต่แก่นของตนนั้นเขายังเป็นคนเดิมซึ่งแม้ว่าจะเปลี่ยนชีวิตกลายเป็นคนใหม่
แต่ใจตัวเองยังมองโลกในมุมเดิมอยู่ จนการมาถึงของชายปริศนาที่ชื่อว่าออสวอลด์ (Adam Pearson) เข้ามาในชีวิต ..
สิ่งที่อยู่ภายในใจของเอ็ดเวิร์ดจึงระเบิดขึ้นมา
อยากแนะนำให้รู้จักกับ Adam Pearson กันสักนิดครับ เขาคนนี้เป็นนักแสดงชายชาวอังกฤษ
ป่วยด้วยโรค neurofibromatosis ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ มีเนื้องอกเติบโตบนเนื้อเยื่อเส้นประสาทที่ใบหน้า
แต่เขาไม่ย่อท้อกับชีวิต เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Brighton ในสาขาการจัดการธุรกิจ
ทำงานผลิตรายการโทรทัศน์ให้กับ BBC ทำงานเบื้องหลังให้กับซีรี่ย์และรายการโทรทัศน์มากมาย
(คือสังคมที่นั่นเค้าเปิดกว้างให้กับคนมีความสามารถ โดยไม่สนใจว่าใบหน้าจะเป็นยังไงด้วยล่ะ)
เจ้าตัวเล่นหนังเรื่องแรกคือ Under the Skin ในปี 2013 ก่อนจะมาร่วมงานกับ Aaron Schimberg ผู้กำกับหนังเรื่องนี้
ในหนังโรแมนติกดราม่าเรื่อง Chained for Life ในปี 2019 และทั้งคู่ก็มาทำงานด้วยกันอีกครั้งใน A Different Man
เพียร์สันมองโลกในแง่ดี เขามีความสุขกับทุกอย่างรอบตัวไม่สนใจว่าใครจะมองว่าเขาเป็นยังไง
เพราะเขาเชื่อเสมอว่ามันอยู่ที่ตัวเองจะมองตัวเองยังไงเท่านั้น (เจ๋งมาก) นั่นทำให้เขาจึงเป็นคนที่มีความสุข
ใครอยู่ใกล้เขาก็รู้สึกดีตามไปด้วย นั่นทำให้เพียร์สันเล่นเป็นออสวอลด์ในเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นตัวของตัวเองที่สุด
ซึ่งบุคลิกทุกอย่างที่เขาเป็นนั้น ตรงกันข้ามกับเอ็ดเวิร์ดตัวเอกของเราโดยสิ้นเชิง
Sebastian Stan ในบทของเอ็ดเวิร์ด เลมูเอล บทของชายที่ขาดความมั่นใจ
มองว่าตัวเองคือความประหลาด คือปีศาจ คือความอัปลักษณ์ เอ็ดเวิร์ดไม่กล้ามองหน้าใครเขาเดินก้มหน้าหลบสายตาทุกคน
โลกนี้ใจร้ายกับเขาเหลือเกินที่ชีวิตเขาต้องเกิดมาเป็นเช่นนี้ สแตนทุ่มเทอย่างมาก
(ลืมความเป็น บัคกี้ บาร์นส์ แบบโยนทิ้งไปจากสมองคุณได้เลย)
จนในที่สุดเขาก็ได้รับรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมประเภทตลก/มิวสิคัล บนเวทีลูกโลกทองคำครั้งแรกอีกด้วย
เป็นหนังที่มีมุกตลกเสียดสีสังคมหลายอย่าง โดยเฉพาะช่วงแรกๆ
ที่เอ็ดเวิร์ดทำการรักษาใบหน้าของตนให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม (ฮาแบบตลกร้าย)
พอผ่านช่วงครึ่งแรกไปเมื่อตัวเอกกลับมาหน้าตาปกติ ต่อจากนั้นออสวอลด์โผล่เข้ามา
หนังจะเต็มไปด้วยความอึดอัดใจและกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก
ต่อจากนั้นจะเข้าสู่ไคลแม็กซ์ของหนังที่ค่อยๆไต่ระดับความพีคขึ้นไป
พร้อมกับสภาพจิตใจของเอ็ดเวิร์ดที่เหมือนคนใกล้จะตายทั้งเป็น!!!
สรุปครับอย่างที่ผมได้บอกไว้อิงจากคำพูดของเพียร์สันที่ว่า
“ไม่ต้องสนใจว่าใครจะมองว่าเราเป็นยังไง มันสำคัญที่ตัวเรามองว่าเราเป็นคนยังไงเท่านั้น...”
นั่นคือประเด็นสำคัญที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะสื่อถึงผู้ชม ขอแค่เราเคารพในตัวตนของเราเอง
แม้ว่าเราอาจจะไม่สมบูรณ์พร้อมเหมือนใครอื่น แต่เราทุกคนล้วนมีดีในรูปแบบของเราเองทั้งนั้น
ซึ่งสิ่งนี้ไม่มีใครจะพรากไปจากเราได้ จงภูมิใจในตัวเองแล้วโลกใบนี้จะเป็นของคุณ...
