Kneecap เป็นภาพยนตร์ดราม่าคอมเมดี้ปี 2024 เขียนบทและกำกับโดย Rich Peppiatt
เรื่องราวการถือกำเนิดของ Kneecap วงดนตรีฮิปฮอปสามคนจากเบลฟาสต์ ไอร์แลนด์เหนือ
โดยสมาชิกของวงเล่นเป็นตัวของตัวเองทั้งหมด ได้แก่ Liam Óg Ó hAnnaidh...Naoise Ó Cairealláin และ JJ Ó Dochartaigh
และได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของไอร์แลนด์เข้าชิงสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 97 อีกด้วย และล่าสุดก็เข้ารอบ 15 เรื่องสุดท้าย (เช่นเดียวกับหลานม่า)
ตอนแรกก่อนผมจะดู ผมก็เข้าใจไปว่านี่คือหนังแนวสารคดีของวงมากกว่าว่ามีประวัติความเป็นมายังไง ก่อนที่พวกเขาจะดัง
ก็ใช่ครับ แต่แค่ครึ่งเดียว มันคือเรื่องของวงนี้ก่อนเดบิวต์ แต่มันไม่ใช่สารคดีฟุตเทจ อย่างที่ผมคิดไว้
เพราะนี่คือการสร้างเป็นหนังเขียนเรื่องราวตั้งแต่เริ่มแบบทำใหม่ทั้งหมด โดยที่พวกเขาเล่นเป็นตัวเอง ซึ่งมันเจ๋งมาก
มีดาราดังที่รับเชิญมาเล่นเรื่องนี้ด้วยก็คือ Michael Fassbender ในบทของ อาร์โล พ่อ 1 ในสมาชิกวง
ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการปลูกฝังความเป็นชาตินิยม ไม่ต้องการให้อิทธิพลของอังกฤษซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคม
มามีบทบาทเหนือชาวไอร์แลนด์ แน่นอนว่าลูกๆของเขาจึงรับสิ่งเหล่านี้เข้ามาเต็มๆ
Fassbender มาเรื่องนี้บทไม่เยอะ แต่ว่าเท่ห์มาก (เหมือนเดิม)
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังมันไปหนักที่เรื่องของภาษาครับ เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก
ซึ่งเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนกับ ภาษาไอริชกัน ...
ภาษาไอริช หรือ ภาษาไอร์แลนด์ เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารโดยคนเชื้อสายไอริชครับ
แต่ปัจจุบันปรากฏว่าคนไอริชส่วนใหญ่กลับเลือกใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร
ทำให้มีจำนวนประชากรที่พูดภาษาไอริชเป็นภาษาแม่มีจำนวนน้อยมาก
โดยจากการสำรวจในปี 2016 พบว่ามีผู้พูดภาษาไอริชในไอร์แลนด์เพียงแค่ 73,800 คน
หรือไม่ถึงร้อยละ 2 ของประชากรของประเทศเท่านั้น และยิ่งไอร์แลนด์เหนือเหลือคนใช้แค่ราว 7,000 คน
เรียกได้ว่าแทบจะไมมีใครพูดกันล่ะ!!!
แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับวงนี้ คือพวกเขาเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ยังต้องการจะรักษาภาษาไอริชไว้
อย่างซิงเกิลแรกของพวกเขา C.E.A.R.T.A. ก็มีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ของเพื่อนเขาที่ถูกตำรวจจับ
ข้อหาที่ไปพ่นสีสเปรย์บนป้ายรถเมล์ ซึ่งเพื่อนของเขาพูดแต่ภาษาไอริชไม่ยอมพูดอังกฤษ
ทางตำรวจก็เลยหาว่าเป็นการต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐ มันก็แสดงให้เห็นถึงการไม่เป็นธรรมและไม่ยอมรับในภาษาถิ่นของคนพื้นเมือง
คือความขัดแย้งระหว่างอังกฤษและไอร์แลนด์เหนือ (รวมไปถึง) เป็นปัญหาคาราคาซังมาอย่างยาวนาน
ซึ่งถูกกระตุ้นด้วยเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ทั้งมิติด้านกลุ่มชาติพันธุ์และความเชื่อทางศาสนาที่แตกต่าง (โปรเตสแตนต์ และ คาทอลิก)
แต่เรื่องราวในภาพยนตร์นี้จะให้ประเด็นหลักคือเรื่องของภาษาไอริชที่มองว่าไม่มีความสำคัญ
และทุกคนควรใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า นั่นทำให้คนส่วนนึงไม่เห็นด้วยและมีการเรียกร้องให้ภาษาไอริช
ควรเป็นภาษาราชการของชาติอย่างเป็นทางการนั่นเอง
ตัวหนังแม้ว่าจะออกแนวรั่วๆ ป่วนๆสมองไปบ้างมีความหนักไปยังเรื่องของการใช้ยาเสพติด
อาการวิ้งๆหลอนๆ ของตัวศิลปินที่คนดูอย่างเราก็อาจจะมีเบลอๆไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ดาร์คมากมายอะไร
ดูแล้วทำให้รู้สึกขำกับความเพี้ยนของแต่ละคนซะมากกว่า และแน่นอนว่าถึงรั่วแต่ความดราม่าก็ยังหนักแน่น
ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ครอบครัว คนรัก การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพในสิ่งที่พวกเขาสมควรจะได้รับ
ที่ผมประทับใจที่สุดก็คือการสำนึกรักบ้านเกิดของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ยอมให้สิ่งใดสิ่งนึงเข้ามาเปลี่ยนแปลงจนพวกเขาต้องสูญเสียตัวตนเดิมออกไป
มีประโยคนึงในหนังที่ผมชอบมาก เค้าว่าไว้ว่า หากประเทศใดประชาชนไม่พูดภาษาของตนเอง
นั่นเท่ากับว่าความเป็นชาตินั้นเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียว เพราะคุณไม่สามารถรักษาอัตลักษณ์หรือตัวตนของคุณไว้ได้อีกต่อไป..
เท่ากับรอเวลาถูกกลืนชาติจนหมดสิ้นก็เท่านั้น
ทั่วโลก.. ทุกๆ 40 วัน ภาษาพื้นเมืองกำลังสูญหายลง
เรื่องราวถูกสร้างจากภาษา ชาติถูกสร้างจากเรื่องราว และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของเรา
“Kneecap”
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== Kneecap (2024) เพราะภาษาไอริช คือชีวิตของพวกเรา.. ==
Kneecap เป็นภาพยนตร์ดราม่าคอมเมดี้ปี 2024 เขียนบทและกำกับโดย Rich Peppiatt
เรื่องราวการถือกำเนิดของ Kneecap วงดนตรีฮิปฮอปสามคนจากเบลฟาสต์ ไอร์แลนด์เหนือ
โดยสมาชิกของวงเล่นเป็นตัวของตัวเองทั้งหมด ได้แก่ Liam Óg Ó hAnnaidh...Naoise Ó Cairealláin และ JJ Ó Dochartaigh
และได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของไอร์แลนด์เข้าชิงสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 97 อีกด้วย และล่าสุดก็เข้ารอบ 15 เรื่องสุดท้าย (เช่นเดียวกับหลานม่า)
ตอนแรกก่อนผมจะดู ผมก็เข้าใจไปว่านี่คือหนังแนวสารคดีของวงมากกว่าว่ามีประวัติความเป็นมายังไง ก่อนที่พวกเขาจะดัง
ก็ใช่ครับ แต่แค่ครึ่งเดียว มันคือเรื่องของวงนี้ก่อนเดบิวต์ แต่มันไม่ใช่สารคดีฟุตเทจ อย่างที่ผมคิดไว้
เพราะนี่คือการสร้างเป็นหนังเขียนเรื่องราวตั้งแต่เริ่มแบบทำใหม่ทั้งหมด โดยที่พวกเขาเล่นเป็นตัวเอง ซึ่งมันเจ๋งมาก
มีดาราดังที่รับเชิญมาเล่นเรื่องนี้ด้วยก็คือ Michael Fassbender ในบทของ อาร์โล พ่อ 1 ในสมาชิกวง
ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการปลูกฝังความเป็นชาตินิยม ไม่ต้องการให้อิทธิพลของอังกฤษซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคม
มามีบทบาทเหนือชาวไอร์แลนด์ แน่นอนว่าลูกๆของเขาจึงรับสิ่งเหล่านี้เข้ามาเต็มๆ
Fassbender มาเรื่องนี้บทไม่เยอะ แต่ว่าเท่ห์มาก (เหมือนเดิม)
ประเด็นที่น่าสนใจของหนังมันไปหนักที่เรื่องของภาษาครับ เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก
ซึ่งเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนกับ ภาษาไอริชกัน ...