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== A Different Man (2024) เจ้าชายอสูร... ในโลกความเป็นจริง.. ==
เอ็ดเวิร์ด เลมูเอล เขาเป็นนักแสดงที่มีอาการป่วยเป็นโรค neurofibromatosis
เป็นกลุ่มของโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเกิดเนื้องอกได้ง่าย
อาการนี้ส่งผลให้ใบหน้าของเขาเสียโฉมโดยสิ้นเชิง ซึ่งนั่นทำให้เอ็ดเวิร์ดรู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อย
เขาไม่มีความมั่นใจใดๆทั้งสิ้น ท่ามกลางสังคมเมืองใหญ่ ใครๆ ก็มองเขาเหมือนตัวประหลาด
เอ็ดเวิร์ดได้พบกับอิงกริด เพื่อนบ้านสาวผู้มีไมตรี เธอเป็นนักเขียนบทละครเวทีและอยู่ห้องติดกันกับเขา
อิงกริดคอยช่วยเหลือ มาพูดคุยกับชายหนุ่มอยู่เสมอ แน่นอนว่าเอ็ดเวิร์ดรู้สึกดีกับอิงกริด
แต่ด้วยใบหน้าแบบนี้คงไม่มีผู้หญิงคนใดสนใจตัวเขาอย่างแน่นอน
เขาตัดสินใจเขาสู่กระบวนการรักษาทางการแพทย์เพื่อเปลี่ยนใบหน้าของตนให้เหมือนคนปกติ
การรักษาได้ผลดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ใบหน้าของเอ็ดเวิร์ดกลับกลายเป็นเหมือนคนปกติธรรมดาอีกครั้ง (โรคนี้ไม่ได้เป็นตั้งแต่กำเนิด)
เขาดีใจกับใบหน้าใหม่ที่ได้รับและเปลี่ยนตัวตน โดยตั้งชื่อตนเองใหม่ว่าเขาคือ "กาย โมรัตซ์"
และอ้างว่าเขาคือญาติของเอ็ดเวิร์ดที่ฆ่าตัวตายไปนานแล้ว
A Different Man เป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญแนวจิตวิทยา เขียนบทและกำกับโดย Aaron Schimberg
นำแสดงโดย Sebastian Stan, Renate Reinsve และ Adam Pearson
ผลงานการสร้างร่วมกันระหว่าง A24 และ Killer Films เรื่องราวของชายที่มีอาการป่วยเป็นโรคเนื้องอกบนใบหน้า
ต้องการจะมีใบหน้าที่เหมือนคนปกติธรรมดาเพื่อที่จะอยู่ในสังคมได้เหมือนคนทั่วไป
นี่คือหนังเสียดสีสังคมโลกยุคปัจจุบันนี้ที่มีมาตรฐานความงามหรือ Beauty Standard
สิ่งที่วัดคุณค่าความเป็นคนจากภายนอก คุณค่าความงามที่ถูกกำหนดขึ้นจากคนในสังคมใดสังคมหนึ่ง
เช่น ผิวขาว ตาโต จมูกโด่ง ปากอิ่ม หุ่นดี ขาเรียว คือความสมบูรณ์แบบในสายตาของคนหมู่มากในสังคม
แม้ว่าทุกวันนี้เราจะเริ่มยอมรับความแตกต่างทางอัตลักษณ์เฉพาะตัวบุคคลกันได้มากขึ้นแล้วก็ตาม
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนส่วนใหญ่ยังตัดสินกันจากภายนอกที่เห็นนั่นคือ มาตรฐานดังกล่าวที่ถูกตัดสินกันไปแล้วว่ามันดี
จากการโฆษณา จากการประชาสัมพันธ์ จากเรื่องเล่าที่ถูกปลูกฝังหรือจะอะไรกันก็ตามที
จนมันเข้าไปสู่มโนสำนึกของเราทุกคนว่าความงามอันชวนมอง หรือคุณค่าที่คุณคู่ควรนั้นมันเป็นเช่นไร..
ต้องแยกก่อนระหว่างความงามกับสุขภาพร่างกายที่ดีนะครับ เดี๋ยวจะปะปนกัน
โดยประเด็นของตัวเอกของเรื่องเนี่ยเขามีอาการป่วย ดังนั้นเขาจึงอยากจะมีความปกติเหมือนคนอื่น
ซึ่งหากเลือกได้แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากเกิดมาแล้วมีอาการป่วยเช่นนั้น เอ็ดเวิร์ดเขาถึงพยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองดีขึ้น
นั่นคือเรื่องของกายภาพ หากแต่ใจของเขานั้น.. ไม่ได้รับการรักษา
เอ็ดเวิร์ดหน้าตาเปลี่ยนไปเหมือนคนปกติ แต่ใจของเขานั้นกลับมีปมใหญ่เหมือนหลุมดำที่ยากจะเยียวยา
อุปมาได้แค่เขาเปลี่ยนแค่เปลือก แต่แก่นของตนนั้นเขายังเป็นคนเดิมซึ่งแม้ว่าจะเปลี่ยนชีวิตกลายเป็นคนใหม่
แต่ใจตัวเองยังมองโลกในมุมเดิมอยู่ จนการมาถึงของชายปริศนาที่ชื่อว่าออสวอลด์ (Adam Pearson) เข้ามาในชีวิต ..
สิ่งที่อยู่ภายในใจของเอ็ดเวิร์ดจึงระเบิดขึ้นมา
อยากแนะนำให้รู้จักกับ Adam Pearson กันสักนิดครับ เขาคนนี้เป็นนักแสดงชายชาวอังกฤษ
ป่วยด้วยโรค neurofibromatosis ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ มีเนื้องอกเติบโตบนเนื้อเยื่อเส้นประสาทที่ใบหน้า
แต่เขาไม่ย่อท้อกับชีวิต เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Brighton ในสาขาการจัดการธุรกิจ
ทำงานผลิตรายการโทรทัศน์ให้กับ BBC ทำงานเบื้องหลังให้กับซีรี่ย์และรายการโทรทัศน์มากมาย
(คือสังคมที่นั่นเค้าเปิดกว้างให้กับคนมีความสามารถ โดยไม่สนใจว่าใบหน้าจะเป็นยังไงด้วยล่ะ)
เจ้าตัวเล่นหนังเรื่องแรกคือ Under the Skin ในปี 2013 ก่อนจะมาร่วมงานกับ Aaron Schimberg ผู้กำกับหนังเรื่องนี้
ในหนังโรแมนติกดราม่าเรื่อง Chained for Life ในปี 2019 และทั้งคู่ก็มาทำงานด้วยกันอีกครั้งใน A Different Man
เพียร์สันมองโลกในแง่ดี เขามีความสุขกับทุกอย่างรอบตัวไม่สนใจว่าใครจะมองว่าเขาเป็นยังไง
เพราะเขาเชื่อเสมอว่ามันอยู่ที่ตัวเองจะมองตัวเองยังไงเท่านั้น (เจ๋งมาก) นั่นทำให้เขาจึงเป็นคนที่มีความสุข
ใครอยู่ใกล้เขาก็รู้สึกดีตามไปด้วย นั่นทำให้เพียร์สันเล่นเป็นออสวอลด์ในเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นตัวของตัวเองที่สุด
ซึ่งบุคลิกทุกอย่างที่เขาเป็นนั้น ตรงกันข้ามกับเอ็ดเวิร์ดตัวเอกของเราโดยสิ้นเชิง
Sebastian Stan ในบทของเอ็ดเวิร์ด เลมูเอล บทของชายที่ขาดความมั่นใจ
มองว่าตัวเองคือความประหลาด คือปีศาจ คือความอัปลักษณ์ เอ็ดเวิร์ดไม่กล้ามองหน้าใครเขาเดินก้มหน้าหลบสายตาทุกคน
โลกนี้ใจร้ายกับเขาเหลือเกินที่ชีวิตเขาต้องเกิดมาเป็นเช่นนี้ สแตนทุ่มเทอย่างมาก
(ลืมความเป็น บัคกี้ บาร์นส์ แบบโยนทิ้งไปจากสมองคุณได้เลย)
จนในที่สุดเขาก็ได้รับรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมประเภทตลก/มิวสิคัล บนเวทีลูกโลกทองคำครั้งแรกอีกด้วย
เป็นหนังที่มีมุกตลกเสียดสีสังคมหลายอย่าง โดยเฉพาะช่วงแรกๆ
ที่เอ็ดเวิร์ดทำการรักษาใบหน้าของตนให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม (ฮาแบบตลกร้าย)
พอผ่านช่วงครึ่งแรกไปเมื่อตัวเอกกลับมาหน้าตาปกติ ต่อจากนั้นออสวอลด์โผล่เข้ามา
หนังจะเต็มไปด้วยความอึดอัดใจและกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก
ต่อจากนั้นจะเข้าสู่ไคลแม็กซ์ของหนังที่ค่อยๆไต่ระดับความพีคขึ้นไป
พร้อมกับสภาพจิตใจของเอ็ดเวิร์ดที่เหมือนคนใกล้จะตายทั้งเป็น!!!
สรุปครับอย่างที่ผมได้บอกไว้อิงจากคำพูดของเพียร์สันที่ว่า
“ไม่ต้องสนใจว่าใครจะมองว่าเราเป็นยังไง มันสำคัญที่ตัวเรามองว่าเราเป็นคนยังไงเท่านั้น...”
นั่นคือประเด็นสำคัญที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะสื่อถึงผู้ชม ขอแค่เราเคารพในตัวตนของเราเอง
แม้ว่าเราอาจจะไม่สมบูรณ์พร้อมเหมือนใครอื่น แต่เราทุกคนล้วนมีดีในรูปแบบของเราเองทั้งนั้น
ซึ่งสิ่งนี้ไม่มีใครจะพรากไปจากเราได้ จงภูมิใจในตัวเองแล้วโลกใบนี้จะเป็นของคุณ...
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===