ภาษาไอริช หรือ ภาษาไอร์แลนด์ เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารโดยคนเชื้อสายไอริชครับ
แต่ปัจจุบันปรากฏว่าคนไอริชส่วนใหญ่กลับเลือกใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร
ทำให้มีจำนวนประชากรที่พูดภาษาไอริชเป็นภาษาแม่มีจำนวนน้อยมาก
โดยจากการสำรวจในปี 2016 พบว่ามีผู้พูดภาษาไอริชในไอร์แลนด์เพียงแค่ 73,800 คน
หรือไม่ถึงร้อยละ 2 ของประชากรของประเทศเท่านั้น และยิ่งไอร์แลนด์เหนือเหลือคนใช้แค่ราว 7,000 คน
เรียกได้ว่าแทบจะไมมีใครพูดกันล่ะ!!!
แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับวงนี้ คือพวกเขาเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ยังต้องการจะรักษาภาษาไอริชไว้
อย่างซิงเกิลแรกของพวกเขา C.E.A.R.T.A. ก็มีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ของเพื่อนเขาที่ถูกตำรวจจับ
ข้อหาที่ไปพ่นสีสเปรย์บนป้ายรถเมล์ ซึ่งเพื่อนของเขาพูดแต่ภาษาไอริชไม่ยอมพูดอังกฤษ
ทางตำรวจก็เลยหาว่าเป็นการต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐ มันก็แสดงให้เห็นถึงการไม่เป็นธรรมและไม่ยอมรับในภาษาถิ่นของคนพื้นเมือง
คือความขัดแย้งระหว่างอังกฤษและไอร์แลนด์เหนือ (รวมไปถึง) เป็นปัญหาคาราคาซังมาอย่างยาวนาน
ซึ่งถูกกระตุ้นด้วยเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ทั้งมิติด้านกลุ่มชาติพันธุ์และความเชื่อทางศาสนาที่แตกต่าง (โปรเตสแตนต์ และ คาทอลิก)
แต่เรื่องราวในภาพยนตร์นี้จะให้ประเด็นหลักคือเรื่องของภาษาไอริชที่มองว่าไม่มีความสำคัญ
และทุกคนควรใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า นั่นทำให้คนส่วนนึงไม่เห็นด้วยและมีการเรียกร้องให้ภาษาไอริช
ควรเป็นภาษาราชการของชาติอย่างเป็นทางการนั่นเอง
ตัวหนังแม้ว่าจะออกแนวรั่วๆ ป่วนๆสมองไปบ้างมีความหนักไปยังเรื่องของการใช้ยาเสพติด
อาการวิ้งๆหลอนๆ ของตัวศิลปินที่คนดูอย่างเราก็อาจจะมีเบลอๆไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ดาร์คมากมายอะไร
ดูแล้วทำให้รู้สึกขำกับความเพี้ยนของแต่ละคนซะมากกว่า และแน่นอนว่าถึงรั่วแต่ความดราม่าก็ยังหนักแน่น
ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ครอบครัว คนรัก การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพในสิ่งที่พวกเขาสมควรจะได้รับ
ที่ผมประทับใจที่สุดก็คือการสำนึกรักบ้านเกิดของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ยอมให้สิ่งใดสิ่งนึงเข้ามาเปลี่ยนแปลงจนพวกเขาต้องสูญเสียตัวตนเดิมออกไป
มีประโยคนึงในหนังที่ผมชอบมาก เค้าว่าไว้ว่า หากประเทศใดประชาชนไม่พูดภาษาของตนเอง
นั่นเท่ากับว่าความเป็นชาตินั้นเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียว เพราะคุณไม่สามารถรักษาอัตลักษณ์หรือตัวตนของคุณไว้ได้อีกต่อไป..
เท่ากับรอเวลาถูกกลืนชาติจนหมดสิ้นก็เท่านั้น
ทั่วโลก.. ทุกๆ 40 วัน ภาษาพื้นเมืองกำลังสูญหายลง
เรื่องราวถูกสร้างจากภาษา ชาติถูกสร้างจากเรื่องราว และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของเรา
“Kneecap”
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===